บทที่ 97 มาพบเจ้าในคืนหิมะตก
Ink Stone_Romance
เมื่อผู้คนจมลงสู่ความมืด ก็ต่างปรารถนาที่จะไขว่คว้าแสงสว่าง สำหรับซ่งชูอีแล้ว เจ้าอี่โหลวก็คือแสงสว่างนั้น
อาจไม่จำเป็นต้องไขว่คว้า ทว่าอย่างน้อยก็ไม่เต็มใจที่จะให้เขาหายไปทั้งเช่นนี้
ซ่งชูอีลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ แล้วเดินไปยังห้องด้านนอกอีกครั้ง
จี๋อวี่เหลือบมองนาง จิ้มฟืนด้วยไม้จิ้มไฟ ไม่ได้พูดจา
ซ่งชูอีรินน้ำสองถ้วย ยื่นถ้วยหนึ่งให้จี๋อวี่ กลับไม่ได้นั่งลงทันใด นางดื่มน้ำรวมเดียวหมด เอ่ยถาม “ท่านคิดว่าหลายวันนี้ทักษะการต่อสู้ของข้าก้าวหน้าบ้างหรือไม่?”
จี๋อวี่ดื่มน้ำคำหนึ่ง
ก้าวหน้า? วันๆ เอาแต่ขดตัวกลมอยู่ในห้อง เพียงใช้วาจาหยอกเย้าสาวงาม หยอกเย้าปู้วั่ง หยอกเย้าไป๋เริ่น แม้แต่นิ้วก็ไม่โผล่ออกมาด้วยซ้ำ หากมีความก้าวหน้าก็ประหลาดแล้ว!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จี๋อวี่นึกว่าซ่งชูอีเพียงไม่ต้องการตอบคำถามเมื่อครู่ จึงจงใจเปลี่ยนหัวข้อ ไม่แม้แต่จะมองนาง “ท่านล้มเลิกความตั้งใจที่จะฝึกศิลปะการต่อสู้ดีกว่า”
ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย ขยับหมุนข้อมือ “ผู้มีพรสวรรค์ไม่จำเป็นต้องฝึกปรือ ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาประลองกันหน่อยประไร?”
จี๋อวี่ขี้คร้านที่จะสนใจนาง อย่างไรก็ดีเมื่อนางกล่าวถึงเรื่องนี้กะทันหัน ทำให้เขารู้สึกระวังตัวเล็กน้อย เพิ่งจะวางไม้จิ้มไฟลง ซ่งชูอีก็ลงมือกับเขาโดยไม่ทันตั้งตัว
จี๋อวี่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ร่างกายมีความเชื่องช้าชั่วขณะ จากนั้นซ่งชูอีก็หยิบแท่นไม้ที่อยู่ด้านข้างฟาดลงไปตรงท้ายทอยของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โยนแท่นไม้ทิ้ง ยื่นมือประคองร่างของเขาที่กำลังจะล้มลง
การกระทำเป็นไปอย่างเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ ด้วยประสบการณ์ของจี๋อวี่นั้นน่าจะรับมือได้ ทว่าเมื่อครู่ร่างกายของเขาตอบสนองช้าไปชั่วขณะ
ตามที่จี๋อวี่รู้จักซ่งชูอี นางเป็นคนที่ชอบใช้สมองแต่ไม่ชอบใช้กำลัง หากนางหนีออกไป จะต้องคิดใช้ลูกไม้สารพัดอย่างแน่นอน เขาคิดทุกอย่างไว้แล้ว แต่กลับคาดไม่ถึงว่านางจะโจมตีอย่างเปิดเผยเช่นนี้ สุดท้ายแล้วทักษะศิลปะการต่อสู้ของทั้งคู่ก็ยังห่างชั้นกันจนเกินไป
ซ่งชูอีประคองร่างของจี๋อวี่ลงบนพื้น เมื่อเห็นรอยบวมแดงบวมที่ท้ายทอยซึ่งดูเหมือนจะมีเลือดออกก็อดไม่ได้ที่จะสูดริมฝีปาก “ข้าก็ไม่มีทางเลือก มือของข้าไม่มีกำลังพอที่จะทำให้ท่านสลบ ทำได้เพียงฉวยสิ่งของที่เหมาะมือ ท่านเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง จะต้องเข้าใจและให้อภัยได้แน่”
พูดจบก็ยื่นมือลูบคลำหน้าอกของจี๋อวี่
ไป๋เริ่นตามออกมา ดวงตาที่เหมือนถั่วดำจ้องการกระทำของนาง
ซ่งชูอีเห็นว่าจี๋อวี่คล้ายมิได้หมดสติโดยสมบูรณ์ ไม่กล้ารั้งรออีก หยิบเสื้อผ้าเก่าๆ ออกมาทันที ตัดมันออกเป็นแถบยาวด้วยมีดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ มัดจี๋อวี่แล้วลากเขาไปบนเตียง สุดท้ายก็อุดปากเขาเอาไว้
จี๋อวี่สลบไปเพียงระยะเวลาครึ่งถ้วยน้ำชาก็เริ่มได้สติกลับมา เขาขยับตัวเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองถูกมัดแขนขาไว้ หูสั่นไหวเล็กน้อย ครั้นได้ยินเสียงปิดประตู ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในทันที
เมื่อครู่อ่างเผาฟืนถูกย้ายที่ เขานึกว่าซ่งชูอีต้องการจะอ่านหนังสือและเขียนตำรา จึงมิได้เก็บมาใส่ใจ เมื่อคิดดูแล้ว ที่แท้ก็เพื่อที่จะคว้าแท่นรองและจู่โจมได้ถนัดมือ!
คราวนี้เขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้จริงๆ ทั้งๆ ที่มีวิชาป้องกันตัว แต่กลับถูกเด็กหนุ่มที่ไม่มีแม้แต่แรงมัดไก่โจมตี อีกทั้งยังไม่นับว่าเป็นการลอบทำร้ายอีกด้วย
จะว่าไปแล้วเพราะประมาทศัตรูมากเกินไป จี๋อวี่หัวเสีย ต้องการจะใช้ลิ้นดันก้อนผ้าที่อุดปากออกมา ทว่าทั้งร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรง
นางวางแผนได้อย่างรอบคอบนัก!
จี๋อวี่คิดไปคิดมา รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่ซ่งชูอีวางยาลงในถ้วยล่วงหน้า มิฉะนั้นเหตุใดนางดื่มแล้วแต่ไม่เป็นอะไรเล่า? แต่อาจกลัวว่าเขาจะได้กลิ่น ฉะนั้นปริมาณยาจึงไม่มาก ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาหมดสติ
ซ่งชูอีพาไป๋เริ่นหนีออกมา เมื่อพบยามอารักขาก็ติดสินบนเขาด้วยทองเล็กๆ น้อยๆ สั่งให้เขาเชิญกงซุนกู่มา
หิมะด้านนอกโปรยปราย ซ่งชูอีถูกห่อด้วยเสื้อคลุมหนาและใหญ่ จึงไม่รู้สึกหนาว
หลังจากรออยู่ตรงเฉลียงสองเค่อ กงซุนกู่ก็เร่งรุดเข้ามา
กงซุนกู่พ่นควันสีขาวท่ามกลางแสงสะท้อนของหิมะ ก้าวเท้ายาวๆ มาที่เฉลียงพลางปัดหิมะบนตัว ถามว่า “หวยจิน
กล่อมพี่จี๋สำเร็จแล้วหรือ?”
“อืม รบกวนท่านแม่ทัพส่งข้าออกนคร และฝากดูแลพี่น้องของข้าด้วย” ซ่งชูอีเอ่ย
เดิมทีมันคือการตอบสนองความต้องการของกันและกัน กงซุนกู่ไม่รีรอ พลางเดินไปข้างนอกกับนางพลางเอ่ยขึ้น “หวยจินได้โปรดรับปากข้าเรื่องหนึ่ง ห้ามผิดสัญญา”
“ข้าจะพยายามเต็มที่ ทว่าจะสำเร็จหรือไม่นั้นข้ามิอาจคาดเดา” ซ่งชูอีกล่าว
กงซุนกู่ยิ้มเอ่ย “ได้ยินหวยจินกล่าวเช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว”
ต่อให้ราชทูตของรัฐเว่ย์สิ้นชีพด้วยเหตุนี้ ก็มิใช่เรื่องสำคัญสำหรับกงซุนกู่และรัฐเจ้าทั้งรัฐ หากสำเร็จ เขาก็จะมีความดีความชอบในงานนี้ หากล้มเหลว เขาก็จะหาวิธีตัดความสัมพันธ์เสีย
ทำเช่นนี้นับว่าไร้ความปรานีต่อซ่งชูอี ทว่าเดิมทีเขากับนางก็ไม่ได้มีมิตรภาพกระไรต่อกัน ครั้งนี้เป็นเพียงการใช้ประโยชน์ของกันและกันเท่านั้น
ทั้งสองคนย่ำอยู่ในหิมะส่งเสียงดังสวบๆ ส่วนไป๋เริ่นแม้นจะมีรูปร่างมหึมา ทว่ากลับเดินอยู่ในหิมะอย่างไร้ซุ่มเสียง
“สงครามเป็นเยี่ยงไรบ้าง?” ครั้นออกจากจวนรับรอง ซ่งชูอีก็ถอนใจโล่งอก
กงซุนกู่ตอบ “ฝ่ายตรงข้ามโจมตีนครสองครั้ง ทว่ามิใช่การโจมตีที่สำคัญอะไร พวกที่เฝ้าอยู่บนสะพานก็ไม่มีความเคลื่อนไหว สองฝ่ายชะงักงัน ราวกับเพียงพยายามยืดเยื้อกองทหารรักษาการณ์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในเมือง ไม่รู้ว่ามีกลอุบายอันใด”
ทั้งสองขี่ม้าไปด้วยกัน ควบม้าไปเรื่อยๆ จนถึงมุมหนึ่งทางเหนือของเมือง
“ท่านวางแผนจะกลับมาเมื่อใด?” ทันทีที่ลงจากม้า กงซุนกู่ถามขึ้น
“สี่วัน หากถึงเวลานั้นข้ายังไม่กลับ ก็แสดงว่าพบกับความยุ่งยากแล้ว” ซ่งชูอีเอ่ย
“ได้ อีกสี่วันข้าจะรอท่านที่นี่” กงซุนกู่ก้มลงและเอาก้อนหินใต้กำแพงออก เผยให้เห็นรูหนึ่งซึ่งเพียงพอให้คนคนหนึ่งหมอบคลานเข้าไปได้ “ลำบากหวยจินแล้ว ในเวลานี้ไม่สามารถออกทางประตูเมืองได้ มีเพียง…”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ท่านแม่ทัพก็เคยปีนแล้ว ข้าจะลำบากได้เยี่ยงไร?”
กำแพงเมืองหนาอย่างน้อยหนึ่งจั้ง หากไม่เคยปีนเข้าไป จะมั่นใจได้เยี่ยงไรว่าตรงนี้จะนำไปสู่ภายนอกได้?
ซ่งชูอียกมือขึ้นคำนับ จากนั้นก็ยกเสื้อคลุมขึ้น แล้วปีนเข้าไปโดยไม่ลังเล
ไป๋เริ่นตามก้นของซ่งชูอีมาโดยตลอด หลังจากเห็นนางเข้าไปแล้ว มองปากถ้ำอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ติดตามเข้าไปด้วย กงซุนกู่มองดูร่างของไป๋เริ่นที่เข้าถ้ำไปด้วยความประหลาดใจ อึ้งอยู่สักพักก่อนที่จะปิดปากถ้ำลง
ทันทีที่ซ่งชูอีเข้าไปแล้วจึงค้นพบว่า ถ้ำนี้ดูจากภายนอกแล้วเล็กมาก แต่ที่จริงตรงกลางใหญ่พอที่จะให้นางนั่งตัวตรงได้ ไป๋เริ่นสามารถเดินได้ตามปกติ ทว่าก่อนถึงทางออกกลับแคบลงเรื่อยๆ เดินผ่านได้ลำบากกว่าเมื่อครู่
คนและหมาป่าคลำทางอยู่ภายในครู่ใหญ่ ก่อนที่ซ่งชูอีจะสัมผัสได้ถึงก้อนหินที่ปิดไว้ตรงปากถ้ำ
ซ่งชูอีผลักก้อนหินหลวมๆ นั้นออกไป ปีนออกมาด้วยความยากลำบาก หันไปเห็นไป๋เริ่นเนื้อตัวเปื้อนฝุ่นออกมาจากถ้ำ อดมิได้ที่จะหัวเราะเสียงต่ำ
ไป๋เริ่นเขย่าหูปุกปุยของมัน หมอบอยู่ด้านข้างมองดูซ่งชูอีกองหินกลับไป
“ตระกูลกงซุนน่าสงสารเกินไปแล้ว! ถึงขนาดสร้างทางลับไว้ด้วย!” ซ่งชูอีเย้ยหยัน ที่จริงนางก็แค่บ่นเท่านั้น ในใจเข้าใจเป็นอย่างดี หากตระกูลกงซุนมีทางลับจริงๆ ก็คงไม่บอกให้คนนอกเช่นนางรู้
หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ซ่งชูอีก็กลบด้วยหิมะอย่างระมัดระวัง พลางถอยหลังพลางทำรอยเท้าให้เรียบ แม้จะดูไม่เหมือนหิมะที่อยู่ด้านข้าง ทว่าเคราะห์ดีที่หิมะยังตกอยู่ ผ่านไปสักเค่อสองเค่อก็มองไม่เห็นแล้ว
หลังจากเดินออกไปสิบกว่าจั้ง ซ่งชูอีจึงยืดตัวขึ้น มองดูรอบทิศ เพื่อป้องกันมิให้หาสถานที่ไม่เจอขณะกลับมา
“ไป๋เริ่น คราวนี้เจ้าต้องให้ข้าขี่หลังเสียโดยดี กลับมาแล้วข้าจะให้เนื้อชิ้นใหญ่เจ้า” ซ่งชูอีเอาเนื้อแห้งให้มันหนึ่งชิ้น
ไป๋เริ่นกำลังกินอย่างเปรมปรีย์ จู่ๆ รู้สึกแผ่นหลังหนักอึ้ง จึงฉวยโอกาสหมอบตัวในพื้นหิมะแล้วกินต่อ
“เฮ้อ!” ซ่งชูอีทอดถอนใจยืดยาว พามันออกมามีประโยชน์อันใดกัน? เดินไปเองยังจะดีเสียกว่า!
นั่งอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งเนื้อตัวก็เปื้อนหิมะ ซ่งชูอีจึงสะบัดเสื้อคลุมตัวใหญ่แล้วมุ่งหน้าไปยังทิศใต้
องค์ชายฟ่านโจมตีนครจากทิศใต้และทิศตะวันตก ค่ายผู้บัญชาการน่าจะตั้งอยู่สองทิศนี้
อย่างไรก็ดีซ่งชูอีไม่ใคร่เข้าใจภูมิศาสตร์ในละแวกนี้มากนัก ด้วยระดับความเร็วนี้ พรุ่งนี้ก็อาจหาตำแหน่งที่ตั้งของค่ายไม่เจอ
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็กระโจนลงแสร้งตายบนพื้นหิมะ
ในตอนแรกไป๋เริ่นนึกว่าซ่งชูอีเล่นกับมัน อีกทั้งยังตะกุยหิมะอย่างมีความสุข ทว่าเล่นอยู่พักหนึ่ง พบว่าคนบนพื้นไม่ไหวติง รีบใช้หัวดุนๆ ใบหน้าของนาง เมื่อเห็นว่านางดูเหมือนแม่ของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงครางอิ๋งอิ๋งด้วยความเศร้าสร้อย
นี่เป็นครั้งที่ไป๋เริ่นร้องโหยหวนด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของหมาป่า
ซ่งชูอีปีนขึ้นมาจากหิมะทันควัน “มารดาเจ้าสิ! ระวังจะหันไปถูกลูกธนูยิงตาย”
ไป๋เริ่นนิ่งไปครู่หนึ่ง ครั้นเห็นนางฟื้นคืนอีกครั้ง ดีใจจนหูสั่นริก
“เฮ้อ!” ซ่งชูอีถอนหายใจอย่างแรงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าสัตว์ป่าตัวน้อยนี้จริงๆ เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้นางขี่หลัง
หมาป่ามักจะแบกของไว้บนหลังเสมอมิใช่หรือ? เห็นได้ชัดว่าหลังนี้มิได้เป็นสถานที่สูงส่งกระไรเลย
ลมหิมะแผดเสียงคำรามบนพื้นหิมะอันกว้างใหญ่ ซ่งชูอีเดินเลียบกำแพงเมืองไปยังทิศใต้ในหิมะที่ทับถมกันหนาด้วยความยากลำบาก
หลังจากผ่านไปราวๆ สามชั่วยาม มีชิ้นส่วนอวัยวะอยู่บนพื้นไกลๆ เลือดสีแดงสดไหลซึมหิมะสีขาว
ซ่งชูอีเห็นว่าบนตัวคนเหล่านั้นมีเพียงหิมะชั้นบางๆ ปกคลุมเท่านั้น รู้สึกใจชื้นขึ้นมาไม่น้อย รีบหารอยเท้าบนพื้นอย่างรวดเร็ว ดูจากสถานการณ์แล้ว เพิ่งจะเกิดการโจมตีครั้งใหม่ หากเดินย้อนตามรอยเท้าของพวกเขาไม่แน่ว่าอาจจะหาค่ายที่พักเจอ
กลิ่นเลือกหนักหน่วงกระตุ้นสัญชาตญาณดุร้ายของไป๋เริ่น ขนทั้งตัวลุกชันทันใด ซ่งชูอีรีบลูบขนให้มัน พูดเสียงต่ำ “นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่นะ รู้เช่นนี้ก็ไม่พาเจ้าออกมาด้วยแล้ว”
หลังจากสามารถทำให้มันเย็นลงได้อย่างยากลำบาก ทั้งคนและหมาป่าก็วิ่งไปตามรอยบนพื้น
ไม่รู้ว่าวิ่งๆ หยุดๆ นานแค่ไหน ซ่งชูอีจึงมองเห็นแสงไฟที่อยู่ด้านหน้า
นางหยุดวิ่งกะทันหัน หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่พักใหญ่ ก็สามารถมองเห็นกระโจมทหารในแสงสลัวยามพลบค่ำ มันคือค่ายทหารจริงๆ
ซ่งชูอีพาไป๋เริ่นเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย
ที่นี่มีทหารประจำการอยู่หนึ่งแสนนาย ซ่งชูอีไม่คิดว่าตนกับไป๋เริ่นจะสามารถลอบเข้าไปได้ อีกทั้งต่อให้มีโอกาสเล็ดลอดเข้าไป ถ้าหากถูกจับได้ก็จะต้องถูกจัดการในฐานะสายลับเป็นแน่ ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายเยี่ยงไร สู้เข้าไปขอพบตรงๆ เสียดีกว่า
“ใครน่ะ!”
ซ่งชูอียังอยู่ห่างจากประตูใหญ่สิบห้าสิบหกจั้ง ยามอารักขาก็คำรามออกมา
ซ่งชูอีกระแอมไอ ยืนตะโกนอยู่ที่เดิม “ข้าน้อยเป็นสหายเก่าแก่ขององค์ชายอี่โหลว เดินทางผ่านรัฐเจ้า ได้ยินว่าองค์ชายอี่โหลวอยู่ที่นี่ จึงตั้งใจมาแวะคารวะ”
นายทหารผู้รักษาการณ์เห็นว่าคล้ายเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมธรรมดาสีดำคนหนึ่ง กำลังจะวางใจก็พลันเห็นหมาป่าตัวหนึ่งข้างกายนาง อดตกใจกลัวมิได้
แม้นว่าอยู่ห่างกันไกลเพียงนั้น ทว่าซ่งชูอีกลับสามารถรู้สึกได้ถึงความตื่นตัวของพวกเขา รีบยื่นมือลูบหัวของไป๋เริ่น กิริยาเช่นนั้นคือการปลอบประโลมไป๋เริ่น และเป็นการให้คนเหล่านั้นเข้าใจว่าหมาป่าตัวนี้มากับนาง
“ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญต้องการพบองค์ชาย ได้โปรดรายงานให้ด้วย” ซ่งชูอีเอ่ยเสียงดัง
“กรุณารอสักครู่” ตรงทางเข้ามีทหารนายหนึ่งวิ่งเข้าไป คนที่เหลือกุมดาบป้องกันตัว
ผ่านไปครู่หนึ่งคนนั้นกลับออกมา เอ่ยว่า “บัดนี้องค์ชายเข้าบรรทมแล้ว พรุ่งนี้เจ้าค่อยมาใหม่เถิด!”
เดินกลับไปอีกสามถึงห้าชั่วยามเช่นนั้นหรือ? ซ่งชูอีลอบด่าอยู่ในใจ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อันที่จริงหากต้องการจะเข้าไปก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี เพียงเอ่ยสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ทว่านางไม่อยากมากเรื่อง เพื่อป้องกันมิให้ถอนตัวลำบากในภายหลัง ดังนั้นนางจึงพาไป๋เริ่นไปหาต้นไม้หลบลมและรอจนถึงฟ้าสาง
……………………………..