บทที่ 13 เจ้าเสี่ยวฉงผู้สง่า
Ink Stone_Romance
ซ่งชูอีหัวเราะอย่างเหลือเชื่อ “ในใจของเขาอยากจะกลับรัฐเจ้าอยู่แล้ว ข้าก็เพียงแค่ช่วยหาเหตุผลให้เขาเท่านั้น”
ซ่งชูอีรู้ดี แม้ไร้คำพูดของนาง ท้ายที่สุดแล้วกงซุนกู่ก็ยังเลือกที่จะกลับไปยังรัฐเจ้า ดูจากการแสดงออกต่างๆ ของกงซุนกู่แล้ว เขาเป็นคนที่ทะเยอทะยานคนหนึ่ง
แม้ว่ารัฐฉินจะอยู่เหนือกว่ารัฐอื่น แต่มันก็ตั้งอยู่ในซีหรง เป็นทหารเสียทั้งรัฐ ตั้งแต่ฉินมู่กง (จักรพรรดิแห่งรัฐฉิน) เริ่มมีชื่อเสียงเกรียงไกรในด้านการสู้รบ ทหารรัฐเจ้าอ่อนแอลง แม้แต่รัฐเพื่อนบ้านเล็กๆ เช่นจงซานก็ต้านทานไม่อยู่ เหตุใดรัฐฉินจึงจะใช้ประโยชน์จากท่านแม่ทัพที่หลบหนีมาจากรัฐเจ้าเล่า?
กงซุนกู่ต้องการจะพิสูจน์ความสามารถของตน หาใช่จะสำเร็จได้ภายในวันสองวัน เรื่องเช่นนี้ต้องอาศัยโอกาส แต่บางทีเขาอาจไม่มีวันได้พบโอกาสนั้น เขาเองก็รู้ดี ถ้าหากตนไปที่รัฐฉินใช่ว่าจะดีกว่ากลับรัฐเจ้า ซ่งชูอีหาได้ช่วยเขาคิดกลยุทธ์ไม่ นางเพียงแต่ตามใจเขาและพูดในสิ่งที่เขาต้องการฟังก็เท่านั้น
“ไม่ต้องวิ่งแล้ว” ซ่งชูอีพยุงตัวหายใจหอบอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนา
เจ้าอี่โหลวเข้าไปดึงตัวนาง กล่าวอย่างร้อนรน “ยังหนีได้ไม่ไกล อีกประเดี๋ยวพวกมันจะตามมาทัน!”
“ไม่ดอก” ซ่งชูอีกอดต้นไม้แน่น “กงซุนกู่ยังมีบาดแผล อีกทั้งไม่ใช่แผลจากแมวข่วน! พวกเขายังดูแลตัวเองไม่รอด จะมีกำลังวังชามาสนใจพวกเราได้เยี่ยงไร? หากเห็นว่าพวกเราไม่ได้หนีไปทางรัฐฉินหรือรัฐเจ้า ก็คงไม่เปลืองแรงตามมา…”
เจ้าอี่โหลวได้ยินนางพูดเช่นนี้ ฟังดูมีเหตุผลมากทีเดียว ปล่อยมือทันใด ซ่งชูอีที่กำลังออกแรงปัดป้องเขา ไม่ทันระวังก็ชนกับต้นไม้เข้าอย่างจัง เวียนหัวทิ้งตัวลงมาจากต้นไม้
“นี่เจ้า…” ซ่งชูอีกำลังจะอ้าปากด่า แต่กลับได้ยินเจ้าอี่โหลวตัดบทนางอย่างไม่ใส่ใจ “เหตุใดเจ้าจึงมีชื่อรอง? เช่นนั้นเจ้าก็ตั้งชื่อรองให้ข้าด้วยเถิด?”
“เจ้าจะเอาชื่อรองไปทำอันใด!” ซ่งชูอีถูศีรษะ มองถลึงเขาด้วยความโกรธ
เจ้าอี่โหลวกล่าว “ข้าคิดว่าจะเอาไปขู่คนได้”
“งั้นชื่อว่าเจ้าผิงหลันแล้วกัน” ซ่งชูอีพูดส่งๆ
เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้ว ไม่รู้เป็นเพราะไม่พอใจกับชื่อนี้หรือไม่พอใจท่าทางขอไปทีของซ่งชูอี เขาเม้มปากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “ตอนที่เจ้าตั้งชื่อนี้ให้ข้า มันมาจากคำว่า…คำว่า…”
“พิงตึกรามฟังเสียงลมฝน ไม่หวั่นไหวต่อเส้นทางยุทธภพ” ซ่งชูอีกล่าว
“ใช่ ใช่!” คิ้วของเจ้าอี่โหลวยิ่งผูกกันเป็นปม “ทำไมไม่เรียกข้าว่าเจ้าเฟิงอวี่ (ลมฝน) หรือเจ้าเจียงหู (ยุทธภพ)? สองชื่อนี้ฟังแล้วสง่ากว่าตั้งเยอะ”
ซ่งชูอีมองดูสีหน้าที่จริงจังของเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้า นางส่งเสียงฟ่อ “เจ้าอยากชื่ออะไรก็แล้วแต่เจ้า เจ้าเหมิ่งหนิว (กระทิงดุ) เจ้าเถี่ยต้าน (ไข่เหล็ก) เจ้าต้าฉง (หนอน / โง่เง่า) สง่ากว่าเฟิงอวี่หรือเจียงหูอีกไม่ใช่หรือ!”
“จะว่าไปก็ใช่ เจ้าต้าฉงสง่ากว่าจริงๆ” เจ้าอี้โหลวพูดด้วยความจริงจัง
ต้าฉงก็คือเสือเช่นกัน ในเผ่าส่วนใหญ่ ยังคงเคยชินกับการตั้งชื่อแบบดั้งเดิม พวกเขาพึ่งการล่าสัตว์ในการดำรงชีพ จึงตั้งชื่อตามเหยื่อแข็งแกร่งที่ล่ามาได้ ฉะนั้นหากมีชื่อว่าสยง (หมี) หรือต้าฉงอะไรเทือกนั้น ก็จะได้รับความนับหน้าถือตาอย่างมาก
ซ่งชูอีรู้สึกเหนื่อยหน่าย ลุกขึ้นพรวด “เจ้าเสี่ยวฉง คืนนี้หากหาที่ค้างแรมไม่ได้ พวกเราก็รอเป็นอาหารให้หนอนเถิด!”
ที่นี่เป็นป่ารกร้าง มีแต่หญ้าความสูงเท่าเอวทุกพื้นที่ บางครั้งสามารถมองเห็นป่าและเนินดินขนาดเล็กบ้าง แต่ไม่มีที่ที่เหมาะสมสำหรับการพักพิงเลย
เจ้าอี่โหลวหันมองรอบทิศ รู้สึกถึงอันตรายภายในใจ แต่ก็ยังคงไม่ลืมเรื่องชื่อ กล่าวอย่างไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าจึงเรียกข้าว่าเสี่ยวฉง”
“ยังต้องบอกอีกรึ? ก่อนที่ต้า (ใหญ่) ฉงจะเติบใหญ่ ก็ต้องเป็นเสี่ยว (เล็ก) ฉงมาก่อน” ซ่งชูอีมองค้อน แหวกหญ้าเดินหน้าต่อไป
เจ้าอี่โหลวเดินตามหลังด้วยด้วยความเซื่องซึม พ่นล่มโกรธออกมาตลอดเวลา
“เจ้ามีอันใดไม่พอใจก็ว่ามา!” ซ่งชูอีหยุดเดินกะทันหัน
เจ้าอี่โหลวกล่าวด้วยความฝืนใจเป็นอย่างยิ่ง “งั้นชื่อเจ้าอี่โหลวเหมือนเดิมก็แล้วกัน”
“แล้วแต่เจ้า!” ซ่งชูอีถูศีรษะ เอ่ยอย่างเคียดแค้น “ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย! ข้าจะบอกให้นะเจ้าเสี่ยวฉง ทั้งร่างกายของข้าเหลือเพียงสมองที่เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุด ต่อไปเจ้าจะได้กินเนื้อหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับมัน เจ้าระวังตัวให้ดี!”
เจ้าอี่โหลวจ้องศีรษะนางอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็มองตัวนางอย่างพินิจพิเคราะห์ตั้งแต่หัวจรดเท้า “เจ้าพูดถูก แต่ว่าส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของเจ้าถูกบดบังด้วยเส้นผมเสียแล้ว”
ซ่งชูอีถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “แม่งอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร นี่เรียกว่าการไม่เปิดเผยทรัพย์!”
เจ้าอี่โหลวสีหน้างงงวย มองนางที่เดินไปเบื้องหน้าด้วยอาการโกรธฟึดฟัด ไม่รู้ว่าไปทำผิดต่อนางตรงไหน เขาคิดว่านางฉลาดจริงๆ แล้วก็คิดจริงๆ ว่านอกจากความฉลาดของนางแล้วไม่มีส่วนใดที่คุ้มค่าแก่การกล่าวถึง แต่ว่านางก็เป็นคนยอมรับจุดนี้เอง แล้วเหตุใดจึงยังโมโหเล่า?
ท้องฟ้ามืดมน ทั้งๆ ที่เพิ่งจะผ่านเวลาเที่ยงได้ไม่นาน แต่กลับรู้สึกว่าใกล้ถึงเวลาค่ำแล้ว
ภาพเบื้องหน้าให้ความรู้สึกของต้นฤดูหนาวแล้ว พวกเขาสวมเสื้อผ้าบางเบาที่สามารถเพียงปกคลุมร่างกายได้เท่านั้น เมฆมืดครึ้มราวกับว่าจะกดต่ำจนถึงป่าเบื้องล่าง พวกเขาเร่งฝีเท้าด้วยความร้อนรน ไม่มีกะใจจะพูดคุยอีก
เดินมาได้หนึ่งชั่วยาม ซ่งชูอีหยุดกึก “มองไม่เห็นเส้นทางแล้ว เอาหญ้ามัดพันไว้รอบตัวก่อนเถิด ไม่เช่นนั้นหากเข้ากลางคืนแล้วจะแย่”
การนำหญ้ามาทำเป็นเสื้อผ้า ล้วนเป็นความสามารถที่ทุกคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้พึงมี เจ้าอี่โหลวอาศัยอยู่ในป่าตามลำพังมานาน จึงมีความชำนาญเป็นอย่างมาก
เวลาเหลือไม่มากแล้ว ทั้งสองคนรีบหาหญ้าจำนวนหนึ่งที่ดูแห้งและสะอาดสะอ้าน เริ่มมัดพวกมันเข้าด้วยกัน
“ข้าเสียดายกองฟางของข้า” เจ้าอี่โหลวนึกถึงกองฟางที่ถูกกงซุนกู่ยึดครอง ก็รู้สึกเจ็บปวดใจ
ซ่งชูอีมีเรี่ยวแรงไม่พอ ฉะนั้นจึงมัดอย่างเชื่องช้ามาก ไม่มีเวลาที่จะใส่ใจเขา เจ้าอี่โหลวมัดเสร็จนานแล้ว เริ่มผูกเข้ากับตัวเอง
ซ่งชูอีกำลังเกร็งบั้นท้ายต่อสู้กับหญ้ากำหนึ่งด้วยกำลังทั้งหมดที่มี จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเจ้าอี่โหลวร้องตะโกน
“หวยจิน! หวยจิน! ดูเร็ว!” เจ้าอี่โหลวโยนกองหญ้าแล้วพุ่งเข้ามา แทบจะดึงคอเสื้อของซ่งชูอีเพื่อลากนางออกมาจากพุ่มไม้ หิ้วนางพลางมองไปทางซ้าย
ที่ไกลๆ ท้องฟ้าสีเหลืองและสีเทาเชื่อมต่อเข้าหากัน มีหมอกควันจางๆ โดยรอบ แต่ว่าก็ยังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีเกวียนม้ากำลังใกล้เข้ามา
“ขบวนสินค้า!” ทันใดนั้นดวงตาของซ่งชูอีผู้กระสับกระส่ายก็เป็นประกาย สังเกตการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน รถขบวนนี้มีเกวียนม้าสิบคัน และส่วนใหญ่ก็มีไว้เพื่อนำพาผู้คน มีเพียงสี่ห้าคันที่ขนส่งของใช้ในชีวิตประจำวัน ยามอารักขามีมากแต่ทาสมีน้อย ตามประสบการณ์ของซ่งชูอีแล้ว โดยมากจะขนส่งนักแสดง สาวงามหรือขบวนส่วยของรัฐ อย่างไรก็ตามดูจากลักษณะของผู้อารักขาแล้ว ไม่ใช่ส่วยรัฐแน่นอน เห็นทีจะเป็นนักแสดงมากกว่า
นักแสดงและนักร้องเป็นอาชีพที่สร้างความเพลิดเพลิน ซึ่งก็คือการใช้การเต้นรำ ดนตรีและกิจกรรมความบันเทิงอื่นๆ เพื่อเอาใจผู้ชม
ซ่งชูอียื่นมือปัดผมทั้งหมดของเจ้าอี่โหลวออกทันที แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้าของเขาอย่างระมัดระวัง “พวกเขากำลังรีบเดินทาง ในขบวนเกวียนมีทาสไม่มาก ฉะนั้นจึงเดินทางได้รวดเร็ว พวกเราตามไม่ทันแน่ เจ้าก็อดทนสักสองวัน ข้ารู้ว่าในหมู่นักแสดงก็มีนักแสดงชาย เจ้าโผล่หน้าเจ้าออกไป พวกเขาจะต้องรับไว้แน่ ส่วนข้าจะเป็นสาวใช้ของเจ้า”
เดิมทีเจ้าอี่โหลวไม่ต้องการรับปาก แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของซ่งชูอีที่คิดจะเป็นทาสของเขา หากนักแสดงมีสถานะเพียงน้อยนิด สาวใช้ก็นับว่าเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง ซ่งชูอียังยอมเสียสละจนถึงจุดนี้เพื่อเอาชีวิตรอด เขาแสดงเป็นนักแสดงสักวันสองวันจะเป็นอะไรไป?
ขบวนเกวียนสินค้าเบื้องหน้าบัดนี้ห่างจากพวกเขาไม่ถึงห้าสิบจั้งแล้ว ซ่งชูอีพยุงเจ้าอี่โหลวออกมาจากพุ่มไม้ และพบว่าด้านหน้าเป็นเพียงถนนที่มีความกว้างไม่เกินหนึ่งจั้ง
ครั้นเกวียนมาถึงกลางถนน ซ่งชูอีกระซิบ “รีบแสร้งหมดสติ!”
เห็นได้ชัดว่าเจ้าอี่โหลวกล่าวเท็จไม่ใคร่บ่อย ทันทีที่ได้ยินคำพูดของซ่งชูอี ก็ล้มนอนลงไปตรงๆ ซ่งชูอีแอบด่าในใจ ทรุดฮวบลงข้างเขา ร่ำไห้คร่ำครวญ “นายท่าน! นายท่าน! ท่านรีบฟื้นสิ!”
……………………………..