กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 106 ก่อนพายุจะเข้า
ท้องพระโรงเต็มไปด้วยความเงียบงัน
ไม่นาน แสงไฟที่ประตูก็ค่อยมืดลง หนึ่งคนและหมาป่าหนึ่งตัวเดินเข้ามาช้าๆ
คนผู้นั้นสวมชุดผ้าแขนกว้างที่ยังมิได้ย้อมสี ผมสีดำยังไม่ได้มัดเป็นมวย ใช้เพียงไม้สีดำอันเล็กปักอยู่ด้านหลัง คิ้วยาวชี้เข้าไปในขมับ ดวงตานั้นเย็นชาเหมือนดวงดาว แสงสว่างเจิดจ้าที่ส่องเข้ามาจากด้านหลังทำให้ดวงหน้าหล่อเหลานั้นยิ่งล้ำลึกมากขึ้น หมาป่าที่เดินอยู่ข้างกายเขามีความยาวมากกว่าสามฉื่อ ทั้งตัวมีสีขาวดุจหิมะ ดูเกรียงไกรเป็นอย่างมาก
ยิ่งเจ้าอี่โหลวเดินลึกเข้าไปข้างใน ทุกคนก็สามารถเห็นรูปลักษณ์ของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น
แทบไม่ต้องพิสูจน์ ผู้คนส่วนมากต่างดูออกในแวบแรกว่ารูปลักษณ์ของเจ้าอี่โหลวคล้ายคลึงกับเจ้าจางจีในสมัยนั้นห้าถึงหกส่วน ในโลกนี้ยังมีคนที่ไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือดทว่าหน้าตาคล้ายคลึงกัน แต่มีความเป็นไปได้น้อยมากที่เด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาโดดเด่นจะบังเอิญเหมือนกับเจ้าจางจีถึงเพียงนี้
แม้แต่กงซุนพีเองก็ยังลอบอุทานอยู่ในใจ รูปโฉมเด็กหนุ่มผู้นี้คือการรวมตัวระหว่างจวินองค์ก่อนกับจุดเด่นทั้งหมดที่เจ้าจางจีมีอยู่ในร่างเดียวกันจริงๆ!
ผู้คนในสมัยนี้เริ่มนิยมชมชอบชายรูปงามที่บอบบางและอ่อนโยน ชายหนุ่มจำนวนมากก็เริ่มเรียนรู้ที่จะแต่งหน้าแต่งตาดังสตรี ในบางครั้งก็จะมีชายหนุ่มที่งดงามจนน่าทึ่งและบอบบางดุจสตรีจริงๆ! นี่ทำให้คนเริ่มคิดว่าเมื่องดงามถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะเป็นได้ทั้งหญิงและชายกระมัง! ทว่าแม้นเจ้าอี่โหลวอายุยังน้อย บัดนี้เค้าโครงหน้ากลับชัดเจนและมีสุขภาพดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีความเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจแม้แต่น้อย
องค์ชานฟ่านลุกขึ้นยืน ยื่นมือส่งสัญญาณให้เจ้าอี่โหลว ปล่อยให้เขานั่งที่ของตัวเองชั่วคราว
เจ้าอี่โหลวก็ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย นั่งคุกเข่าลงไม่พูดไม่จา ไป๋เริ่นติดตามมาแล้วหมอบลงข้างเขาอย่างว่าง่ายซึ่งทำให้ทุกคนประหลาดใจไม่น้อย แต่แล้วเมื่อคิดว่าเขาอาศัยอยู่ในภูเขาและป่าไม้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีหมาป่าตัวหนึ่งเป็นเพื่อนก็มิใช่เรื่องน่าแปลกกระไร
“ท่านมหาเสนาบดี องค์ชายเค่อก็อยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็จะไม่ทำเกินหน้าที่และเข้าไปก้าวก่ายอีก ทว่าบ้านเมืองไม่อาจขาดองค์จวินไปได้แม้แต่วันเดียว เชื่อว่าท่านมหาเสนาบดีก็คงไม่หาข้ออ้างต่างๆ นานาเพื่อประวิงเวลารัฐเจ้าอีกกระมัง?” องค์ชายฟ่านเอ่ยหัวเราะเบาๆ
สาวใช้ย้ายที่นั่งอีกที่ไปให้องค์ชายฟ่าน เขาจึงนั่งลงตามอัธยาศัย
แม้นสีหน้าของเจ้าอี่โหลวมีความเด็ดเดี่ยว ทว่าบัดนี้มีเหงื่อซึมอยู่บนฝ่ามือแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขานั่งอยู่ที่นั่งหลักพร้อมเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางมากมายเพียงนี้ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร จึงได้แต่นิ่งเฉย
เขาไม่รู้ว่า ในทางตรงกันข้ามความเงียบงันนี้ทำให้เขาค่อนข้างสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด
ในตอนแรกนั้นเจ้าอี่โหลวรู้สึกหวาดกลัวมาก ทว่าทันใดนั้นก็นึกถึงที่ซ่งชูอีบอกว่านางอยู่ที่รัฐเว่ย์ก็ลำบากและเสี่ยงอันตรายเช่นเดียวกันกับเขา ไม่รู้เพราะเหตุใด ความตึงเครียดและความหวาดผวาก็ถูกปัดเป่าไปไม่น้อย
เจ้าอี่โหลวเหม่อมองนกที่อยู่นอกท้องพระโรง ครั้นเหล่าขุนนางในท้องพระโรงเห็นดังนั้น พลันคิดในใจว่า หรือว่าจะเป็นคนปัญญาอ่อน?
อย่างไรก็ดีองค์ชายฟ่านพึงพอใจกับการแสดงออกของเจ้าอี่โหลวยิ่ง
ไม่รู้ว่านกข้างนอกถูกอะไรทำให้ตกใจ กะพือปีกบิน แล้วหายไประหว่างกำแพงพระราชวัง
ผูหยางในรัฐเว่ย์
จี้ฮ่วนมาขออาศัยบ้านหลังหนึ่งในตรอกห่างไกล มันตั้งอยู่ใกล้ชานเมืองดูวิเวกวังเวงอย่างเห็นได้ชัด มีกระเบื้องแตกหักทุกที่ บ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมของรัฐเว่ย์
บ้านหลังนี้มีด้วยกันทั้งหมดสามคน มีมารดาในวัยสามสิบปลายๆ คนหนึ่ง กับบุตรีฝาแฝดคู่หนึ่งที่ยังเด็กอยู่
สามคนแม่ลูกล้วนใส่ผ้ากระสอบ มีรอยปะบนตัวมากมายทว่าสะอาดยิ่ง บัดนี้ผู้เป็นมารดาไม่มีความสวยของวัยสาวหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ชีวิตที่แร้นแค้นทำให้นางดูเหมือนคนอายุห้าสิบปี แผ่นหลังงุ้มงอเล็กน้อย ส่วนหน้าตาของสองพี่น้องก็ไม่ได้นับว่าสวย แขนขาเหมือนไม้ไผ่และผมก็แห้งกรอบ แต่พวกนางมีดวงตาที่โตและสดใสคู่หนึ่ง
บ้านของพวกนางใหญ่พอใช้ มีสี่ถึงห้าห้อง ทว่ามีสภาพทรุดโทรมมานานแล้ว ภายในบ้านก็ไม่มีเครื่องใช้กระไร มีเพียงเสื่อฟางสองผืนปูอยู่บนพื้น เครื่องนอนนั้นเก่าชำรุด และมีตะเกียงน้ำมันตั้งอยู่บนพื้น
ซ่งชูอีไม่เคยจุกจิกกับเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงสั่งให้จี้ฮ่วนแจกจ่ายอาหารบางส่วนให้กับเหล่าแม่ลูก จากนั้นก็เข้าไปในห้องและเข้านอน
จี้ฮ่วนลังเลครู่หนึ่ง ดึงเสื่อฟางของตัวเองห่างออกมาอีกเล็กน้อย แล้วนอนลงพร้อมกับเสื้อผ้าของเขา
การเดินทางยาวนานทำให้พวกเขาอ่อนล้ามาก จี้ฮ่วนราวกับหลับไปทันทีที่เอนกายลง ซ่งชูอีครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง ขณะที่กำลังจะผล็อยหลับไปนั้น ก็ได้ยินเสียงคนข้างนอกคุยกัน
“วันนี้มีแขกแล้ว เชิญท่านกลับไปเถิด” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวเสียงกระซิบ
เสียงของผู้ชายอีกคนที่เจือปนเสียงหัวเราะน่าสมเพศตะโกนขึ้น “วันนี้ไม่มีใครที่อยู่ในละแวกนี้มาเลย พวกเจ้าจะลากแขกมาจากไหนกัน? รีบให้แม่หนูสองคนนั่นมาปรนนิบัตินายใหญ่เร็วเข้า”
“มีแขกจริงๆ ได้โปรดท่านวันหน้าค่อยมาเถิด!”
“อย่ามาหลอกข้า ในบ้านมืดเพียงนี้ แม้แต่เสียงฮือฮือก็ไม่มี…”
จากนั้นเสียงกรอบแกรบก็ดังมากจากข้างนอก ราวกับว่ากำลังผลักกัน จี้ฮ่วนก็ลืมตาเช่นกัน เหลือบมองซ่งชูอีภายใต้แสงสลัว
ซ่งชูอีโบกมือให้เขา ส่งสัญญาณว่าอย่าเข้าไปยุ่มย่าม แม่ลูกคู่นี้ราวกับว่าขายเนื้อหนังมังสาเพื่อปากท้องเป็นปกติวิสัย แขกที่มาหาพวกนางที่นี่เกรงว่ามีทุกประเภท มันเป็นการยากที่จะป้องกันตนจากคนร้าย หากต้องเข้าไปพัวพันกับพวกคนไร้เหตุผลก็จะยุ่งยากเสียเปล่า ตราบใดที่พวกเขาไม่บุกเข้ามาในห้องนี้ ซ่งชูอีก็จะไม่ยุ่ง
เสียงในลานสงบลง ไม่นาน เสียงหายใจหอบของผู้ชายกับเสียงสะอื้นให้เบาๆ ของเด็กหญิงก็ลอยมาจากข้างห้อง จากนั้นครู่หนึ่ง เสียงลมหายใจนั้นก็ยิ่งคลุมเครือมากขึ้นทุกที
ซ่งชูอีตั้งใจฟัง มันเป็นเสียงของเด็กสาวสองคน
จี้ฮ่วนซุกศีรษะอยู่ในผ้าห่มด้วยความเขินอาย ทั้งตัวแข็งทื่อ ไม่ขยับเขยื้อน
เขาตื่นเต้นจนเหงื่อท่วมร่างกาย เพียงประเดี๋ยวเดียวก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของซ่งชูอี!
จี้ฮ่วนถอนหายใจโล่งอก กำลังจะเตรียมคลุมโปงเข้านอน เสียงจากอีกฟากหนึ่งก็ยิ่งเร่าร้อนมากขึ้น ได้ยินดังนั้นเขาก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองบ้างแล้ว
ช่างมันเถิด ทนหน่อยก็แล้วกัน
……
ผ่านไปสองชั่วยาม
เสียงยังคงดำเนินต่อไป! จี้ฮ่วนกัดฟัน แทบทนไม่ไหวต้องการจะถือดาบไปฟันคนที่อยู่ห้องข้างๆ เสีย หลายร้อยปีมานี้ไม่เคยเห็นผู้หญิงหรืออย่างไรกัน!
แม้จะมีเวลาที่ไม่ต่อเนื่องกันบ้าง และจี้ฮ่วนเองก็หลับไปหลายรอบ ทว่าช่วยไม่ได้ที่เขาเป็นคนตื่นง่าย ความเคลื่อนไหวเพียงนิดเดียวก็สามารถทำให้เขาตื่นได้แล้ว ใครจะไปเหมือนคนที่อยู่ข้างๆ ที่นอนทั้งแนวตั้งแนวนอนและแนวทแยง ราวกับเปลี่ยนท่าทั้งหมดนี้แล้วทั้งสิ้น นอนหลับได้อย่างเต็มอิ่มยิ่ง!
วันรุ่งขึ้น ซ่งชูอีลุกจากเตียงด้วยความสดชื่นแจ่มใส ครั้นออกมาจากห้องก็เห็นจี้ฮ่วนยืนหน้าถมึงทึงอยู่ที่เฉลียง และใต้ตาของเขาก็ดำมืด
“ท่านแขก ทานอาหารเช้าเลยหรือไม่?” ผู้หญิงเดินเข้ามาหาอย่างประหม่า
ซ่งชูอีสามารถเห็นได้ว่าเนื้อตัวของนางสั่นเทาเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อีกประเดี๋ยว”
หลังจากนางไปล้างหน้าล้างตาที่บ่อน้ำแล้ว ก็นั่งคุกเข่าลงตรงหน้าก้อนหินก้อนเดียวในลาน
ผู้หญิงผู้นั้นลอบมองจี้ฮ่วนด้วยใบหน้าซีดขาว จากนั้นก็รีบหมุนตัวจากไป เด็กสาวสองคนยกก๋วยเตี๋ยวน้ำสองชามเข้ามา จี้ฮ่วนรู้ว่าทันทีที่กินเสร็จก็ต้องออกจากบ้าน จึงนั่งลงถือชามดินเผาและลงมือซดเสียงดัง
หลังจากที่ทั้งสองคนกินหมดแล้ว ซ่งชูอีก็บอกกล่าวว่าคืนนี้จะกลับมาพักอีก ครั้นออกจากบ้านไปแล้วซ่งชูอีก็ถามขึ้น “ฮ่วน เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ใดในผูหยางมีแหล่งซื้อขายข่าวสารบ้าง?”
“ซื้อขายข่าวสาร?” จี้ฮ่วนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “คลับคล้ายคลับคลาว่ามีธุรกิจเช่นนี้ในชมรมป๋ออี้ ท่านต้องการจะซื้อข่าวสารหรือ?”
ซ่งชูอีกล่าว “นำทางไป ไปดูกันก่อน”
ชมรมป๋ออี้ มิใช่สถานที่เล่นหมากล้อมธรรมดา เช่นหมากลิ่วป๋อและสัญญาเดิมพันระหว่างเหล่าบัณฑิตล้วนเข้าข่ายการพนันทั้งสิ้น และชมรมป๋ออี้ก็คือสถานที่ที่ให้บริการสิ่งเหล่านี้ ทว่าสิ่งที่ต่างจากบ่อนอื่นก็คือ สัญญาการเดิมพันทั้งหมดล้วนดำเนินไปตาม “สัญญาแห่งองค์จวิน” ซึ่งดูสูงส่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด
………………………………..