บทที่ 7 ดวงตาที่สดใส
Ink Stone_Romance
ยามพลบค่ำ ผมสีดำที่เปียกน้ำของเจ้าอี่โหลวยุ่งเหยิงเล็กน้อย ผมยาวสองสามเส้นติดวกวนจากคอไปจนถึงหน้าอก ใบหน้าที่มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยนั้น บัดนี้มีขอบมุมให้เห็นเลือนลาง ขนคิ้วยาวลาดเอียงเข้าไปในขมับ ดวงตาคู่นั้นที่ถูกปรอยผมบดบังครึ่งหนึ่งเปี่ยมด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับทำให้ซ่งชูอีรู้สึกเหมือนดวงดาวเหน็บหนาวที่อยู่ห่างไกลจากท้องฟ้า บวกกับจมูกที่ตรงเป็นสัน ใบหน้าเผยให้เห็นถึงนิสัยดื้อรั้นและความมุมานะบากบั่น
ด้วยรูปลักษณ์ดังกล่าว รอยแผลเป็นที่มุมปากของเจ้าอี่โหลวกลับดูไม่น่าเกลียดแล้ว
“บุรุษในอ้อมกอดแห่งสุริยันจันทรา” ซ่งชูอีชื่นชมว่าเขาสง่างามและเป็นที่น่าเกรงขามดุจดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
นี่คือการประเมินค่าที่สูงส่งเกินไปแล้ว เจ้าอี่โหลวยังคงหนุ่มแน่น แต่เนื่องด้วยความหิวโซเรื้อรัง บวกกับรูปร่างสูงโปร่ง จึงดูผอมบางเป็นอย่างยิ่ง แต่โชคดีที่หน้าตาของเขาไม่ได้ด้อยขนาดนั้น
เจ้าอี่โหลวรู้สึกเขินอายกับแววตาที่เป็นประกายของนาง หมุนตัวเดินไปยังใต้กำแพงหิน เข้าไปในกองหญ้า หันหลังให้ซ่งชูอี ไม่สนใจนางอีก
“พ่อหนุ่ม พวกเรามาหารือกันสักหน่อย” ซ่งชูอีเอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อยืนอยู่ข้างหลังเขา ยิ้มเอ่ย
“อย่าเรียกข้าแบบนี้ เจ้าก็ไม่ได้อาวุโสกว่าข้าเท่าไร” เจ้าอี่โหลวกล่าวอย่างแข็งกระด้าง
ซ่งชูอีเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นเมื่อเห็นหน้าเจ้าอี่โหลว เดิมทีไม่ได้คิดจะหารืออะไรกับเขา แต่คิดว่าจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงพูดขึ้น “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพวกเราสองคน”
เจ้าอี่โหลวได้ยินแล้วจึงลุกขึ้นนั่งจากกองฟาง พิงกำแพงหินจ้องมองนาง รอฟังคำพูดต่อไป
ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง เดิมทีถ้าหากเขายังมีท่าทีเช่นเดิม การแสดงออกเช่นนั้น คนรอบกายมีแต่จะรู้สึกว่าเขาคือเด็กน้อยผู้โดดเดี่ยว แต่แววตาแห่งการรอคอยเช่นนี้ ช่างมีลักษณะที่สง่างามจริงๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราอยู่ที่รัฐใด? เวลานี้คือรัชศกใด?” ท่าทางที่เจ้าอี่โหลวแสดงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น ทำให้ซ่งชูอีเปลี่ยนใจชั่วคราว
ขณะที่นางถามก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เวลานี้หากจะไปที่ใดก็ต้องอาศัยการเดิน หากจะส่งสารก็ต้องอาศัยเสียงคำราม หากจะรักษาความอบอุ่นก็ต้องอาศัยการเขย่า ภายใต้สถานการณ์ที่ถดถอยเช่นนี้ มีสงครามน้อยใหญ่ระหว่างรัฐไม่หยุดหย่อน พื้นที่นี้อาจถูกครอบครองโดยรัฐนี้เพียงครู่หนึ่ง อีกไม่กี่วันก็อาจถูกรัฐนั้นโจมตี หากรู้ว่าตัวเองเป็นคนรัฐใด เจ้ารัฐคือผู้ใด ก็นับว่าเป็นผู้มีความรู้ไม่น้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเจ้าอี่โหลวเป็นผู้ที่ค่อนข้างมีความรู้ “ที่นี่อยู่ระหว่างรัฐฉีและรัฐเจ้า เวลานี้คือรัชศกฉีหวังโฮ่ว”
ซ่งชูอีได้ยินแล้ว คาดเดาว่าเจ้าอี่โหลวก็คงรู้เพียงเท่านี้ พูดขึ้น “พวกเราจะไปรัฐซ่ง”
“แต่เจ้าจะออกเรือนไปรัฐเจ้า…” เจ้าอี่โหลวตระหนักได้ว่าตัวเองหลุดปากออกไปเสียแล้ว รีบกลืนคำพูดทันที
การแสดงออกของเจ้าอี่โหลวตลอดช่วงสองสามวันนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักนางเลย ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ หย่อนก้นนั่งลงบนกองฟาง พูดอย่างเกียจคร้าน “ถ้าจะให้ข้าเดา…”
เจ้าอี่โหลวจ้องมองนางด้วยความตื่นตระหนก ราวกับกลัวว่านางจะรู้ความจริง
“เห็นเจ้าปลดเสื้อคนอื่นได้คล่องแคล่วเช่นนั้น คงไม่ใช่ครั้งแรกสินะ?” ซ่งชูอีกดเสียงต่ำ
นางจงใจพูดจาให้คลุมเครือเป็นอย่างยิ่ง ที่จริงในใจรู้ดี เจ้าอี่โหลวจะต้องนำของที่อยู่ในศพไปแลกกับอาหารเป็นแน่ บางทีเขาอาจเห็นขบวนเกี้ยวแต่งงานโดยบังเอิญ และพบว่าเจ้าสาวกำลังจะตาย จึงสะกดรอยตาม
ในปีนี้มีคนตายอยู่ทั่วทุกแห่ง การที่สามารถม้วนเสื่อผืนหนึ่งลงไปในดินได้ก็นับว่ามีสถานะทางสังคมค่อนข้างสูง เป็นไปได้ที่สถานที่แต่งงานของศพร่างนี้ค่อนข้างห่างไกล ต้องใช้เวลาเดินทางสิบวันถึงครึ่งเดือน และเพื่อป้องกันไม่ให้ศพที่เน่าเฟะเป็นที่เตะตา จึงหาสถานที่ที่ค่อนข้างสงบเพื่อฝังศพ รอจนกระทั่งพูดคุยกับครอบครัวว่าที่สามีของเจ้าสาวเรียบร้อยแล้ว ก็แบกโลงเพื่อมารับศพกลับไป หากเป็นเช่นนั้น กองดินสองสามกองที่อยู่ข้างกายนางก็อาจเป็นศพที่ถูกฝังทั้งเป็นเพื่อสังเวยไปพร้อมกับผู้ตาย
ใบหน้าของเจ้าอี่โหลวซีขาวเล็กน้อย เขาเร่ร่อนพเนจรตั้งแต่อายุเจ็บแปดขวบ ไม่กล้าแช่งยิงอาหารกับผู้ใด ได้แต่ใช้วิธีนี้ในการดำรงชีพ
ผู้คนหวาดกลัวสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ แม้แต่เจ้าอี่โหลวเองก็มีความกล้าหาญเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นศพที่เขาขุดก็เป็นชนชั้นสูง ถ้าหากครอบครัวชนชั้นสูงที่มากไปด้วยกฎเกณฑ์รู้เรื่องเข้า เจ้าอี่โหลวจะต้องถูกกำจัดจนไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูกเป็นแน่
ซ่งชูอีเห็นดังนี้จึงหยุด นางก็ไม่ไว้ใจเจ้าอี่โหลว เช่นเดียวกับที่เขาไม่ไว้ใจนาง ใครจะรู้ว่าหากบีบเขาจนตรอกแล้ว เขาอาจจะฆ่าคนปิดปากก็เป็นได้
“จุดไฟเถิด ไปผิงผมให้แห้งแล้วค่อยนอน” ซ่งชูอีเตะขาเขาเบาๆ
เจ้าอี่โหลวไหลไปตามน้ำ ลุกขึ้นไปจุดไฟ
ซ่งชูอีมุดเข้าไปในกองฟาง ตั่วสั่นเทิ้ม พลิกตัวมองเจ้าอี่โหลว ดวงตาของเขาเป็นประกายอยู่ภายใต้แสงไฟ หากเปรียบดวงตาที่สดใสดังไข่มุกก็คงจะไม่ผิดนัก
คิดว่าไข่มุกเม็ดงามก็เทียบไม่เท่าดวงตาสดใสคู่นั้นกระมัง ซ่งชูอีรู้สึกว่าเมื่อคืนนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน แม้ว่านางไม่ได้ต้องการที่จะแตะเนื้อต้องตัวเขา แต่การที่มีชายรูปงามกับมนุษย์ดินเนื้อตัวเหม็นโฉ่นอนอยู่ข้างกาย คุณภาพในการนอนย่อมต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ภาพเบื้องหน้านั้นสวยงาม ซ่งชูอีมองไปมองมาความง่วงก็ค่อยๆ ถาโถม และผล็อยหลับไปไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร
นางนอนหลับโดยไร้ความฝัน ไม่รู้ว่าหลับถึงยามใดจึงได้ยินเสียงเจ้าอี่โหลวร้องเรียก “นี่! นี่! ลุกขึ้น”
ในความสะลึมสะลือ ซ่งชูอีนึกได้ว่าเมื่อวานนี้สัญญาว่าจะไปล่าสัตว์ด้วยกันกับเขา นางลืมตาครึ่งหนึ่งแล้วนั่งลงบนหญ้าแห้งสักพัก
เจ้าอี่โหลวโยนแป้งทอดครึ่งชิ้นที่แข็งราวกับหินให้นาง “หมดชิ้นนี้แล้วก็เดินทางกัน”
ซ่งชูอีลืมตา ขยับร่างกายเล็กน้อย แป้งทอดครึ่งชิ้นนั้นไหลลงจากหน้าตักของนาง “หา?” ซ่งชูอีรีบหมอบหาในกองหญ้า
เจ้าอี่โหลวต้มน้ำ ถือหม้อดินพร้อมนั่งยองอยู่บนก้อนหินใหญ่ แช่แป้งทอดลงในน้ำเพื่อให้มันนิ่มขึ้น มองซ่งชูอีที่โก่งบั้นท้ายหาแป้งทอดอยู่ในกองหญ้า พลางเคี้ยวอย่างสบายใจ
ฟ้ายังคงสลัว แสงไม่สว่างพอ โชคดีที่ทั้งสองคนนอนทับจนพื้นหญ้าราบเรียบ ซ่งชูอีจึงหาแป้งทอดขนาดเท่าไข่ไก่เจอด้วยความยากลำบาก ทันทีที่หันไปก็เห็นท่าทางของเจ้าอี่โหลวเหมือนกำลังดูเรื่องสนุกๆ อยู่ อดไม่ได้ที่จะด่าเขาด้วยความเกลียดชัง “ไอ้คนบ้า!”
ทั้งสองคนไม่มีเสื้อผ้าเลย มีเพียงตัวที่ใส่อยู่เท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำความสะอาดมันเพียงเล็กน้อย เพลิดเพลินกับแป้งทอดจนหมดแล้วก็เร่งขึ้นเขา
บัดนี้คือปลายฤดูใบไม้ร่วง สัตว์นานาชนิดต่างเริ่มจำศีล หาเหยื่อได้ยาก แม้จะหาเหยื่อเจอก็อาจไม่โชคดีพอที่จะล่ามัน พวกเขาแม้แต่ใช้ท่อนไม้ที่หาได้บนภูเขาเป็นเครื่องมือ การขึ้นเขาก็นับว่าเป็นการเสี่ยงโชคอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตามแม้จะหาสัตว์ได้ยาก แต่บนภูเขาก็ยังมีของจำพวกผลไม้และสมนุไพรหลงเหลืออยู่ ซ่งชูอีและเจ้าอี่โหลวก็ต่างไม่ปล่อยให้พวกมันหลุดมือ
เมื่อวานจับไก่ฟ้าได้ตัวหนึ่ง วันนี้ก็หาได้โชคดีเช่นนั้นไม่ ตั้งแต่เช้ายันค่ำอย่าว่าแต่ล่าสัตว์เลย แม้แต่เงาของเหยื่อทั้งสองคนก็ไม่เห็น ถ้าหากมี ก็เป็นนกขนาดเท่าไข่ไก่ตัวหนึ่งที่บินผ่านไป อีกทั้งการโผบินรวดเร็วปานสายฟ้า เพียงแค่พริบตาเดียวก็มองไม่เห็นเงาแล้ว
“เคราะห์ดีที่ยังมีผลลัพธ์บ้าง ละแวกนี้มาฮวงมีมาก เมื่อถึงสถานที่คนพลุกพล่านแล้ว ก็ยังแลกเป็นของดีได้ไม่น้อยเชียว!” ซ่งชูอีก็ได้แต่สร้างวิมานในอากาศ มันเป็นการยากที่จะบอกว่ามีผู้คนภายในรัศมีห้าร้อยลี้นี้หรือไม่
เจ้าอี่โหลวอ้าปากต้องการจะตอบ แต่ก็ได้ยินการสั่นสะเทือนของภูเขาและพื้นดิน รวมถึงเสียงโห่ร้องดุจสายฟ้าผ่าที่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า นี่คือเสียงของหลายพันคนที่มารวมตัวกัน
“รบกันแล้ว!” เจ้าอี่โหลวตกตะลึง ดึงซ่งชูอีเตรียมพร้อมที่จะวิ่งหนี
ซ่งชูอีห้ามปรามเขา “หนีอะไรเล่า อยู่ตั้งไกล ไม่มารบถึงนี่หรอก! ดูสิ!”
เจ้าอี่โหลวตั้งสติ ตั้งใจฟังก็ดูเหมือนจะอยู่ไกลจริงๆ เมื่อตามซ่งชูอีขึ้นยอดเขาไป จึงพบกว่าภูเขาลูกนี้เป็นหน้าผา อีกด้านหนึ่งสูงชันมากเนื่องจากการทรุดตัวของดิน
ซ่งชูอีมองเจ้าอี่โหลวด้วยสายตาดูถูก “เจ้ารู้ภูมิประเทศของที่นี่แล้วไม่ใช่รึ? ยังจะกลัวจนฉี่ราดอีก?”
“เหลวไหล ข้าเคยฉี่ราดด้วยหรือไง!” เจ้าอี่โหลวสีหน้ามืดมน
ซ่งชูอีไม่สนใจเขา สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อแล้วนั่งลงบนยอดเขา
อากาศในฤดูใบไม้ร่วงแห้งผาก ด้วยเหตุนี้เมื่อมองไปในระยะไกลจึงเห็นเพียงละอองฝุ่นที่ฟุ้งกระจายราวกับลูกคลื่น แผ่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ และสามารถเห็นเพียงกองทหารสองกองที่กำลังสู้รบกันเลือนลาง แต่แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร
เสียงกลองรบสั่นสะเทือน ทั้งสองฝ่ายต่างเต็มใจที่จะแสดงความอ่อนแอเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ทหาร
“ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว!” ซ่งชูอดไม่ได้ที่จะก่นด่า “ทั้งๆ ที่กำลังมากกว่าอีกฝ่ายตั้งครึ่งหนึ่ง”
แน่นอนว่าซ่งชูอีหมายถึงผู้นำทัพ ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของทหารทั้งสองฝ่ายไม่ได้แตกต่างกันมากนัก จะใช้ประโยชน์สูงสุดจากพวกเขาได้อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้นำทัพแล้ว
เจ้าอี่โหลวรู้สึกประหลาดใจ เขาเห็นเพียงกองฝุ่นตลบและคลื่นของกองทหาร มองอะไรอย่างอื่นไม่เห็นเลย แต่ก็ยังหรี่ตามองเลียนแบบซ่งชูอี
………………………………