บทที่ 51 ศพที่เก็บได้จากพื้นหิมะ
Ink Stone_Romance
บทความนั้นงดงาม คำพูดคมกริบที่ประณามรัฐเว่ยพรั่งพรูออกมาในคราเดียว
ซ่งชูอีส่งแปรงเขียนให้สาวใช้ ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งจิบ ก้มหน้าอ่านเนื้อหาที่ตนเองเขียนผ่านตารอบหนึ่ง รอให้หมึกแห้ง
ซ่งชูอีเดาว่าอวี๋เชอเมื่อครู่เขามิใช่พ่อค้าชาวฉู่ หากแต่เป็นชาวเว่ย อาจจะเป็นพ่อค้าหรืออาจจะไม่ใช่
รัฐเว่ยในปัจจุบันแตกต่างจากยุคเจริญรุ่งเรืองเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในขณะนั้นมีกงซูฉัว ผังเจวียน กงจื่ออั๋ง หลงเจี่ย และท่านแม่ทัพที่เชี่ยวชาญทั้งทางพลเรือนและทางทหาร นอกจากนี้ยังมีเหล่าบัณฑิตที่หลั่งไหลเข้ามาจากรัฐต่างๆ ไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมความสามารถเลยทีเดียว
บัดนี้ผู้เก่งกาจทุกระดับชั้นในรัฐเว่ยหดหาย หลังจากรัฐฉินปฏิรูปกฎหมายแล้ว เว่ยอ๋องก็เริ่มให้ความสำคัญกับคนเก่ง เสาะหานักปราชญ์ทั่วทุกหนแห่ง เป็นช่วงเวลาที่แสวงหาผู้มีพรสวรรค์ราวกับกำลังหิวกระหาย
เมื่อครู่ขณะที่ซ่งชูอีรู้ถึงสถานะของผู้นั้น ในใจคิดอยากจะสวามิภักดิ์ต่อเว่ยให้รู้แล้วรู้รอด หมิ่นฉือชื่นชอบรัฐเว่ยมาตลอดมิใช่หรือ? นางก็จะเข้าไปยังรัฐเว่ยก่อน เลียนแบบผังเจวียนผู้ริษยาบุคคลที่มีความสามารถเหนือตนสักครั้ง เขาจะทำเยี่ยงไรได้?
ทว่ามันเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบที่ซ่งชูอีปล่อยให้มันพัฒนาขึ้นส่วนลึกในใจตนก็เท่านั้น นางมีกลยุทธ์ระยะยาวอยู่แล้ว อีกทั้งบัดนี้ก็ลงมือทำไปแล้วด้วย การทำการใดจะต้องไม่ทำเลยหรือไม่ก็ต้องทำด้วยจิตใจที่แน่วแน่ การมีสองจิตสองใจเป็นข้อห้ามอันใหญ่หลวง
ซ่งชูอีม้วนสมุดไม่ไผ่แล้วยื่นให้กับสาวใช้ ล้วงเงินกำลังจะจ่ายค่าอาหาร กลับได้ยินสาวใช้กล่าวขึ้น “ท่านเจ้าคะ นายท่านข้ากล่าวว่า วันนี้จะไม่คิดเงินกับผู้ที่เขียนบทความ”
“อา งั้นหรือ นายท่านพวกเจ้านับว่าเป็นพ่อค้ามีคุณธรรม” ประหยัดเงินได้เป็นเรื่องดีที่สุด ซ่งชูอียิ้มพลางยัดเงินเข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ ลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมฟาง
“ท่านมีแซ่นามว่ากระไรเจ้าคะ?” สาวใช้ผู้นั้นเอ่ยถาม
ซ่งชูอีชะงักไปครู่หนึ่ง หมุนตัวกลับไปมองนาง สาวใช้ผู้นี้รู้ว่าเมื่อครู่นางมิได้ลงนาม จะต้องรู้หนังสือเป็นแน่ โรงเหล้าเล็กๆ ว่าจ้างสาวใช้ที่รู้หนังสือ อีกทั้งมีกิริยาที่เที่ยงตรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามิใช่พ่อค้าธรรมดา
“ข้าเพียงลงแรงไปเล็กน้อย ไม่ต้องการชื่อเสียง” ซ่งชูอีสวมหมวกไผ่ทรงกรวย เดินออกจากโอกงาม
สาวใช้ไม่ได้ถามต่อ ทุกวันนางรับส่งลูกค้ามากหน้าหลายตา ก็มีความรู้บ้างและล้วนเคยพบเห็นบัณฑิตหลายรูปแบบ แต่กลับมิเคยเห็นเด็กหนุ่มที่มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ ในใจอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น นางครุ่นคิด พลันถือบทความที่ซ่งชูอีเขียน เร่งรุดไปหาผู้ดูแล
ซ่งชูอีออกมาจากโรงเหล้า เดินเตร่อยู่บนถนนว่างเปล่า ยิ่งใกล้เพลาพลบค่ำ ลมหิมะยิ่งพัดแรง ผู้คนบนถนนรีบร้อนขวักไขว่ ไม่สามารถมองเห็นการดำรงชีวิตของคนในนครได้เลย ซ่งชูอีจึงรีบเร่งฝีเท้ากลับไปยังจวนหลงกู่
หิมะหนาปกคลุมพื้นโลก บัดนี้หิมะที่ร่วงอยู่บนพื้นฝังขาน้อยๆ ของซ่งชูอีแล้ว นางย่ำเท้าลึกบ้างตื้นบ้างไปข้างหน้า เห็นเพียงเหล่าทหารกำลังเก็บซากศพสองข้างทาง ศพเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ลี้ภัยที่ตายจากความเหน็บหนาวและความหิวโหย
ทหารสิบกว่านายใช้ลาลากไม้กระดาน เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าอยู่บนพื้นหิมะ ครั้นเห็นซากศพก็เก็บขึ้นมาแล้วโยนขึ้นด้านบน จากนั้นก็ลากไปทิ้งบนหลุมศพนอกเมือง ถ้าหากเจอนายทหารจิตใจดี ก็อาจจะมีดินเหลืองปกคลุมศพบ้าง เพื่อมิให้ถูกสัตว์ป่าที่มิได้จำศีลในฤดูหนาวกัดแทะเป็นอาหาร
หลังจากความพยายามเพียงครู่หนึ่ง เหล่าทหารก็เก็บได้สิบสองสิบสามศพ ลักษณะของพวกเขาแตกต่างกัน ทว่าโดยมากจะเป็นเด็กและผู้หญิง มีหนึ่งหรือสองศพเป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ล้วนมิครบสามสิบสองประการ
ผู้ชายทุกคนที่แข็งแรงล้วนอยู่ในกองทัพ หากตายก็ล้วนตายในสนามรบ ไม่มีเหตุผลที่จะหนาวตายอยู่ที่นี่ แม้แต่รัฐเว่ย์ที่มิค่อยมีการสู้รบก็เป็นเช่นนี้
ขณะที่ซ่งชูอีเดินผ่านเหล่าทหาร ชำเลืองมองครู่หนึ่ง และจากการชำเลืองนี้เองก็เห็นศพหนึ่งบนไม้กระดานขยับตัว
เดิมทีนางมิอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยน โลกใบนี้มีผู้บริสุทธิ์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานมากเกินไปแล้ว นางจะสนใจได้หมดหรือ? ทว่าเมื่อทหารนายนั้นเดินซวนเซไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ นางก็หมุนตัวไป “เหล่าท่านผู้แข็งแรง…”
ที่นี่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ก็มีแต่ทหารเหล่านี้ที่คู่ควรกับคำเรียกว่า “ท่านผู้แข็งแรง” ทว่าพวกเขาต้องออกมาทำงานน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ในวันหิมะตกหนัก อารมณ์จึงไม่ใคร่ดีนัก ครั้นได้ยินคนเรียกพวกเขาก็ทำหูทวนลม
“เหล่าท่านผู้แข็งแรง!” ซ่งชูอีเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว เพิ่มระดับเสียง
เวลานี้เหล่าทหารจึงหยุดเดิน หมุนตัวจ้องนางด้วยสายตาดุร้าย สำรวจอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าแม้นนางอายุไม่มาก ทว่าภายใต้เสื้อคลุมฟางนั้นมีเสื้อแขนกว้างของบัณฑิตโผล่แลบออกมากให้เห็นเลือนราง ด้วยเหตุนี้ท่าทีจึงอ่อนลงเล็กน้อย “ท่านเรียกพวกข้า มีเรื่องอันใด?”
ทหารเหล่านี้หนาวสะท้านจนใบหน้ากลายเป็นสีแดง บัดนี้ใบหน้าบางคนถูกหิมะกัดหรือไม่ก็มีรอยแตกระแหง ด้านหนึ่งแดงด้านหนึ่งเขียวคล้ำ หิมะสีขาวร่วงปกคลุมขนคิ้ว มิอาจแยกดวงตาและใบหน้าออกจากกัน สภาพสะบักสะบอมเป็นอย่างยิ่ง
ซ่งชูอีคำนับพวกเขา ก้าวเท้ายาวๆ ไปหน้าไม้กระดาน
เมื่อครู่เป็นเพียงการปราดมองอย่างรวดเร็ว พบว่ามือข้างหนึ่งกำลังขยับไหว ทว่าครั้นบัดนี้ดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว มือทั้งหมดล้วนไม่ต่างกันนัก ดำมิดหมีและขดตัวอยู่ด้วยกัน ไม่สามารถแยกแยะได้เลย
“เมื่อครู่ข้าน้อยเห็นว่ามีคนหนึ่งยังมีชีวิต” ซ่งชูอีเอ่ย
หัวหน้านายทหารกล่าว “แม้นจะมีที่ยังขยับตัวได้ แต่ก็เกรงว่าจะช่วยชีวิตได้ไม่ง่าย พวกข้าต้องรีบนำซากศพเหล่านี้ไปยังหลุมฝังศพแล้วกลับมาก่อนฟ้ามืด ได้โปรดท่านอย่าทำให้พวกข้าลำบากใจ”
ซ่งชูอีก้มหน้า มองดูแต่ละมืออย่างละเอียดถี่ถ้วน
นายทหารที่ขับลาหันไปมองหัวหน้า
“ท่าน” หัวหน้านายทหารเอ่ยเตือนสติอีกรอบ
ซ่งชูอีหยิบเงินออกมาแปดถึงเก้าปู้ปี้[1]จากถุงเงินแล้วยื่นให้หัวหน้านายทหาร “อากาศหนาว พวกท่านนำไปแลกเปลี่ยนสุราเพื่อคลายหนาวเถิด”
หัวหน้านายทหารชำเลืองมอง เห็นปู้ปี้สิบสองจู[2] จึงรับไว้ “ขอบคุณท่าน”
ซ่งชูอีเพียงยิ้มจางๆ มองดูต่อ ทันใดนั้นสายตาก็หยุดอยู่ที่มือเล็กมือหนึ่ง ข้อมือนั้นเรียวเล็กจนแทบไม่น่าเชื่อ แต่กลับยึดกับรูบนไม้กระดานอย่างเอาเป็นเอาตาย คลับคล้ายไม่ว่าจะคว้าอะไรก็อาจเป็นแสงแห่งความหวังได้ ซ่งชูอียังไม่เห็นเจ้าตัว แต่รู้สึกว่านี่คือเด็กที่มีพลังชีวิตมากคนหนึ่ง
ซ่งชูอีย่อตัวลงจับชีพจรที่แขนนั้น พยักหน้า ลุกขึ้นเอ่ย “ข้าต้องการเขา”
เพื่อมิให้เป็นการล่าช้า หัวหน้านายทหารไม่พูดไม่จา โบกมือสั่งให้คนขยับเขยื้อนซากศพที่อยู่ด้านบน ดึงร่างนั้นที่
ซ่งชูอีระบุออกมาแล้วโยนลงบนพื้นหิมะ
หัวหน้านายทหารยกมือขึ้นคารวะ “พวกข้ารีบออกจากนคร ขอลาแล้ว”
“เชิญท่านหัวหน้าตามสบาย” ซ่งชูอีก้มตัวลากร่างดำทะมึนที่ม้วนตัวอยู่บนพื้นไปยังข้างถนน นี่คือเด็กอายุราวๆ สิบขวบ เสื้อผ้าขาดวิ่น ขดตัวเป็นวงกลม ผิวพรรณที่ดำมืดอยู่แล้วดำยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดบนพื้นหิมะ แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง
ซ่งชูอียื่นมือลูบๆ เนื้อตัวของเขา ขาเท้ายังดีอยู่ ปากยังมีลมหายใจอุ่นๆ เป้า…เป็นสิ่งที่สามารถจับคว้าได้
ซ่งชูอีถอดเสื้อฟางบนตัวออกเพื่อห่อหุ้มตัวเขา บัดนี้เด็กน้อยหนาวจนตัวแข็งแล้ว ไม่สามารถเก็บมือที่ตั้งแข็งอยู่ด้านนอกได้ ในใจของซ่งชูอีรู้ดีว่าไม่สามารถฝืนงุ้มงอตัว จึงอุ้มเขาขึ้นมาแล้วรีบรุดเข้าไปในจวน
เด็กน้อยตัวเบาหวิว กำลังของซ่งชูอีมีไม่มาก ทว่าการอุ้มเขาวิ่งด้วยระยะทางไกลขนาดนั้น กลับไม่รู้สึกหนักเลยแม้แต่น้อย นางเริ่มสงสัยว่าจะไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กคนนี้ได้แล้วหรือเปล่า
ครั้นกลับมาถึงลานเล็กๆ ที่ตนอาศัยอยู่ ซ่งชูอีร้องตะโกนเสียงสูง “จื๋อหย่า! จื๋อหย่า!”
จื๋อหย่าได้ยินก็วิ่งออกมาจากในห้อง เห็นว่าซ่งชูอีกำลังอุ้มอะไรบางอย่างอยู่ในอ้อมอก ไม่สามารถกางร่มได้ จึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือนาง เมื่อเห็นมือที่ยื่นโผล่ออกมาด้านนอก เอ่ยขึ้น “ท่าน นี่คือคนหรือเจ้าคะ?”
“อืม” ซ่งชูอีส่งเขาให้จื๋อหย่า “พาเข้าไปในห้องข้า ข้าอยากดูว่าจะช่วยชีวิตได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” จื๋อหย่าตอบรับ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง
ซ่งชูอีกำลังจะตามไป กลับเห็นหนานฉีที่ปรากฏตัวอยู่ในลานไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ยังคงสวมเสื้อคลุมสีขาว ขนสุนัขจิ้งจอกสีแดงพันอยู่รอบคอ ท่าทางสดชื่นผ่อนคลายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
เขาขมวดคิ้ว เอ่ยเย็นชา “ซ่งชูอี ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเลี้ยงของเล่นไร้สาระในลานนี้ดอกนะ!”
………………………….
[1] ปู้ปี้ บางทีก็เรียกว่าฉ่านปี้ (铲币) แปลว่าเงินพลั่ว รูปร่างหน้าตามันดูเหมือนกับพลั่วหรือใบพัด เริ่มพบตั้งแต่ยุคชุนชิว มีการใช้อยู่ในหลายรัฐในยุคชุนชิวไปจนถึงยุคจ้านกั๋ว (ก่อน ค.ศ. 476 – 221 ปี)
[2] จู หน่วยเงิน