บทที่ 54 เขาไม่เข้าตาข้า
Ink Stone_Romance
อี๋ซือขุยยิ้มพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าผู้เฒ่าไหว้วานให้เขาทำการทดสอบ เพียงแต่นิสัยของหยุ่นซื่อเดิมแปลกประหลาดมาก หลังจากครั้งแรกที่ท่านด่าเขา เขาก็มาหาข้าผู้เฒ่า”
หิมะบนพื้นเพิ่งถูกกำจัดออก บนพื้นหินลื่นเล็กน้อย ทั้งสองคนเดินช้าลง
“หยุ่นซื่อว่าเยี่ยงไรบ้าง?” ซ่งชูอีถาม
“ฮ่า! เขาบอกว่า ท่านเป็นอาจารย์ให้นายน้อยได้ ไม่ว่าจะมีความสามารถหรือไม่ อย่างน้อยด้านนิสัยสามารถขัดเกลานายน้อยได้แน่” อี๋ซือขุยกล่าว
ซ่งชูอีจินตนาการถึงน้ำเสียงในประโยคนี้ของหนานฉี เหตุใดนึกแล้วจึงรู้สึกเหมือนเป็นการแดกดัน
อี๋ซือขุยโน้มศีรษะเข้ามา กล่าวเสียงเบา “วิถีโค่นรัฐของหวยจิน ชวนให้เลือดเดือดพล่านโดยแท้”
“เจียเหล่ามิใช่คนลัทธิขงจื้อหรอกหรือ? เหตุใดจึงเห็นด้วยกับคำพูดที่บ้าบิ่นและไร้คุณธรรมของข้าเช่นนี้?” ซ่งชูอีมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในใจรู้สึกว่าตาเฒ่าผู้นี้น่าสนใจอยู่บ้าง
“เอ๊ะ เหตุใดจึงกล่าวว่าไร้คุณธรรมเล่า? ข้อพิพาทระหว่างรัฐ สงครามและภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า มิอาจรวมเป็นหนึ่งได้ภายในวันเดียว ใต้หล้ายังต้องประสบความทุกข์ยากอย่างต่อเนื่อง หัวใจของข้าโหยหาวีรบุรุษผู้กวาดล้างจงหยวน ทำให้รัฐเสถียรภาพ สิ่งที่หวยจินทำคือคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ ด้วยจิตใจทะเยอทะยานเช่นนี้ มีอำนาจราวพยัคฆ์ที่กลืนกินนับหมื่นลี้ น่าชมเชยยิ่ง” เสียงที่อี๋ซือขุยกดต่ำนั้นมีความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาซ่งชูอีร้อนผ่าว หยุดเดินกะทันหัน ถอยหลังไปหนึ่งก้าว สะบัดแขนเสื้อ โค้งคำนับให้อี๋ซือขุยบนพื้นหิมะยาวนาน “เจียเหล่ารู้ใจของข้า! เป็นวาสนานัก!”
ชาติที่แล้วนางก็เป็นผู้ริเริ่มเส้นทางการโค่นรัฐ นางถามตัวเองการกระทำก็มินับว่าบุ่มบ่าม แต่กลับรับความปราชัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางได้ฝังความทะเยอทะยานนี้ไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจ ขอเพียงสามารถวางถิ่นฐานในหยางเฉิงนครเล็กๆ แห่งนั้นได้เป็นพอ ทว่าจนกระทั่งตัวตาย ความปรารถนานี้ก็ตามนางเข้าไปในกองดินเหลืองเช่นกัน
ในชาตินี้ นางแก้ไขการหลบๆ ซ่อนๆ ของชาติที่แล้วด้วยการกล่าวเรื่องนี้ออกมา เดิมทีคิดว่าแม้นต้องต่อสู้อย่างเดียวดาย นางก็จะต่อสู้ด้วยความเข้มแข็งและทรงพลังในใลกใบนี้ จะได้ไม่เสียแรงที่นางกลับชาติมาเกิดใหม่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล่าวในสิ่งที่นางคิดจริงๆ จะมิให้ตื้นตันได้เยี่ยงไร!
“ฮ่าๆ ได้รู้จักกับหวยจินผู้มีความสามารถตั้งแต่ยังเยาว์ เป็นวาสนานัก!” อี๋ซือขุยคำนับกลับ
หลังจากทั้งสองพูดคุยถึงเรื่องนี้ ราวกับว่าเกิดความสัมพันธ์ต่างวัยอันดีก็มิปาน
อี๋ซือขุยเตือนสติ “แม้นข้าผู้เฒ่าจะร่ำเรียนคำสอนของจื้อ แต่ก็ได้สัมผัสคำสอนของสำนักอื่นๆ มาบ้าง มิได้จงรักภักดีเพียงคำสอนของขงจื้อเพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงสามารถยอมรับวิถีแห่งการโค่นรัฐนี้ได้ ถ้าหากศิษย์สำนักขงจื้อที่แท้จริงได้ยินเข้า จะต้องครหาท่านแน่”
“หวยจินน้อมรับคำสอน” ซ่งชูอีก็คิดว่าจะกล่าวเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว คนที่ฟังนางในวันนั้นล้วนเป็นบัณฑิตหนุ่ม มีผู้ใดบ้างที่ไร้ความทะเยอทะยาน? ทันทีที่คำปาฏกถานี้หลุดออกไป จะต้องได้รับการโจมตีเป็นแน่ พวกเขาจะทำใจละทิ้งความทะเยอะทะยานนี้หรือไม่ ยังจำเป็นต้องใช้เวลาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ดังนั้นจะยังไม่เกิดความโกลาหลขึ้นในช่วงนี้
อี๋ซือขุยก็ได้ยินเรื่องนี้เช่นนี้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยถาม “หวยจินคิดจะเปิดสำนักเพื่อสร้างหลักคำสอนใหม่หรือไม่?”
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ถือเป็นการยอมรับเงียบๆ แล้ว นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “เจียเหล่าไม่คิดว่าหวยจินเป็นเด็กไม่รู้ประสาและบ้าบิ่นหรือ?”
“การกระทำเป็นขั้นเป็นตอนเช่นนี้ จะกล่าวว่าบ้าบิ่นได้เยี่ยงไร?” อี๋ซือขุยมองสำรวจซ่งชูอีอีกรอบ “น่าทึ่ง!”
นี่คือการฉายแววครั้งแรกของซ่งชูอี แม้นจะเป็นการทดสอบภายในอาณาเขตเล็กๆ และหากไม่ประสบความสำเร็จ นางก็มีวิธีล้างมนทินให้กับตัวเอง ที่จริงแล้ว ซ่งชูอีมิได้ตั้งความหวังในครานี้มากนัก ที่สำคัญที่สุดคือนางเป็นสตรี แม้นมีผู้คนมากมายสนับสนุนวิถีโค่นรัฐเป็นการส่วนตัว แต่จะมีสักกี่คนที่จะยอมรับได้ว่าเจ้าสำนักเป็นสตรีเพศ?
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยก็มาถึงห้องเรียนแล้ว
เนื่องด้วยจำนวนคนมีไม่มาก พื้นที่เล่าเรียนของตระกูลในจวนหลงกู่จึงไม่ใหญ่นัก และมีลูกศิษย์เพียงสิบหกสิบเจ็ดคนที่บัดนี้กำลังฝึกคัดตัวอักษรอยู่ ครั้นเปิดประตูเข้าไป ซ่งชูอีกวาดตามองเล็กน้อย มีตั้งแต่เด็กวัยห้าหกขวบจนกระทั่งวัยรุ่นวัยสิบหกสิบเจ็ดปี เรียกได้ว่าระดับชั้นหลากหลาย อี๋ซือขุยจึงยากที่จะควบคุมดูแล
“ปู้วั่งเล่า?” สายตาของอี๋ซือขุยหยุดอยู่ที่โต๊ะเตี้ยว่างเปล่าด้านหลังสุด
เด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดคนหนึ่งประสานมือ เอ่ยอย่างนอบน้อม “เรียนท่านอาจารย์ ปู้วั่งเพิ่งจะไปที่ห้องหนังสือเล็กขอรับ”
“ไปเรียกเขามา” อี๋ซือขุยเอ่ย
เด็กหนุ่มผู้นั้นตอบรับ ลอบมองซ่งชูอีด้วยความสงสัย วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานก็เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กหนุ่มในชุดจีนคนหนึ่ง
ซ่งชูอีเหลือบมองเด็กหนุ่มผู้นั้น แววตาสุดใสดุจดวงดารา คิ้วเหมือนดาบยกตัวขึ้น สันจมูกสูงโด่ง แม้นอายุเพียงสิบห้าปี แต่รูปร่างสูงกว่าเด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดด้านข้างอยู่มากโข ลักษณะเกียจคร้าน มารยาทก็หละหลวมยิ่งนัก มองโดยรวมแล้วก็รู้ทันทีว่าเด็กหนุ่มผู้นี้กระด้างกระเดื่องไม่เชื่อฟัง
“คนนี้ก็คือปู้วั่ง” อี๋ซือขุยหันเอ่ยกับซ่งชูอี
นี่คือการมอบความไว้วางใจอย่างเห็นได้ชัด ซ่งชูอีคิดในใจ ‘ท่านผู้เฒ่าไม่จำเป็นต้องร้อนอกร้อนใจเช่นนี้ก็ได้กระมัง!’
“นายน้อยปู้วั่ง” อี๋ซือขุยยิ้มเอ่ยน้อยๆ “นี่คืออาจารย์คนใหม่ที่นายท่านหามาให้นายน้อย ท่านหวยจิน”
สีหน้าของหลงกู่ปู้วั่งเปี่ยมด้วยความตกตะลึง ทุกคนภายในห้องต่างตกตะลึงเช่นกัน เดิมทีพวกเขานึกว่าซ่งชูอีอาจเป็นญาติห่างๆ สักคนของตระกูลหลงกู่ อาศัยความสัมพันธ์เข้ามายังห้องเรียนของตระกูลหลงกู่ แม้นเป็นวัยที่จินตนาการกำลังโบยบิน แต่ก็ไม่มีทางคิดเลยว่านางจะเป็นอาจารย์ท่านหนึ่ง!
สีหน้าตะลึงงันของหลงกู่ปู้วั่งกลายเป็นความอับอายเพียงชั่วอึดใจ ชี้หน้าด่าอี๋ซือขุย “เจ้าตาเฒ่า! ไร้ความสามารถก็ช่างประไร เหตุใดจึงดูแคลนข้าถึงเพียงนี้!”
เห็นได้ชัดว่าอี๋ซือขุยเคยชินกับนิสัยประเภทนี้ของเขาแล้ว ทำหูทวนลมกับคำด่าของเขา ไม่รู้สึกเลยว่ากำลังก่นด่าตนอยู่
“คนที่ดูแคลนท่านหาใช่เจียเหล่า หากเป็นท่านแม่ทัพหลงกู่ ถ้าหากไม่มีความเห็นชอบจากเขา ใครจะกล้าจัดแจงอาจารย์ให้ท่านส่งเดช?” ซ่งชูอีกล่าวเชื่องช้า
เห็นเด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ซ่งชูอียิ้มกว้างเอ่ย “ดังนั้นคำพูดของท่านนี้ด่าผิดคนแล้ว แต่ว่าท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะช่วยท่านส่งสารไปให้ท่านแม่ทัพตามความจริง”
“ก็แค่จอมวายร้ายไร้ยางอายที่ขี้ฟ้องเท่านั้น” หลงกู่ปู้วั่งรู้ว่าวันนี้หลงกู่ชิ่งไม่อยู่ ฉะนั้นจึงมิได้เดินหนีไปทันที
ซ่งชูอีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย “ถ้าหากท่านรู้สึกว่าการด่าผ่านผู้อื่นนั้นไม่ดี ก็สามารถไปด่าด้วยตัวเองได้ ข้าน้อยไม่ว่ากระไร”
“เจ้า!” เพลิงโทสะผุดขึ้นในดวงตาของหลงกู่ปู้วั่ง วาจาของซ่งชูอีนี้ชวนให้น่าโมโหมาก ทว่าการกระโจนเข้าทำร้ายนางนั้นก็เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้มค่า เขาเย้ยหยัน “ขนตัวเองยังงอกไม่ครบ ยังริจะเป็นอาจารย์ของผู้อื่น!”
ซ่งชูอีก็มิได้สนใจเขา หันไปกล่าวกับอี๋ซือขุย “เจียเหล่า หวยจินเกรงว่าจะทำให้ท่านแม่ทัพผิดหวังเสียแล้ว”
“หวยจินกล่าวเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร?” อี๋ซือขุยรู้สึกว่าซ่งชูอีจะต้องมีแผนในใจ จึงแสร้งถาม
ซ่งชูอีกล่าวเนิ่บๆ “เด็กหนุ่มผู้นี้ ข้าเห็นแล้วไม่เข้าตา หวยจินรับลูกศิษย์เป็นครั้งแรก จะต้องรับคนที่ดี เพื่อมิให้ชื่อเสียงของข้าเป็นที่เข้าใจผิด ต่อไปอาจไม่มีใครกล้านับถือข้าเป็นอาจารย์อีก”
อี๋ซือขุยรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันใด เป็นไปตามคาดเขายังมิทันจะตอบรับ ก็เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นพุ่งเข้ามาคว้าปกเสื้อของซ่งชูอีเอาไว้
เป็นธรรมดาที่ซ่งชูอีจะไม่ยอมให้ถูกคว้าตัวอย่างว่าง่ายเช่นนี้ ยกมือขึ้นกระแทกไปยังกล้ามเนื้อของข้อศอกเขา
แขนของหลงกู่ปู้วั่งด้านชาฉับพลันจนทำให้ไร้เรี่ยวแรง
ซ่งชูอีฉวยโอกาสพูดขึ้น “ลักษณะของท่านเช่นนี้ ไม่เคารพครูบาอาจารย์ หุนหันพลันแล่นราวกับวัว เจอกับปัญหาก็ใช้กำลังแต่กลับไม่คิดใช้สมอง! ท่านมีส่วนไหนที่เข้าตาข้าบ้าง!”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
ซ่งชูอีออกมาจากห้องเรียนอย่างใจเย็น จากนั้นก็วิ่งจากไป วิ่งไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากภายในห้องเรียน รวมถึงเสียงตกอกตกใจและปลอบประโลมของทุกคน
ขณะที่หลงกู่ปู้วั่งพุ่งออกมาหมายคิดบัญชีกับซ่งชูอีนั้น กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของนางแล้ว
…………………………….