บทที่ 67 รวมสวรรค์มนุษย์เป็นหนึ่งเดียว
Ink Stone_Romance
ซ่งชูอีพลิกเปิดสมุดไผ่ เอ่ยขึ้นสบายๆ “ถูกต้อง เป็นเสือขาวอายุหกเดือน เขาขี่อยู่สามครั้ง สองครั้งถูกสะบัดตกจนเอวเคล็ด ต่อมาเสือขาวก็หนีไป เขาเป็นชายชราปากแข็งบอกว่าตัวเองปล่อยมันกลับเข้าป่า ทว่าทุกคนต่างเห็นว่าเขาร่ำไห้อยู่ในป่าใหญ่หลายต่อหลายครั้ง”
หลงกู่ปู้วั่งอึ้งไปเล็กน้อย คำพูดนี้ฟังดูไร้สาระโดยสิ้นเชิง แต่กลับคล้ายเคยเห็นด้วยตาตัวเอง “อาจารย์พูดจริงหรือ?”
ซ่งชูอียิ้มมองเขาตาโก่ง เอ่ยว่า “เจ้าเดาสิ”
“ข้านึกอยู่แล้วเชียว” หลงกู่ปู้วั่งกำลังจะปีนขึ้นเตียง พลันหันมาถามซ่งชูอี “อาจารย์ต้องการพักผ่อนหรือไม่?”
“เจ้านอนเถิด ข้าไม่ง่วง” บัดนี้ซ่งชูอียึดครองรถม้าของเขาแล้ว จะมีหน้าใช้เตียงของเขาอย่างสง่าผ่าเผยได้เยี่ยงไร!
หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยในใจ ถือว่าข้าถามแล้ว มิได้ไม่เคารพอาจารย์
ซ่งชูอีนั่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สวมผ้าคลุมตัวใหญ่ เปลี่ยนมานั่งตำแหน่งตรงข้าม จากนั้นก็เปิดหน้าต่างรถ
หลงกู่ปู้วั่งกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา พลันสายลมหนาวเหน็บราวใบมีดกระทบใบหน้าเขา รู้สึกสั่นสะท้านและตื่นตัวกว่าเมื่อครู่หลายเท่านัก
คนส่วนมากมักไม่ชอบตื่นตอนกำลังจะเคลิ้มหลับ ยิ่งไปกว่านั้นหลงกู่ปู้วั่งก็ไม่ใช่คนที่อารมณ์ดีอยู่แล้ว
หลงกู่ปู้วั่งข่มโทสะเอาไว้ในใจ “ใยอาจารย์จึงเปิดหน้าต่าง?”
ซ่งชูอีหันหน้ามาเชื่องช้า ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ในราตรีเหน็บหนาวที่ได้ใกล้ชิดกับสวรรค์และโลกเช่นนี้ หากไม่รู้แจ้งในสัจธรรม ไม่น่าเสียดายหรอกหรือ?”
การรู้แจ้งในสัจธรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ปฎิบัติในสำนักเต๋า หลงกู่ปู้วั่งจึงไม่แปลกใจ เขามีความคิดคล้อยตาม เอ่ยยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นอาจารย์ปฏิบัติการรู้แจ้งตรงนี้เถิด มันใกล้ชิดกับสวรรค์และโลกมากกว่าตรงที่อาจารย์อยู่”
หลงกู่ปู้วั่งเห็นว่าซ่งชูอีคล้ายลังเลครู่หนึ่ง รีบเกลี้ยกล่อม “ที่ตรงนี้รับลมหนาวโดยตรง ใกล้ชิดกับวิญญาณทั้งจากโลกและสวรรค์ อาจารย์เห็นเยี่ยงไร?”
“ก็ได้” ซ่งชูอี ‘กัดฟัน’ อุ้มย้ายลูกหมาป่าไปตรงนั้น
หลงกู่ปู้วั่งรีบวิ่งไปหลบลมตรงที่ที่ซ่งชูอีนั่งเมื่อครู่ มันอุ่นกว่ามากจริงๆ กลับได้ยินซ่งชูอีเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าคล้ายกับมีความรู้แจ้งขึ้นมาบ้างแล้ว บางทีอาจมีโอกาสไปถึงสถานะเอกภาพระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ เจ้าอย่าได้กวนข้าเชียว”
“แน่นอน แน่นอน” หลงกู่ปู้วั่งสัญญาอย่างเต็มปากเต็มคำ ในใจกลับคิดว่า ‘ถ้าหากอยู่ตรงนั้นแล้วรวมสวรรค์กับมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ พรุ่งนี้ข้าจะจัดพิธีกราบไหว้ท่านอย่างยิ่งใหญ่เชียว’
ซ่งชูอีคลี่เสื้อคลุมตัวใหญ่และเสื้อคลุมตัวนอกออก ซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มอันอบอุ่นของหลงกู่ปู้วั่ง แล้ววางลูกหมาป่าไว้ที่เท้า ดึงผ้าห่มคลุมโปง แม้ว่าจะหนาวเล็กน้อย ทว่าดีกว่าที่ซ่งชูอีเคยประสบในอดีตมากนัก!
หลงกู่ปู้วั่งเปิดหน้าต่างกว้างกว่าเดิม มองดูผ้าห่มที่ขดอยู่บนเตียงด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
‘กลัวว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านหนาวสั่นงั้นรึ?’
……
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ
หลงกู่ปู้วั่งหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำมูก สวมเสื้อคลุมด้วยมือสั่นเทา มองดูไฟในอ่างเผาฟืนที่เกือบถูกลมหิมะพัดจนมอดดับ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเอื้อมมือไปปิดหน้าต่าง
เปลวไฟในอ่างเผาฟืนคงที่ และเนื่องด้วยไม่มีลมหิมะเข้ามาแล้ว อุณหภูมิจึงค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น หลงกู่ปู้วั่งนั่งหดตัวอยู่ข้างเตาเผาฟืน ผิงไฟอยู่เนิ่นนานจึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าความร้อนผ่าวบนแก้มนั้นทั้งคันทั้งแสบ
หลงกู่ปู้วั่งจ้องเขม็งไปยังเตียงด้วยความโกรธเคือง เข้าใจแล้วว่าการรู้แจ้งในสัจธรรมกับสถานะเอกภาพระหว่างสวรรค์กับมนุษย์อะไรนั่น เป็นเพียงคำลวงที่ต้องการหลอกเอาเตียงจากเขา! เขาย้ายจากที่ลมหิมะโกรกมายังที่อับลมกะทันหัน แน่นอนว่ารู้สึกอบอุ่นชั่วขณะหนึ่ง ทว่าหน้าต่างเปิดไว้นานแล้ว อุณหภูมิในรถลดต่ำ เขาจะทนได้นานที่ไหนกัน
“อาจารย์” หลงกู่ปู้วั่งเค้นสองคำนี้ออกมาจากไรฟัน
ซ่งชูอีพลิกตัวมากล่าวด้วยความสะลึมสะลือ “กับดัก…ที่เห็นได้ชัดเจนเช่นนี้ เจ้าไม่พิจารณาให้ดีว่าเหตุใดตนถึงเขลาแต่กลับเรียกข้า นี่คือหนึ่งในบทเรียนของวันนี้ ไตร่ตรองให้ดีเถิด พรุ่งนี้ข้าจะถามใหม่”
หลงกู่ปู้วั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง นึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วน สำนึกผิดในใจ หากเมื่อครู่เขาอดทนและนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบต่ออีกสักสองเค่อ คนที่ทนไม่ได้จะต้องเป็นซ่งชูอีแน่ ทว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงมองไม่ทะลุแผนการและเชื่อโดยไม่คิดแล้ว?
ความง่วงเข้าถาโถม หลงกู่ปู้วั่งทำได้เพียงกอดเข่าสัปหงก เดิมทีภายในรถม้านั้นไม่กว้าง บัดนี้มีเตียงเล็กๆ หนึ่งหลัง โต๊ะตัวเตี้ยหนึ่งตัว ตรงกลางยังมีอ่างเผาฟืนอันหนึ่ง ด้วยเหตุนี้แม้ว่าพื้นรถจะปูด้วยเสื่อหนาทว่ากลับไม่มีพื้นที่ให้เอนนอน
ซ่งชูอีที่หลับสนิทตลอดคืนค่อยๆ ตื่นขึ้นจากเสียงร้องครางของลูกหมาป่าหิมะในวันรุ่งขึ้น
ซ่งชูอีลืมตา มันกำลังหดตัวสั่นที่มุมเตียง ซ่งชูอีลุกขึ้นนั่ง ฝ่าเท้ากลับสัมผัสกับพื้นที่เปียกชื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ…นางลุกขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง หิ้วลูกหมาป่าขึ้น เห็นใต้ท้องของมันเปียกชื้นเล็กน้อยตามคาด ขนบางเส้นยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นกุมหน้าผาก
“อาจารย์ ล้างหน้าล้างตาทานอาหารเช้าได้แล้วขอรับ” ผมดกดำของหลงกู่ปู้วั่งปล่อยสยาย แววตามีความเฉยเมย มองซ่งชูอีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“อืม ดี” ซ่งชูอีเห็นว่าบนโต๊ะมีเกลือ กิ่งหลิวและน้ำเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มีอ่างทองแดงวางอยู่บนพื้น นางไม่สนใจเรื่องที่ลูกหมาป่าหิมะปล่อยเบาใส่เตียงชั่วคราว ยกน้ำไปล้างหน้าล้างตาก่อน
จนกระทั่งซ่งชูอีทำธุระเสร็จแล้ว หลงกู่ปู้วั่งปรบมือสองครั้ง ความเร็วของรถม้าก็หยุดลงทันใด มีสาวใช้นางหนึ่งขึ้นมาเก็บข้าวของออกไปอย่างรวดเร็ว รับน้ำอุ่นกับผ้าแห้งขึ้นมาจากด้านล่าง ปรนนิบัติจนซ่งชูอีล้างหน้าเสร็จแล้ว ก็ยกของถอยออกไป จากนั้นสาวใช้อีกนางก็ยกกล่องอาหารขึ้นมา จัดเรียงอาหารร้อนกรุ่นบนโต๊ะ แล้วถอยออกไป
รถม้าเดินทางต่อ
ซ่งชูอีเห็นว่ามีถ้วยตะเกียบเพียงชุดเดียว จึงถามเป็นมารยาท “เจ้ากินแล้วหรือ?”
“ตั้งแต่กลางดึกจนถึงบัดนี้ ข้ากินไปสามมื้อแล้ว” น้ำเสียงของหลงกู่ปู้วั่งก็ไร้อารมณ์ใดๆ
ซ่งชูอีพยักหน้า แล้วกินอาหารอย่างสบายใจ
หลังทานข้าวเสร็จ ซ่งชูอีก็อุ่นนมแพะ เทใส่ขันใบเล็กให้ลูกหมาป่าหิมะ นางคิดว่าลูกหมาป่าหิมะอายุราวๆ หนึ่งเดือน น่าจะกินเนื้อได้แล้ว ดังนั้นจึงเอาเนื้อตากแห้งไปต้มในน้ำ ลองป้อนให้มันสักหน่อย แต่อาจเป็นเพราะมันกินจนอิ่มแล้วจึงแค่เลียๆ สองที
เจ้าตัวเล็กกินอิ่มมีกำลังวังชาแล้วก็เริ่มร่ำไห้คร่ำครวญ เคราะห์ดีเนื่องจากอายุยังน้อย เสียงจึงไม่ดังมาก อีกทั้งข้างนอกลมแผดเสียงดัง น่าจะไม่ค่อยได้ยินเท่าไร นี่เป็นกระบวนการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากแยกกับแม่หมาป่า ซ่งชูอีปล่อยให้มันร้อง ส่วนตัวเองลงจากรถไปดูสองพี่น้องกงซุนและเด็กที่เก็บมาได้จากผูหยางก่อนหน้านี้ รวมถึงผู้บาดเจ็บสาหัสสองคนที่รับมาเมื่อวาน
กว่าจะทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว
หลงกู่ปู้วั่งอยู่ในรถม้า เขาขมวดคิ้วจ้องลูกหมาป่าหิมะด้วยความโหดเหี้ยม
สัตว์มีความอ่อนไหวต่อภยันตรายดีมาก เป็นธรรมดาที่ลูกหมาป่าจะรู้สึกได้ถึงความโหดร้ายของหลงกู่ปู้วั่ง ลดเสียงลงอย่างรู้ความทันที
อารมณ์ของหลงกู่ปู้วั่งเบาลงเล็กน้อย มองดูเตียงที่ยังไม่ได้จัดเก็บ แม้ยุ่งเหยิงแต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นสบาย
ต่อสู้อยู่ในใจพักหนึ่ง ในที่สุดความง่วงก็ชนะเหตุผล หลงกู่ปู้วั่งคลายเสื้อคลุมออก เข้าไปซุกในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว
เขาเพิ่งจะเอนกาย เหยียดยืดขาสบายๆ เตรียมเข้าสู่ความฝัน แต่จู่ๆ ตัวกลับแข็งทื่อ เขาสัมผัสความเปียกชื้นที่เท้าอย่างระมัดระวัง แล้วกระโดดพรวดขึ้นมาจากเตียง!
หลงกู่ปู้วั่งคำรามด้วยความบ้าคลั่ง “เด็กๆ โยนปีศาจตัวกลมออกไปเดี๋ยวนี้!”
รถม้าค่อยๆ ลดความเร็วลง ผู้ที่ขึ้นมามิใช่สาวใช้ แต่กลับเป็นซ่งชูอี
หลงกู่ปู้วั่งพ่นลมหายใจเยือกเย็นทีหนึ่ง เบือนหน้าหนี
……………………………….