บทที่ 60 ข้าเป็นห่วงแทบแย่
Ink Stone_Romance
ในใจซ่งชูอีรู้ดีว่าหลงกู่ชิ่งแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวเช่นนี้ จะต้องตัดสินใจแล้วเป็นแน่ หากนางปฏิเสธต่อไป รังแต่จะทำให้เขาไม่พอใจเท่านั้น ในขณะนี้นางยังไม่คิดที่จะไปจากรัฐเว่ย์ เรื่องที่ประนีประนอมได้ก็ควรประนีประนอม
เมื่อความคิดวูบผ่านก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเล “ในเมื่อท่านแม่ทัพกล่าวเช่นนี้ ข้าก็มิคัดค้าน”
“ดีมาก” อารมณ์ของหลงกู่ชิ่งยิ่งอ่อนโยนกว่าเดิม ผลักหนังแกะบนโต๊ะตัวเตี้ยให้ซ่งชูอี “นี่คือของใช้ที่เตรียมไว้ให้ท่าน เชิญดูก่อน”
ซ่งชูอีลุกขึ้นรับหนังแกะมา ก้มลงมองลวกๆ
นางเคยบอกไว้ว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมของมากจนเกินไป ด้วยเหตุนี้หากจะใช้สิ่งของที่อยู่ตรงหน้าในการสานความสัมพันธ์ทางการทูตนับว่าน้อยยิ่ง อย่างไรก็ดีเดิมทีซ่งชูอีไม่คิดที่จะส่งของขวัญให้รัฐฉินอยู่แล้ว สิ่งของเหล่านี้จึงสุรุ่ยุร่ายมากพอสำหรับการเดินทาง
“เท่านี้ก็พอแล้ว” ซ่งชูอีม้วนหนังแกะแล้วยัดใส่แขนเสื้อ เอ่ยขึ้น “เช่นนี้ ข้าจะเดินทางในอีกสองวัน”
“ความสัมพันธ์ทางการทูตคือความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้นจวินองค์ใหม่เพิ่งขึ้นสู่อำนาจ หากไม่ส่งของขวัญเป็นการไม่สมควรยิ่ง!” หลงกู่ชิ่งกล่าว
“ของขวัญนั้นมี เราให้จังหวะเวลาที่ดีที่สุดในการโค่นเว่ยและกลยุทธ์โจมตีเว่ยแก่จวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉิน หากดำเนินไปด้วยดีก็สามารถยึดครองดินแดนขนาดใหญ่ในราคาที่ต่ำที่สุด มีของขวัญไหนเลยจะเทียบเท่า?” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
หลงกู่ชิ่งมองสำรวจซ่งชูอีอย่างละเอียดอีกครั้ง ในใจพลันรู้สึกว่าอี๋ซือขุยมีความสามารถของป๋อเล่อ[1]โดยแท้ การเป็นอาจารย์ให้บุตรหลานประจำจวนของเขา ช่างน่าเสียดายความสามารถเหลือเกิน เขาตัดสินใจว่าหลังจากซ่งชูอีทำงานสำเร็จแล้ว จะแนะนำเขาให้กับท่านจวิน
หลงกู่ชิ่งเอ่ยอย่างเรียบง่ายอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ปล่อยให้ซ่งชูอีกลับไปเตรียมตัว
ซ่งชูอีได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ทันทีที่ออกจากโถงหลักก็เริ่มวางแผนทันทีว่าจะใช้มันเยี่ยงไร
นางถูกใจที่ดินรกร้างในผูหยางผืนนั้น ถ้าหากได้มาเร็วก็จะดีที่สุด ทว่าข้างกายนางไม่มีผู้ที่สามารถไว้วางใจให้ทำเรื่องนี้ได้ ไม่มีคนแล้วจะทำงานเยี่ยงไร?
คิดไปคิดมา ซ่งชูอีรู้สึกว่าคงได้แต่พึ่งพาโชควาสนาแล้ว แม้นจะพูดว่าโชควาสนา ทว่านางก็ยังมีโอกาสที่จะได้มันมาถึงหกเจ็ดส่วน ข้อหนึ่ง ในร้อยปีที่ผ่านมาแต่ละรัฐต่อสู้กันอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีล้วนมีคนตายนับไม่ถ้วน สถานที่บางแห่งถูกทิ้งร้างไปแล้ว ในขณะนี้รัฐที่สามารถพูดว่า “ราษฎรไร้พื้นที่เพาะปลูก” นั้นน้อยจนนับนิ้วได้ ข้อสอง ทุกปีแต่ละรัฐจะเริ่มเพาะปลูกอีกครั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิเป็นส่วนใหญ่ บัดนี้เพิ่งเข้าสู่ฤดูหนาว ฤดูหนาวอันโหดร้ายยังคงยาวนานมากกว่าสามเดือน ที่ดินผืนนั้นไม่น่าจะมีคนสนใจระยะหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีที่ดินในรัฐเว่ย์ หากเป็นรัฐเจ้าจะดียิ่งกว่า
ซ่งชูอีหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้ ไปยังห้องเรียนเพื่อสอนหลงกู่ปู้วั่ง
ทันทีที่นางเข้าไปในลาน ก็เห็นบรรดาลูกศิษย์ที่กำลังเตรียมรับประทานอาหารกลางวันทอดสายตาแปลกประหลาดมาที่นางทีละคน
แววตาเหล่านี้มิใช่เพียงความอยากรู้ความเห็นธรรมดา ซ่งชูอีสามารถรู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่ไม่อาจอธิบายได้
แน่นอนนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรรดาลูกศิษย์เมื่อเช้านี้
เมื่อก่อนหลงกู่ปู้วั่งจะไปที่ห้องเรียนตามใจชอบ ไม่เหมือนบรรดาลูกศิษย์คนอื่นที่เริ่มท่องหนังสือตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ทว่าวันนี้เขากลับมาตั้งแต่เช้า ทำให้คนอื่นประหลาดใจไม่น้อย
ทว่าหลังจากอ่านตำรารอบเช้า อี๋ซือขุยบรรยายไปแล้วสามบทเรียน จวบจนใกล้ได้เวลาอาหารเที่ยง หลงกู่ปู้วั่งรอซ้ายรอขวา ซ่งชูอีก็ยังไม่มา สีหน้าของเขายิ่งแย่ลงทุกที ขณะที่ท้องฟ้าสว่างจ้าก็ลุกขึ้นพรวด ยกเท้าเตะโต๊ะคว่ำ ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือด้วยความเดือดดาล
“ท่าน ศิษย์พี่อยู่ในห้องหนังสือขอรับ” มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเตือนเสียงเบา
ซ่งชูอียิ้มกว้างให้เขา ชมคำหนึ่ง “เป็นเด็กดีเสียจริง”
เด็กหนุ่มสีหน้าสลับซับซ้อน บัดนี้เขาอายุสิบสี่สิบห้าแล้ว ดูแล้วก็ห่างจากซ่งชูอีเพียงไม่กี่ปี จะใช้คำว่า “เด็กดี” สองคำนี้มาบรรยายได้เยี่ยงไร? อีกอย่างเขาเตือนสติซ่งชูอีก็เพียงเพื่อต้องการเห็นความสนุกก่อนกินข้าว คิดไม่ถึงว่าคำพูดของซ่งชูอีจะทำให้เขาไม่สบายใจเสียก่อน แต่นี่เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำชม เขาไม่รู้ว่าจะคัดค้านเยี่ยงไร ซ่งชูอีก็ไม่ได้ให้โอกาสเขาได้คัดค้านเช่นกัน
บางคนที่อยู่ด้านข้างอดใจไม่ไหวพ่นหัวเราะออกมา ยังมีคนเรียกเขาติดตลกว่าเป็น “เด็กดีตัวน้อย”
เด็กหนุ่มหูหน้าแดงทันที
แม้นพวกเขาจะก่อกวน แต่ส่วนใหญ่ก็ต่างเทความสนใจไปให้ซ่งชูอี เห็นนางเดินไปที่หน้าประตูห้องหนังสือ เป็นไปตามคาดว่ามิได้ผลักประตูเปิด ยิ่งมองด้วยความสนอกสนใจ ในใจพลันคิดว่าอีกประเดี๋ยวก็ได้เวลาพูดแล้ว
เพียงแค่คิด ก็ได้ยินเสียงซ่งชูอีเอ่ยขึ้น “ปู้วั่ง เปิดประตู”
ภายในไร้เสียงเคลื่อนไหวใดๆ
ครั้งแรกที่ได้เห็นหลงกู่ปู้วั่งก็รู้ว่าเขาเป็นลูกวัวหัวแข็ง ซ่งชูอีกล้ามั่นใจเลยว่าต่อให้นางตะโกนเรียกเท่าใดก็ไร้ความหมาย นางก็มิได้คิดจะแสดงให้ผู้อื่นดู
ซ่งชูอีหมุนตัวกลับมา เห็นกลุ่มเด็กหนุ่มหันหน้าหนีทันควัน ก่นด่าอยู่ในใจ ไอ้พวกเด็กเวร!
นางเดินวนรอบห้องเรียน พบกระถางธูปทองสัมฤทธิ์อันหนึ่ง ขากระถางยาวมาก ส่วนด้านบนสั้น นางเคลื่อนย้ายอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าพอรับน้ำหนักไหว จึงแบกขากระถางธูปไปทางห้องหนังสือ
ทุกคนต่างประหลาดใจว่าซ่งชูอีจะเอากระถางธูปไปทำอะไร ก็เห็นนางยกกระถางธูปขึ้นมาแล้วทุบประตู หน้าต่างแต่ละบานนั้นเปราะบางมาก ซ่งชูอีทุบไปเพียงสามครั้ง ด้านบนประตูก็ปรากฏรูขนาดใหญ่ นางโยนกระถางธูปทิ้ง ยื่นมือคลำดึงสลักด้านในประตูออก
ทันทีที่นางเข้าไปก็เห็นหลงกู่ปู้วั่งสีหน้าตะลึงงัน
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ซ่งชูอีทำทีโล่งอก “พวกเขาบอกว่าเจ้าอยู่ข้างใน ข้าเรียกแล้วไร้เสียงตอบ นึกว่าเจ้าเกิดเรื่อง ทำข้าเป็นห่วงแทบแย่”
หลงกู่ปู้วั่งได้ยินความเป็นห่วงที่จริงใจของนางแล้ว ความโมโหในใจก็จางลงเล็กน้อย ทว่าแต่ฉันก็ยังคงเก็บความอับอายในเช้านี้เอาไว้ “ท่านเป็นถึงอาจารย์ เหตุใดจึงไม่ตรงเวลา! มาสอนครั้งแรกก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อลูกศิษย์แล้วจะเชื่อถือศรัทธาได้เยี่ยงไร!”
หลงกู่ปู้วั่งจะไม่มีทางเอ่ยวาจาอ่อนหวานต่อเรื่องที่ไม่พอใจเป็นอันขาด
“เมื่อวานมิได้บอกเวลาเรียน ข้าไม่ดีเอง” ซ่งชูอีประสายมือน้อยๆ แสดงการขอโทษ ไม่ทันรอให้หลงกู่ปู้วั่งได้พูดต่อ นางก็เริ่มสอนอย่างจริงจัง “สวรรค์มอบปัญญาให้เจ้า ก็มิต้องการให้เจ้าลำบากเหมือนคนทั่วไป เจ้าขยันถึงเพียงนี้ จะให้ผู้อื่นมีชีวิตอยู่ได้เยี่ยงไร? สำนักม่อได้กล่าวถึงความรักแห่งจักรวาล เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะคำนึงถึงผู้อื่น จึงจะสามารถมีความรักอันเป็นภราดรภาพและมีจิตใจอันกว้างขวางได้”
คำพูดนี้ หลงกู่ปู้วั่งได้ยินแล้วคล้ายกับประชดประชัน ทว่านางกล่าวด้วยความจริงใจเช่นนี้…ก็คล้ายกำลังสอนหลักเหตุผลกับเขาจริงๆ อย่างไรก็ดีในคำพูดนี้ หลงกู่ปู้วั่งไม่เห็นว่ามีเหตุผลใดที่ต้องเรียนรู้
“ความหมายของอาจารย์ก็คือ ภายภาคหน้าข้ามิจำเป็นต้องเรียนรู้ จึงจะควรค่าแก่ความโปรดปรานของสวรรค์?” แม้นหลงกู่ปู้วั่งแสดงคำถาม ทว่าภายใต้คำพูดนั้นกลับยอมรับว่าตนมีพรสวรรค์
ซ่งชูอีนั่งลงอีกครั้ง นำผ้าคลุมออกมาเช็ดมือ “เหลวไหล สวรรค์มอบปัญญาให้เจ้า อย่าให้เสียเปล่า ต่อไปเจ้าก็มาช่วงสายเถิด”
“อ่อ จริงสิ” หลงกู่ปู้วั่งต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่ถูกซ่งชูอีขัด นางเอ่ยต่อ “เมื่อวานข้าขอกับท่านแม่ทัพให้เจ้าออกไปทัศนศึกษา ความรู้ในตำรามันตายไปแล้ว ข้าจะสอนวิธีการใช้ให้เจ้า เจ้ามีอะไรคัดค้านกับการจัดการเช่นนี้หรือไม่? หากไม่อยากไปไม่ต้องก็ได้”
……………………………..
[1] ป๋อเล่อ เป็นผู้คัดสรรม้าในสมัยชุนชิว เปรียบเปรยถึงผู้มีความสามารถในการเฟ้นหาคนเก่ง