กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 103 ข้าเดาไม่ออก
ซ่งชูอีรับยาที่ชวนผิงส่งมาให้ ทาบาดแผลของเจ้าอี่โหลวอย่างไม่เบามือเลยแม้แต่น้อย
เจ้าอี่โหลวสีหน้ามืดมน กัดฟันมิได้ส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา
“เหตุใดจึงทะเลาะกับเขา?” ซ่งชูอีถาม
เนิ่นนาน ชวนผิงเห็นว่าไม่มีใครกล่าวกระไร กำลังจะอ้าปากพูด กลับถูกเจ้าอี่โหลวจ้องเขม็งด้วยสายตาดุร้าย จึงรีบกลืนคำพูดลงไปทันที
ที่จริงเจ้าอี่โหลวทะเลาะกับองค์ชายฟ่าน เพราะประโยคหนึ่งขององค์ชายฟ่าน “เกิดมาหน้าตาดีเช่นนี้ หากไม่ใช้รูปลักษณ์ในการใช้คนก็ไม่เท่ากับเป็นการเสียของหรอกหรือ? ช่างไม่เหมาะแก่การเป็นองค์จวินโดยแท้”
วาจาประเภทนี้ ต่อให้เจ้าอี่โหลวเย้ยหยันกลับไปเป็นหมื่นประโยคก็ไม่สบายใจเท่ากับซัดเขาสักมัดหนึ่ง
แม้นองค์ชายฟ่านจะมีบุคลิกสำอางค์เหมือนองค์ชาย ทว่ามิใช่คนอ่อนแอ ระหว่างที่สองคนต่อสู้กันก็แข็งแกร่งเอาการ
ซ่งชูอีรู้สึกโกรธกับอารมณ์หัวแข็งของเขา มือยิ่งออกแรงหนักกว่าเดิมแล้ว
“ซื้ด!” เจ้าอี่โหลวสูดอากาศเฮือกหนึ่ง แต่กลับมิได้หลบเลี่ยง
ครั้นชวนผิงเห็นว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนดูเหมือนจะสงบลงบ้างแล้ว จึงกล้าพูดขัดจังหวะ “องค์ชายฟ่านรับสั่งให้ตระเตรียมรถม้าแก่หวยจิน อีกทั้งยังส่งทหารสิบกว่านายอารักขากลับรัฐเว่ย์ ข้าจะไปจัดการบัดนี้”
บอกว่าอารักขา สู้บอกว่าคุ้มกันยังจะเหมาะสมกว่า ทว่ามันก็เป็นไปตามความต้องการของซ่งชูอี
“ลำบากแล้ว” ซ่งชูอีวางขวดยาลงแล้วประสานมือคำนับ
ชวนผิงตอบว่ามิกล้า จากนั้นก็รีบถอยออกไป
เจ้าอี่โหลวพเนจรเป็นเวลาหกปี ผ่านความทุกข์ทรมานทุกรูปแบบ เขามิใช่คนประเภทที่คุ้นเคยกับกิจการทางโลก อย่างไรก็ดีหากเลือกได้ เขาก็ยอมที่จะไม่เป็นคนที่สูงศักดิ์และมั่งคั่ง วันเวลาที่ทุกคนวางอุบายต่อกันและกันไม่สู้การนอนกลางดินกินกลางทราย ในขณะนั้นการได้กินเนื้อกึ่งสุกกึ่งดิบในรอบสามถึงห้าเดือนก็รู้สึกมีความสุขแล้ว ทว่าบัดนี้แม้นจะมีทั้งเนื้อให้กินและอาภรณ์หรูหราแต่กลับไม่สบายใจเลย
เขารู้สึกว่าผู้คนเหล่านี้ที่อยู่รอบๆ น่ากลัวกว่าการได้เจอกับฝูงหมาป่าเสียอีก พวกเขาปากคล้ายจะหวานทว่าซ่อนมีดอยู่ในท้อง การกระทำทุกอย่างล้วนมีเป้าหมาย การที่พวกเขาให้อาหารเขากิน ก็เพื่อที่จะสามารถกอบโกยจากเขาได้มากขึ้น
“เจ้า…” เจ้าอี่โหลวรู้สึกจุกอยู่ในลำคอครู่หนึ่ง หลุบตาลงแล้วเอ่ยต่อ “เจ้าไปเว่ย์คราวหน้า ลำบากมากหรือไม่?”
“ลำบาก” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ลำบากเหมือนกับเจ้าที่อยู่ที่นี่”
“รักษาตัวด้วย” เจ้าอี่โหลวกล่าวเสียงเบา
ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง เอื้อมมือไปลูบผมที่เรียบและเย็นเฉียบเล็กน้อยของเขา มองดวงหน้าที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมนี้อย่างละเอียดละออ คิดในใจ พบกันคราวหน้า เขาอาจจะเกรียงไกรจนหาผู้ใดเปรียบได้แล้วกระมัง!
อี่โหลว เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี
ซ่งชูอีเอื้อมมือกอดศีรษะของเขา
เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าอี่โหลวกล่าวเสียงอู้อี้ “เจ้าไม่โตขึ้นเลยสักนิด”
ซ่งชูอีรู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปแล้วดีดกะโหลกศีรษะของเขาอย่างแรง หัวเราะเอ่ยหึหึ “ของของข้าเสมือนบุปผาที่เสริมแต่งให้งานปัก จะมีหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ทว่าหากของของเจ้าไม่โต เกรงว่าไม่ใช่แม้แต่งานปักด้วยซ้ำ!”
เจ้าอี่โหลวผลักนางออกไป ขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าเป็นผู้มีความรู้ ไฉนจึงได้พูดจาต่ำทรามเพียงนี้!”
ซ่งชูอียกถ้วยน้ำขึ้น ปรายตามองเขา เอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ “เจ้าพูดถึงเรื่องนี้ก่อน ข้านึกว่าเจ้าชอบหัวข้อนี้เสียอีก”
“เช่นนั้นเจ้าก็ปฏิบัติกับข้าอย่างดีทีเดียว” เจ้าอี่โหลวตอบกลับอย่างไม่แยแส ลุกขึ้นหยิบหม้อดินออกมาจากตะแกรงเล็กๆ ใต้โต๊ะตัวเตี้ย หยิบของที่ถูกห่อด้วยผ้าไหมออกมาจากข้างในแล้วยัดใส่สัมภาระของซ่งชูอี
“นี่มันอะไร” ซ่งชูอีโน้มตัวเข้าไป ยื่นมือต้องการจะหยิบมันออกมา เจ้าอี่โหลวปัดมือของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง “มันคือเนื้อที่ข้าให้ไป๋เริ่นกินระหว่างทาง”
ซ่งชูอีเบะปากเอ่ย “ข้าไม่ต้องการเจ้าเนรคุณนี่แล้ว มันชอบเจ้าถึงเพียงนั้น เจ้าก็เลี้ยงไว้เถิด เอาเนื้อกลับไปด้วย!”
“ข้าจะแลกมันด้วยเนื้อชิ้นนั้น” เจ้าอี่โหลวกล่าวทันที
ซ่งชูอีลอบยิ้มในใจ ทั้งๆ ที่จะมอบเนื้อนั่นให้นางแต่กลับไม่ยอมรับ ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ดื้อด้านจริงๆ
ไป๋เริ่นเงยหน้าเฝ้าดูพวกเขาสองคนคุยกันอย่างร่าเริง ไม่รู้ว่าตัวเองมีมูลค่าเพียงเนื้อชิ้นนั้น
หากเทียบกับซ่งชูอีแล้ว เจ้าอี่โหลวต้องการไป๋เริ่นเป็นเพื่อนมากกว่า อย่างน้อยนางก็ยังสามารถหาความสุขด้วยตัวเองได้ อีกทั้งการไปรัฐเว่ย์ครั้งนี้ จำต้องทนทุกข์กับความยากลำบากบางอย่างและอาจถูกควบคุมตัว พาไป๋เริ่นไปจะไม่สะดวก ฉะนั้นนางจึงตัดสินใจทิ้งไป๋เริ่นให้กับเจ้าอี่โหลว
เจ้าอี่โหลวสั่งให้คนทำก๋วยเตี๋ยวน้ำร้อนๆ เข้ามาสามชาม ปลุกจี้ฮ่วน หลังจากทั้งสามคนกินอิ่มแล้วก็นั่งพักครู่หนึ่ง
ชวนผิงตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซ่งชูอีแบกสัมภาระสองใบแล้วออกไปจากกระโจมพร้อมกับจี้ฮ่วน
นางมิได้ให้เจ้าอี่โหลวไปส่ง ถึงอย่างไรไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องจากกันอยู่ดี ทำตัวติดกันไปก็ไม่มีความหมายอะไร
รถม้าออกเดินทางได้ไม่นาน ซ่งชูอีพลันนึกถึงเนื้อที่เจ้าอี่โหลวใส่มาให้ จึงหยิบมันออกมาจากถุงสัมภาระ
จี้ฮ่วนบาดเจ็บ ซ่งชูอีสั่งให้เขานอนอยู่บนเตียง หลังหลับตาลงเพียงชั่วครู่ก็กลับได้ยินเสียงทอดถอนใจแผ่วเบาของซ่งชูอี อดหันไปมิได้
ซ่งชูอีหยิบของชิ้นนั้นออกมาจากห่อผ้าไหม เห็นได้อย่างชัดเจนจากลักษณะของมันว่าเป็น…อุ้งตีนหมีย่างชิ้นหนึ่ง!
เหม่อลอยเป็นเวลานาน ก่อนหยิบขึ้นมากัดคำหนึ่ง วินาทีที่เอาเข้าปากน้ำตาก็ไหลพราก
ซ่งชูอีไม่รู้ว่าตอนที่เจ้าอี่โหลวยังเป็นเด็กได้กินอุ้งตีนหมีบ่อยหรือเปล่า ทว่าเจ้าอี่โหลวที่นางรู้จักเปรียบอาหารดังชีวิต เขาซ่อนอุ้งตีนหมีชิ้นนี้ไว้อย่างพิถีพิถันเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญมากและทำใจที่จะกินมิได้ แต่กลับยกให้นางโดยไม่ลังเล…
“ท่าน?” จี้ฮ่วนเรียกนางด้วยสีหน้าเปี่ยมความประหลาดใจ แม้นอุ้งตีนหมีจะหายาก ทว่าก็คงไม่ถึงขนาดร้องไห้จนน่าเกลียดปานนี้กระมัง
ซ่งชูอีใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าลวกๆ “เจ้าอี่โหลวเฮงซวย ของดีๆ แต่กลับทำรสชาติได้แย่เพียงนี้ ไม่ดีเท่าไก่ย่างด้วยซ้ำ!”
“นำไปใส่ในหม้อเคี่ยวสักสองเค่อก็ไม่เป็นไรแล้ว” ในใจของจี้ฮ่วนรู้สึกว่าก่อนหน้านี้นางดูเหมือนผู้รอบรู้ เหตุใดจู่ๆ จึงไร้อนาคตเช่นนี้
“จริงรึ” ซ่งชูอีใช้ผ้าไหมห่อมันไว้ แล้วใส่เข้าไปในถุงสัมภาระ “เช่นนั้นพรุ่งนี้ค่อยทำ”
จี้ฮ่วนพยักหน้า ข่มใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “ท่านคิดจะกลับเว่ย์จริงหรือ? ข้าดูท่าทางของทหารเหล่านั้นแล้ว คล้ายต้องการสังหารกบฏโดยไร้ความปรานี เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงกริ้วมากจริงๆ”
“จะต้องกลับไป มิเช่นนั้นสกุลหลงกู่กับสกุลจี๋จะทำเยี่ยงไรเล่า?” ซ่งชูอีกล่าวเสริมเงียบๆ อยู่ในใจ อีกทั้งคนที่นางเก็บมาได้ “อย่าได้เป็นกังวล ข้าได้เตรียมรับมือไว้นานแล้ว”
แม้ว่าซ่งชูอีจะหนีไปจริงๆ จี้ฮ่วนก็จะไม่ดูแคลนนาง ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของนางเช่นนี้ ในเวลานี้เขายิ่งชื่นชมสตรีที่อยู่ตรงหน้ายิ่งกว่าเดิม “ท่านมีคุณธรรมใหญ่หลวงนัก!”
สำหรับผู้ที่เปิดโปงนั้น ซ่งชูอีสงสัยว่าเป็นหมิ่นฉือ เพราะว่าผู้อื่นมิได้มีแรงจูงใจที่เด่นชัด ทว่าหมิ่นฉือกลับมีแรงจูงใจ กลยุทธ์ที่ครอบคลุมเช่นนี้ เมื่อถูกแพร่งพรายออกไปแล้ว แม้ภารกิจจะล้มเหลวทว่าผู้ที่ดำเนินการจะต้องได้รับความดีความชอบแน่ ผู้ที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและเป็นจอมวางแผนเช่นหมิ่นฉือทำเรื่องเช่นนี้ได้ก็มิใช่เรื่องแปลก…
“ท่านเป็นสตรีจริงหรือ?” จี้ฮ่วนมองดูสีหน้าแน่วแน่ของนาง อดถามมิได้
คิ้วของซ่งชูอีสั่นไหวเล็กน้อย ยิ้มกว้างพร้อมถามว่า “เจ้าทายสิ?”
“ข้า…” จี้ฮ่วนเป็นบุรุษผู้ซื่อตรงเสมอมา “ข้าเดาไม่ออก…”
“สายตาเจ้ามีปัญหาหรือ! ข้าจะเดินเหินก็ไม่เคยเปลี่ยนชื่อจะนั่งก็ไม่เคยเปลี่ยนนาม…” ซ่งชูอีโน้มตัวเข้าหาเขา กัดฟันเอ่ยเสียงต่ำ “เป็นสตรีผู้บริสุทธ์ตั้งแต่แรกเกิด เรื่องที่ชัดเจนเช่นนี้ เจ้าดูไม่ออกจริงหรือ?”
จี้ฮ่วนส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าดูไม่ออกเลยสักนิด
………………………………