บทที่ 44 เต็มใจเป็นราชทูตไปรัฐฉิน
Ink Stone_Romance
เด็กหนุ่มผู้ส่งสารที่อยู่ด้านนอกตกใจกับเสียงคำรามของนาง
ซ่งชูอีเลิกผ้าม่าน กลับเห็นเพียงเด็กหนุ่มที่ตะลึงงันอยู่ก็ไม่ได้ถามมากอีก เอ่ยเพียงว่า “ไปเถิด”
ซ่งชูอีมาได้เพียงสองวัน เด็กหนุ่มอยู่ในจวนแต่ก็ยังไม่เคยเห็นนาง บัดนี้ครั้นเห็นว่าอายุของนางไม่ต่างกับตนมากนัก อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ซ่งชูอีเดินออกไปสองก้าว พบว่าเด็กหนุ่มมิได้ตามมา หันหลังเอ่ยทันที “เนื้อตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา จะต้องอาบน้ำให้หอมก่อนจึงจะสามารถไปพบท่านจวินได้! ยังไม่รีบเดินอีก!”
เด็กหนุ่มเพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนอง รีบเดินตาม กล่าวอย่างสำนึกผิด “ท่านอย่าได้โกรธไปเลย ทุกอย่างถูกเตรียมไว้หมดแล้ว ท่านได้โปรดวางใจ”
ทั้งสองเดินออกมาจากโรงเหล้าด้วยความรีบร้อน ขึ้นเกวียนเร่งกลับจวน
คนรับใช้ของจวนหลงกู่ได้ตระเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วจริงๆ ซ่งชูอีก็ไม่มีเวลาให้เพลิดเพลินนัก ล้างกลิ่นเหล้าอยู่ในถังอาบน้ำ จากนั้นก็ปีนออกมาโดยไม่รั้งรอ และสวมใส่ชุดแขนกว้างสีขาวที่เตรียมไว้แล้ว
เนื่องจากเป็นฤดูหนาว เสื้อผ้าจึงหนาและหนัก ครั้นซ่งชูอีสวมใส่ก็ดูไม่ผอมบางอีกต่อไป
เพิ่งจะดื่มเหล้า ซ่งชูอีจึงไม่ใคร่จะรู้สึกหนาวท่ามกลางลมหิมะ
ครั้นถึงหน้าประตูพระราชวังเว่ย์ ขันทีท่านหนึ่งสาวเท้านำทางนาง มุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงโดยตรง
เมื่อขันทีที่หน้าประตูเห็นทั้งสองคน เอ่ยรายงานเสียงสูง “ท่านหวยจินถึงแล้ว!”
“ท่านหวยจินเชิญ” ขันทีค้อมตัวคำนับ
ซ่งชูอีดึงจัดเสื้อผ้าหน้าผม ก่อนถอดรองเท้าเดินเข้าท้องพระโรงอย่างใจเย็น
“ซ่งชูอีถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อ โค้งคารวะยาวนาน
บนพระที่นั่ง เว่ย์โหวในชุดสีน้ำตาลเอนหลังพิงพนัก มองดูซ่งชูอี แม้นเมื่อครู่หลงกู่ชิ่งย้ำหนักย้ำหนาก็บุคคลผู้นี้อ่อนเยาว์นัก แต่เมื่อได้เห็นตัวจริงแล้ว ก็ยังคงประหลาดใจเล็กน้อย นี่มันอ่อนเยาว์ที่ไหนกันเล่า! นี่มันเด็กชัดๆ!
“ยอดเยี่ยม! สวรรค์มีตา ไม่สามารถทนเห็นรัฐเว่ย์ของข้าถูกคนข่มเหงได้! เชิญท่านนั่งเถิด” เว่ย์โหวประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ซ่งชูอีอายุยังน้อยเพียงนี้กลับสามารถกล่าวกลอุบายที่โหดร้ายเช่นนั้นได้ มิอาจประเมินค่าต่ำเกินไปโดยแท้ หากให้เวลาอีกหน่อย อาจกลายเป็นกุนซือที่ไร้คู่แข่งก็เป็นได้
“ขอบพระทัยท่านจวิน!” ซ่งชูอีเดินไปทางหลงกู่ชิ่งแล้วนั่งลง
เว่ย์โหวนั่งตัวตรงพร้อมเอ่ย “บัดนี้ท่านแม่ทัพหลงกู่ได้ทูลคำกล่าวของท่านให้กว่าเหรินฟังแล้ว กว่าเหรินรู้สึกอย่างล้ำลึกว่าท่านมีความสามารถยิ่ง ไม่ทราบว่าท่านมีแผนการโดยละเอียดหรือไม่?”
บัดนี้แม้นท่านจวินจะแสดงความเคารพยิ่งต่อบัณฑิตผู้มีความสามารถ ทว่าซ่งชูอีรู้ดีว่าหากเว่ย์โหวมิได้ถูกบีบบังคับก็คงมิอาจ “ใช้งานเพียงคนเก่ง” และอาจรังเกียจความอ่อนเยาว์ของนางก็เป็นได้
ไม่ว่าเยี่ยงไร การที่รัฐเว่ย์เรียกใช้นางได้ก็เท่ากับได้ให้โอกาสนางสร้างชื่อเสียง ซ่งชูอีไม่มีทางเสียโอกาสอันดีนี้ไปเปล่าๆ แน่นอน นางมองไปยังเว่ย์โหว ยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ย “การที่กระหม่อมกล้าทูล เป็นเพราะมีแผนตอบโต้ หาใช่คำพูดเลื่อนลอย”
เว่ย์โหวเห็นว่านางมีท่าทางผ่อนคลาย แต่แววตากลับแน่วแน่ไร้ที่เปรียบ ยิ่งรู้สึกมีความสุข รีบถามต่อ “ท่านจะกล่าวได้หรือไม่?”
“สถานการณ์โดยทั่วไปนั้นก็เป็นไปตามที่กระหม่อมทูลก่อนหน้านี้ แผนของกระหม่อมจำต้องเป็นไปอย่างช้าๆ ห้ามใจร้อนจนเกินไป โดยต้องทำเรื่องสิ่งที่สำคัญที่สุดสามสิ่งก่อน” ซ่งชูอีกล่าว
เว่ย์โหวเกลียดชังเว่ยอ๋องจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นับตั้งแต่ที่เขาขึ้นสู่อำนาจก็ได้รับการกดขี่จากเว่ยอ๋องอย่างต่อเนื่อง สูญเสียแผ่นดินครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องทนดูทั้งรัฐสาบสูญ ถ้าหากรัฐเว่ย์จำต้องสิ้นอยู่ในมือของเขาจริง หลังจากเขากลับสู่สวรรค์แล้ว จะมีหน้าไปพบกับบรรพบุรุษได้เยี่ยงไร! ฉะนั้นเมื่อได้ยินซ่งชูอีกล่าวว่า “แผนต้องเป็นไปอย่างเชื่องช้า” ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอย่างแรง
แต่เขาเข้าใจว่าแม้นอำนาจของรัฐเว่ยเสื่อมถอย แต่ก็หาใช่เป็นชิ้นเนื้อที่เขาสามารถกัดทึ้งได้ จึงสงบจิตใจลง เอ่ยถาม “เชิญท่านพูดเถิด”
“ข้อหนึ่ง ให้ท่านจวินแสร้งประชวรกะทันหัน แล้วส่งราชทูตพิเศษไปเข้าเฝ้าโจวเทียนจื่อเพื่อทูลฟ้องว่าเว่ยอ๋องไร้คุณธรรม ไร้ความน่าเชื่อถือ บังคับขู่เข็ญรัฐเว่ย์ จากนั้นส่งราชทูตพิเศษไปร้องทุกข์กับรัฐเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ยืมกองกำลังโจมตีเว่ย บัดนี้ภายในรัฐเจ้าปั่นป่วน ไม่มีเวลาจะใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เรื่องที่สอง สั่งการให้บัณฑิตในรัฐเว่ย์กระจ่ายข่าวออกไปในแต่ละรัฐว่าเว่ยอ๋องไร้คุณธรรม เรื่องที่สาม ส่งคนไปเกลี้ยกล่อมกองทหารฉินอย่างลับๆ เพื่อโจมตีรัฐเว่ย” ซ่งชูอีกล่าวทั้งสามข้อจบภายในลมหายใจเดียว จากนั้นก็เอ่ยต่อ “ครั้นกระทำการสามข้อนี้สำเร็จ การโจมตีรัฐเว่ย์ก็สำเร็จไปแล้วเจ็ดขั้น”
เว่ย์โหวเอ่ยด้วยความเปรมปรีย์ “สามเรื่องนี้ดูเหมือนทำได้ไม่ยาก”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ไม่ยาก ทว่าต้องการทำให้ดีก็มิใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเรื่องที่เกลี้ยกล่อมรัฐฉินให้ออกทัพ ท่านจวินเคยสืบข่าวคราวของรัฐฉินบ้างหรือไม่?”
“แน่นอน รัฐเว่ย์มีอำนาจอ่อนแอ ทำได้เพียงแสวงหาความอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายจากรัฐใหญ่ กว่าเหรินรักษารัฐเว่ย์ด้วยความยากลำบาก จะกล้าละเลยข่าวคราวของแต่ละรัฐได้เยี่ยงไร!” เว่ย์โหวกล่าวพร้อมทอดถอนใจ
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!” ซ่งชูอีโค้งคำนับ แม้นเว่ย์โหวมิใช่วีรบุรุษแต่ก็ไม่เลอะเลือน สามารถทำได้ถึงขั้นนี้คู่ควรแก่คำสรรเสริญแล้ว
เว่ย์โหวยิ้มอย่างจนใจ หันไปถาม “ข้าได้ยินว่าท่านเอ่ยว่า เว่ยอ๋องมั่นหมายที่จะกัดชิ้นกระดูกเช่นรัฐฉินไม่ปล่อย แต่ข้ารู้มาว่ารัฐเว่ยมีความทะเยอทะยาน ทั้งรัฐยิ่งเห็นความสำคัญในการเป็นเจ้าครองใต้หล้า…ท่านกล่าวเช่นนี้ ไม่จริงเสียทั้งหมดหรอกกระมัง?”
“ฝ่าบาทชาญฉลาดยิ่ง” ซ่งชูอีประสานมือคำนับ เอ่ยขึ้น “ในอดีตครั้นผังเจวียนขึ้นเป็นแม่ทัพ แน่นอนว่าจ้องที่จะโจมตีฉินเป็นหลัก เนื่องด้วยความสำเร็จทางทหารและเป็นศิษย์ของกุ๋ยกู่ เก่งกาจด้านวางแผนกองทัพ เว่ยอ๋องไว้วางใจเขายิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงยอมรับความคิดเห็นของเขา นึกว่ารัฐฉินครอบครองหล่งซี ดูถูกรัฐเว่ย เป็นภัยใหญ่หลวง จึงมุ่งมั่นอย่างหนักเพื่อทำลายรัฐฉินเสมอมา”
เว่ย์โหวพยักหน้าเอ่ย “เช่นนี้นี่เอง แต่ความเห็นของผังเจวียนก็ถูกต้อง”
ซ่งชูอีตอบ “ใช่แล้ว เพียงแต่ชาวฉินเลือดร้อน ชำนาญในการสงครามมาก หากต้องการทำลายฉิน ทางที่ดีที่สุดคือขอความช่วยเหลือจากรัฐอื่น บัดนี้รัฐฉินเพิ่งจะผ่านความโกลาหลถึงสี่ชั่วอายุคน การทุจริตทางการเมืองมีอยู่ทั่วไป อำนาจทุกหนแห่งก็ยังไม่มั่นคง หากกระตุ้นความไม่สงบภายใน ยั่วยุให้ชนเผ่าเป่ยตี๋และซีหรงที่อยู่เบื้องหลังก่อกบฏต่างหากคือหนทางที่ดีที่สุด ทว่าผังเจวียนกลับต้องการใช้กองทหารโจมตีฉินให้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใส่ใจสถานการณ์ทางสงครามในจงหยวน พลาดโอกาสครั้งสำคัญที่สุดในการเป็นเจ้าแห่งใต้กล้าอันมั่นคง บัดนี้เว่ยอ๋องตั้งสติได้ รัฐฉี เว่ย หาน เจ้า ก็กลับลุกขึ้นมาแล้ว”
“เช่นนี้รัฐเว่ยยังจะเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าได้อีกหรือไม่?” เว่ย์โหวถามทันที หากรัฐเว่ยได้ครองใต้หล้า ความล่มสลายก็อยู่ไม่ไกลรัฐเว่ย์แล้ว
“เจ้าแห่งใต้หล้ารึ?” ซ่งชูอีหัวเราะเยาะ ส่ายหน้า “ฝ่าบาททรงวางพระทัย ตราบใดที่กงจื่ออั๋ง[1]นั่งอยู่ในตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีอย่างมั่นคง รัฐเว่ยคิดจะครองใต้หล้า ก็ราวกับโบยบินขึ้นท้องนภา เป็นเพียงความฝันของคนปัญญาอ่อนก็เท่านั้น”
ซ่งชูอีกล่าวต่อ “กงจื่ออั๋งเก่งเรื่องกินดื่มเที่ยวหาเรื่องสราญ หากให้เขาวางกลยุทธ์แก่รัฐ จะเป็นการทำผิดต่อบ้านเมืองอย่างมหันต์ ก่อนหน้านี้เว่ยอ๋องยังมีความคิดอยากเป็นใหญ่อยู่บ้าง ทว่าบัดนี้ราวกับว่าติดเชื้อมาจากกงจื่ออั๋งเสียแล้ว หากไม่ใช่เพราะเช่นนี้ สองข้อแรกของกระหม่อมก็มิอาจกระทำให้สำเร็จได้”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เว่ย์โหวได้ยินดังนี้ก็ระเบิดหัวร่อเสียงดัง ตบหน้าตักเอ่ย “เยี่ยม! เยี่ยม! หลายปีแล้วที่กว่าเหรินมิได้รู้สึกรื่นรมย์เช่นวันนี้ ท่านหวยจินมีความรู้ดียิ่ง คารมคมคายยิ่ง!”
ซ่งชูอีเม้มปากยิ้ม
เว่ย์โหวหัวเราะแล้วยกมือขึ้นเอ่ย “เชิญท่านดื่มชาเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซ่งชูอีเพิ่งดื่มสุรามาไม่นาน แล้วก็พูดอีกครึ่งค่อนวัน แน่นอนว่ารู้สึกคอแห้งเล็กน้อย จึงยกถ้วยชาขึ้นดื่มสองจิบ
“สามเรื่องที่ท่านว่า จะกระทำการเมื่อใดดี?” เว่ย์โหวเอ่ยถาม
ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง เอ่ยขึ้น “สองเรื่องแรกนั้น ยิ่งเร็วยิ่งดี! ยิ่งทำให้เป็นเรื่องใหญ่เท่าไรยิ่งดี ทางที่ดีที่สุดคือรวมกลุ่มบัณฑิตผู้มีความสามารถทางด้านวรรณกรรม เขียนบทความชั้นดีที่สามารถปลุกเร้าความไม่พอใจของฝูงชน ส่วนเรื่องเกลี้ยกล่อมรัฐฉินนั้น…”
ซ่งชูอียืดตัวตรง ประสานมือคารวะ “หวยจินไร้ความสามารถ ยินดีช่วยขจัดความกังวลใจของฝ่าบาท เป็นราชทูตลับไปที่รัฐฉิน!”
…………………………..
[1] กงจื่ออั๋ง หรือ “เว่ยอั๋ง” เป็นพระราชโอรสของรัฐเว่ยในสมัยจั้นกั๋ว พระอนุชาแห่งเว่ยฮุ่ยอ๋อง สหายคนสนิทของซางยาง