กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 110 โด่งดังแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
แม่ลูกสามคนเงยหน้าขึ้น ลังเลมิกล้ายื่นมือรับ
“ข้าไม่หิว เจ้าจะเอาไปไว้ตรงไหนก็แล้วแต่!” ซ่งชูอีพูดจบก็วางชามลงบนพื้น หมุนตัวกลับเข้าห้องไป
จี้ฮ่วนมองประตูห้องอย่างงุนงงครู่หนึ่ง แล้วกินข้าวต่อ
พักผ่อนผ่านไปหนึ่งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากซ่งชูอีกินก๋วยเตี๋ยวน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็ปล่อยให้จี้ฮ่วนออกไปสืบข่าว นางนั่งอยู่ในลานมองดูสองพี่น้องคู่นั้นเพาะปลูกเมล็ดพืชต่อไป
อาจเพราะรู้สึกว่าซ่งชูอีดูเป็นมิตรมากกว่า อีกทั้งจี้ฮ่วนก็ไม่อยู่ หนึ่งในเด็กสาวจึงรวบรวมความกล้าพูดขึ้น “ท่านกำลังมองกระไรอยู่หรือเจ้าคะ?”
ซ่งชูอีพ่นคำหนึ่งออกมาอย่างเฉยเมย “ดิน”
แม้นปกติแล้วซ่งชูอีจะมีท่าทีผ่อนคลายและมักจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอ ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไร เด็กสาวคนนั้นสามารถรับรู้ได้ถึงความเย็นชาของนาง จึงไม่กล้าถามกระไรอีก
ได้เห็นหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง บัดนี้ซ่งชูอีสามารถแยกแยะสองพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนได้แล้ว หนึ่งในพวกนางดูกระปรี้กระเปร่าและเฉลียวฉลาด ส่วนอีกคนหนึ่งกลับดูนิ่งเฉยเหมือนน้ำในบ่อ แสดงอาการเขินอายและหวาดกลัวเป็นครั้งคราว แต่กลับรู้สึกขาดความมีชีวิตชีวา
เมื่อพ้นเวลาเที่ยง ซ่งชูอีรู้สึกง่วงนอนเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนเตรียมที่จะไปงีบกลางวัน ขณะที่กำลังกลับหลังหันก็เห็นคนสามคนเดินเข้ามาจากด้านนอก คนหนึ่งคือจี้ฮ่วน ส่วนอีกสองคนกลับเป็น…หนานฉีกับจีเหมียน!
ซ่งชูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย
ครั้นจีเหมียนเห็นซ่งชูอีก็สาวเท้าปรี่เข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว ชกทรวงอกนางอย่างแรงทีหนึ่ง “เจ้ามันเด็กไม่เอาไหน! จะไปก็ไม่บอก จะมาก็ไม่บอก ข้านึกว่าแม้นพวกเรารู้จักกันไม่นาน แต่ก็นับว่าเป็นมิตรต่อกัน คิดไม่ถึงว่าเจ้าไม่เคยเห็นข้าเป็นสหายเลย!”
“แค่กๆ!” ซ่งชูอีกุมหน้าอก ยกเท้าขึ้นทำท่าจะเตะไปที่เป้าของเขา
จีเหมียนรีบกระโดดหลบ
ซ่งชูอีจึงสงบสติอารมณ์ลงแล้วพูดว่า “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าอย่าชกหน้าอกของข้า!”
จีเหมียนเห็นว่าอันตรายดูเหมือนจะผ่านไปแล้ว ยิ้มกว้างโอบไหล่ของนาง เอ่ยขึ้น “ไม่เจอกันครึ่งปี ราวกับเจ้าเปลี่ยนไปมากทีเดียว ทว่าคราวนี้โด่งดังแต่ไม่ประสบความสำเร็จสินะ!”
“หึ ไม่เพียงไม่ประสบความสำเร็จ แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่าต่างหาก!” หนานฉีกล่าวเย็นชา
ซ่งชูอีเหลือบมองเขาด้วยความเกียจคร้าน “เห็นทีช่วงเวลาที่ข้าไม่อยู่ พี่หนานคงเป็นดุจพระราชาเลยสินะ! คงแทบจะลืมความล้มเหลวไม่เป็นท่าในอดีตไปแล้ว”
“หวยจิน ปากของเจ้ายังคงอาบยาพิษเช่นเดิม” จีเหมียนยิ้มเอ่ย
ซ่งชูอีสะบัดมือของเขา เอ่ยว่า “เชิญนั่งที่พื้น ไม่มีชารับแขก”
พวกเขาเข้าไปในบ้านแล้วนั่งลงบนพื้น จี้ฮ่วนมิกล้ามองตรงไปที่ซ่งชูอีตลอดเวลา เขาออกไปข้างนอกกับซ่งชูอีสองครั้งก็มิเคยถูกคนรู้จักจับได้ ครั้งนี้ออกไปเพียงลำพัง ทั้งๆ ที่ระมัดระวังมากแล้ว ทว่ากลับพบหนานฉีกับจีเหมียนภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
“หวยจิน คราวนี้เกรงว่านายพลจี๋จะมีเคราะห์หนักแล้ว” จีเหมียนถอนหายใจเอ่ย จี๋อวี่เข้าออกจวนหลงกู่เป็นประจำ แม้นจีเหมียนเพียงแค่พยักหน้าทักทายกับเขา ทว่าก็ชื่นชมชายหนุ่มผู้จงรักภักดีและกล้าหาญคนนี้อยู่ในใจ
ซ่งชูอีเอ่ย “พวกเขาทรมานให้รับสารภาพหรือ?”
จีเหมียนพยักหน้า “หลายวันนี้ราชทูตแห่งรัฐเว่ยบีบคั้นอย่างหนัก ท่านจวินไร้หนทาง ได้แต่บีบนายพลจี๋ให้ตอบคำถาม ทว่าเป็นตายอย่างไรเขาก็ตอบเพียงว่าไม่รู้ เจ้าก็รู้ว่า…ครั้นร้อนใจ ผู้ที่ลงมือทรมานก็จะไร้ความปรานี อีกทั้งเช้านี้ท่านแม่ทัพกล่าวว่าไม่รู้ว่าท่านราชทูตเป็นอะไรไป จู่ๆ ก็ขอร้องให้ตัดหัวนายพลจี๋พรุ่งนี้ตอนเที่ยง”
“พวกเขาน่าจะรู้ที่อยู่ของข้าคร่าวๆ แล้ว ต้องการบีบให้ข้าเผยตัว” ซ่งชูอีกล่าว
สายลับของรัฐเว่ยแข็งแกร่งว่าชมรมป๋ออี้หลายเท่านัก อีกทั้งยังมีอยู่ทั่วทุกรัฐ มีสรุปข่าวจากทุกที่ พวกเขาสามารถคาดเดาได้ว่าซ่งชูอีน่าจะอยู่ที่ใด
อย่างไรก็ดีต่อให้ซ่งชูอีไม่ปรากฏตัว ฆ่าก็ฆ่าไป ในเมื่อบัดนี้พวกเขารู้ตำแหน่งของนางพอสังเขปแล้ว การหาตัวนางเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น
“จะดำเนินการที่ใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“ที่เวทีของถนนตะวันออก ฝ่าบาทจะมาส่งนายพลจี๋ด้วยพระองค์เอง” จีเหมียนนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามขึ้น “เจ้าคิดจะไปช่วยคนหรือ?”
ซ่งชูอีพยักหน้า
“เจ้ารู้จักเว่ย์โหวมากเพียงใด?” หนานฉีจ้องตาของนาง “เขามิใช่องค์จวินผู้ขี้ขลาดและมีจิตใจเมตตาดอกนะ”
“แล้วเยี่ยงไรเล่า?” ซ่งชูอีหัวเราะจางๆ “ข้าเคยผิดคำพูดต่อผู้คนมากมาย ทว่าจะไม่ผิดคำพูดต่อจี๋อวี่ เพราะว่าเขาถือหลักความเชื่อใจและเชื่อใจข้าเสมอมา”
ถ้าหากไม่ใช่ความไว้วางใจ ขณะที่อยู่รัฐเจ้า นางก็คงไม่สามารถล้มเขาได้ง่ายๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในคุณธรรม เขาก็คงไม่ทนรับกับการลงโทษแสนสาหัสและยังคงปิดปากแน่น
คนเช่นนี้ ซ่งชูอีจะไม่เอาชีวิตของเขาไปเสี่ยง
“ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าจะถือว่าเจ้ามีแผนการในใจ วันนี้ลอบกลับไปกับข้าเถิด อย่าให้ท่านแม่ทัพหลงกู่รู้” จีเหมียนกล่าวด้วยความจริงใจ
ซ่งชูอีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ประสานมือเอ่ย “ขอบคุณทั้งสองมาก”
ถ้าหากพวกเขาคิดไม่ซื่อต่อนางจริง สู้สะกดรอยตามจี้ฮ่วน จากนั้นก็พาคนมาฆ่าถึงที่ไม่สมเหตุสมผลกว่าหรือ? อีกทั้งหลังจากที่รู้จักกันมาระยะหนึ่ง ซ่งชูอีค่อนข้างเข้าใจนิสัยของทั้งสองคนดี หนานฉีเป็นศิษย์สำนักหวงเหล่า และเนื่องจากลัทธิเต๋าไม่ได้รับความนิยมมากนัก เขาจึงทำได้เพียงถวายตัวอยู่ในรัฐเล็กๆ เท่านั้น ส่วนจีเหมียนเป็นคนของสำนักนิตินิยม การปฏิรูปกฎหมายในแต่ละรัฐเพิ่งปิดฉากลง เขาจึงเป็นเพียงผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เต็มใจนักและใช้ชีวิตอยู่ในรัฐเว่ย์ ทั้งสองล้วนเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับความทะเยอทะยานมากกว่าชื่อเสียงและโชคลาภ
หลังจากพวกเขาหารือถึงวิธีกันแล้ว ก็จากไปทันที
บ้านของจีเหมียนค่อนข้างไกลจากจวนหลงกู่ ดังนั้นซ่งชูอีกับจี้ฮ่วนจึงพักแรมที่บ้านของเขาหนึ่งคืน
บนรถม้า จีเหมียนกล่าวว่า “มีคนจับตาดูจวนของข้าในที่มืด ทว่าไม่น่าจะคิดว่าเจ้าจะเสี่ยงอันตรายมาที่นี่ ฉะนั้นจึงวางใจไปได้มาก”
ความสนใจส่วนใหญ่ของเว่ย์โหวล้วนตกอยู่ที่จี๋อวี่ เพราะเขารู้สึกว่าจี๋วี่ไม่ยอมปริปากแม้แต่คำเดียว จะต้องรู้ความจริงเป็นแน่
รถม้าเคลื่อนเข้าภายในจวนอย่างง่ายดายตามปกติ
พวกเขาลงจากรถแล้วเข้าบ้านไป หนานฉีนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วนั่งรถม้ากลับไปยังจวนของตน
เนื่องจากพรุ่งนี้ซ่งชูอีต้องไปเสี่ยงภัยตามลำพัง อีกทั้งมีคนเฝ้ามองรอบด้าน จีเหมียนจึงมิได้รั้งเขาไว้เพื่อบอกว่าอย่ามา หลังจากแยกย้ายไปกันล้างหน้าล้างตาแล้ว ต่างคนก็ต่างไปพักผ่อน
ซ่งชูอีมิได้อยู่บนเส้นแห่งความเป็นความตายเพียงแค่ครั้งสองครั้ง ฉะนั้นนางจึงไม่ตื่นกลัว นางเพียงครุ่นคิดอย่าง
ถี่ถ้วนสองสามรอบ จากนั้นก็หลับตาลงผล็อยหลับไป
นางฝันหวานในราตรีอันมืดมิด
ซ่งชูอีนอนหลับฝันหวานจนถึงฟ้าสาง จนกระทั่งกลิ่นหอมของอาหารลอยโชยมาจากด้านนอก เมื่อท้องของนางร้องโครกครากนางจึงตื่นขึ้น
ครั้นคิดได้ว่าเมื่อคืนมิได้กินข้าว ซ่งชูอีก็พลิกตัวลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อคลุมและเดินออกไปด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง
จีเหมียนที่กำลังกินโจ๊กจ้องมองใบหน้าของนางด้วยความตกตะลึง จนกระทั่งนางหาเกลือด้วยตนเองและกลับมาจากการล้างหน้าแปรงฟันแล้วจึงดึงสติกลับมา “เมื่อคืนเจ้าทำอะไรมา?”
จี้ฮ่วนบอกเขาตามความจริง “ท่านหวยจินเป็นคนที่สามารถนอนได้อย่างพิศดารมาก”
ซ่งชูอีหรี่ตาลงและเติมโจ๊กในชามให้ตัวเอง หยิบรากผักดองและเคี้ยวช้าๆ ไม่คิดที่จะใส่ใจพวกเขาอีก
“ข้าเตรียมเสื้อผ้าให้เจ้าแล้ว แม้จะใหญ่ไปหน่อย แต่รับรองว่าเมื่อเจ้าใส่แล้วจะพรางตัวจากผู้คนได้อย่างแน่นอน”
จีเหมียนถูมือพร้อมกล่าวด้วยความตื่นเต้น
ซ่งชูอีกินโจ๊กไปคำหนึ่ง สักพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ใส่ยังจะพรางตัวได้ดีกว่า”
……………………………..