ก่อนหน้านี้เว่ยอ๋องรู้ถึงรายละเอียดของสถานการณ์หมิ่นฉือแล้ว และมีแม้กระทั่งภาพเหมือนด้วยซ้ำ แม้นมิได้คล้ายมาก ทว่าเมื่อซ่งชูอียืนอยู่ด้วยกันกับหมิ่นฉือแล้ว ก็ยังสามารถจำแนกออกได้ในแวบแรกว่าคนไหนคือเขา
สิ่งที่ทำให้เว่ยอ๋องประหลาดใจที่สุดก็คือซ่งชูอี ได้ยินข่าวลือมานาน วันนี้ได้พบตัวจริงเป็นครั้งแรก ทำให้ยากที่จะนั่งติดที่
“เจ้าก็คือซ่งหวยจิน?” เว่ยอ๋องเอื้อมมือเลิกพู่ตรงหน้าออก มองสำรวจซ่งชูอีอย่างละเอียด
ซ่งชูอียืนนิ่งอยู่ตรงกลางท้องพระโรง ค้อมคำนับต่ำ เอ่ยตอบ “ใช่กระหม่อมคนนอกพะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมคนนอก” คำนี้ทำให้เว่ยอ๋องไม่ใคร่พอพระทัยนัก ทว่าก็มิได้แสดงออกกระไร เขาเอาพู่ลง นั่งตัวตรงและแน่นิ่ง “ซ่งหวยจิน หมิ่นจื๋อห่วน พวกเจ้าสองคนรู้ความผิดหรือไม่?”
“กระหม่อมคนนอก มิรู้ความผิดพะย่ะค่ะ!” ราวกับทั้งสองคนปรึกษากันดีแล้ว เอ่ยปากเป็นเสียงเดียวกัน
คำตอบนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของเว่ยอ๋อง เขากล่าวขึ้น “หมิ่นจื๋อห่วน เจ้าพูดก่อน เจ้าไปเจรจาหว่านล้อมให้รัฐฉีและฉู่โจมตีรัฐเว่ยของข้า บัดนี้ข่าวตกอยู่ในมือของข้าแล้ว ข้าควรจะลงโทษประหารชีวิตเจ้าหรือไม่!?”
“กระหม่อมคนนอกอยู่ที่รัฐอื่นเพื่อทำงานอื่น บัดนี้กำลังเป็นเนื้อที่อยู่บนเขียง หากฝ่าบาทต้องการจะลงโทษ กระหม่อมคนนอกก็ไม่มีคำอื่นใด” หมิ่นฉือเอ่ย
เว่ยอ๋องยิ้มอย่างคลุมเครือ หันไปกล่าวกับซ่งชูอี “ซ่งหวยจิน เจ้าว่าเยี่ยงไร?”
ซ่งชูอีเงยหน้ามองตรงไปที่เขา เอ่ยว่า “การแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐต่างๆ โดยทั่วไปแล้วมิได้อาศัยอำนาจและกลยุทธ์หรอกหรือ? เหตุใดข้าน้อยจึงจะออกกลยุทธ์เพื่อรัฐเว่ย์มิได้?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เว่ยอ๋องตบที่วางแขน หัวร่อเสียงดัง “อาศัยอำนาจ อาศัยกลยุทธ์ได้ประเสริฐนัก ข้าชอบ”
หัวเราะจบก็หุบยิ้ม เปล่งเสียงอันดัง “ทหาร! ลากซ่งหวยจินออกไปโบยห้าที!”
“ฝ่าบาทโบยกระหม่อมคนนอกด้วยสาเหตุใด?” ซ่งชูอีเพิ่งจะพูดจบ ทหารสองนายก็เดินเข้ามาลากตัวนางออกไปข้างนอก ถูกโบยห้าทีนับว่าไม่มากเลยสักนิด ทว่าก็เพียงพอให้นางนอนแน่นิ่งไปสามถึงห้าวัน เมื่อเห็นว่าเว่ยอ๋องไม่มีท่าทีจะตอบคำถาม ก็อดมิได้ที่จะกล่าวด้วยความโมโห “คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะไร้เหตุผลเช่นนี้!”
“โบย! โบยเสร็จแล้วข้าจะบอกสาเหตุให้แก่เจ้าอย่างดี!” เว่ยอ๋องพ่นลมหายใจออกจากจมูก
พูดจบก็หันไปทางหมิ่นฉือ “สิ่งที่ท่านหมิ่นกล่าวนั้นตรงกับใจของข้า อยู่ที่รัฐอื่นเพื่อทำงานอื่น อืม ไม่เลว เพียงแต่ไม่ทราบว่าท่านหมิ่นจะยินยอมทำงานเพื่อรัฐเว่ยหรือไม่?”
เว่ยอ๋องเห็นว่าเขาเหมือนต้องการจะปฏิเสธ ยกมือขึ้นน้อยๆ พร้อมพูดว่า “ท่านหมิ่นไม่จำเป็นต้องตอบทันที ท่านมีเวลาพิจารณามากมาย ไว้คิดได้แล้วว่าจะทำงานให้รัฐเว่ยเมื่อใด ก็มาพบข้าได้ทุกเมื่อ”
ข้อความย่อยในประโยคนี้ก็คือ หากยังคิดไม่ออกก็จงคิดต่อไป เมื่อใดที่ยินยอมจะอยู่ในรัฐเว่ยก็ค่อยมาพบเว่ยอ๋อง ถึงอย่างไรก็หนีไปไม่ได้
เว่ยอ๋องยังคงไม่เปลี่ยนหลักการในการจัดการกับเรื่องต่างๆ ขุนนางในท้องพระโรงยังไม่ทันออกความเห็น กล่าวเพียงไม่กี่คำก็รวบรัดตัดตอนหมิ่นฉือเสียแล้ว
ไม่นาน ซ่งชูอีที่ถูกโบยเสร็จแล้วก็ถูกลากตัวเข้ามา
เว่ยอ๋องแสยะยิ้มเอ่ย “บัดนี้ท่านรู้แล้วหรือยังว่าเหตุใดข้าถึงโบยเจ้า?”
‘เพราะว่าเจ้าเป็นตาแก่อันธพาล!’ ซ่งชูอีคิดอย่างเกลียดชังอยู่ในใจ
เว่ยอ๋องเห็นว่านางไม่ตอบจึงพูดต่อ “เพราะว่าข้าอาศัยอำนาจและกลยุทธ์ในการทำงานเสมอมา ผู้ที่อ่อนแอเยี่ยงเจ้าก็ต้องถูกโบยและพ่ายแพ้”
ซ่งชูอีเม้มปาก บริเวณก้นปวดแสบปวดร้อน
“ท่านซ่งก็กลับไปพิจารณาพร้อมกับท่านหมิ่นเถอะ” เว่ยอ๋องยกมือขึ้นเล็กน้อยก็มีทหารเข้ามาเชิญทั้งสองคนออกไป
ซ่งชูอีก้าวเท้าตามออกไปด้วยความทุลักทุเล
เว่ยอ๋องเห็นท่าเดินที่น่าเกลียดของนางแล้วอดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา พู่ที่อยู่ตรงหน้าแกว่งไกวส่งเสียงกรอบแกรบ
“ฝ่าบาท” ขุนนางชั้นสูงผู้หนึ่งเห็นว่าพวกเขาเดินออกไปแล้ว รีบกล่าวขึ้นทันที “ฝ่าบาทมิใช่ต้องการดึงซ่งหวยจินเข้าร่วมรัฐเว่ยหรอกหรือ? หากปฏิบัติเยี่ยงนี้ต่อเขา เกรงว่าเขาจะเก็บความคับแค้นนี้ไว้ในใจนะพะย่ะค่ะ!”
“เจ้าเด็กนั่นต้องถูกลงโทษเสียบ้าง ผู้ที่ดื้อด้านเช่นนี้ โบยไปโบยมาก็จะคุ้นชินเอง ส่วนหมิ่นจื๋อห่วนนั้น ช่วงนี้ได้รับข่าวเกี่ยวกับเขามากมาย คิดว่าทุกท่านก็คงเข้าใจดีแล้ว ลองพูดมาเถิดว่าควรใช้เขาหรือไม่ควรใช้ และใช้เยี่ยงไร?” เว่ยอ๋องกล่าว
ทุกคนมีเหงื่อซึมอยู่ที่หน้าผาก ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ดูออกว่าซ่งชูอีเป็นคนที่ชอบใช้กำลังเพื่อเชื่อมโยงความรู้สึก! อีกทั้งยังรู้สึกว่าแม้นผู้นี้จะมิได้มีจิตใจคับแคบ ทว่าจะต้องเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างแน่นอน
ช่างเถิด! ท่านอ๋องของพวกเขามิเคยดูคนขาดเลย เมื่อทุกคนต่างไตร่ตรองอยู่ในใจสักพักแล้ว ก็เลือกที่จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้เป็นการชั่วคราวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็เริ่มหารือกันว่าหมิ่นฉือจะอยู่ต่อหรือไม่
ข่าวคราวต่างๆ พิสูจน์ให้เห็นว่าหมิ่นฉือผู้นี้เป็นคนมีแผนการและจิตใจสงบนิ่ง ทว่าใส่ใจในผลประโยชน์มากเกินไป อีกทั้งสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ครั้นบุคคลประเภทนี้ตัดสินใจจะกระทำการใดสักอย่างแล้ว จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ทว่าคนเช่นนี้ก็เหมือนกับดาบสองคม หากไม่ระวังก็อาจทำร้ายตัวเองได้
“ท่านมหาเสนาบดี ท่านมีความเห็นเยี่ยงไร?” เว่ยอ๋องหันไปถามกงจื่ออั๋ง
กงจื่ออั๋งครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “บุคคลเช่นอู๋ฉี่ก็ยังสามารถใช้ได้ ขอเพียงฝ่าบาทมีอำนาจในการควบคุมเขา การใช้งานเขาก็ไม่นับว่าเป็นภัย”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ก็คงไม่ต้องหารืออันใดแล้ว เว่ยอ๋องจะคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถควบคุมหมิ่นฉือได้เช่นนั้นหรือ? แต่ละคนต่างปิดปากเงียบ มีคนเริ่มประจบประแจงเว่ยอ๋อง กล่าวว่าหมิ่นฉือจะเทียบความเฉลียวฉลาดของฝ่าบาทได้เยี่ยงไร!
หลังจากหารือกันครู่หนึ่ง เว่ยอ๋องก็ตัดสินใจทันทีตามคำพูดของกงจื่ออั๋ง
เว่ยอ๋องมีผู้เก่งกาจสองคนไว้ในครอบครอง ในใจปรีดายิ่ง เลิกประชุมทันใด กลับพระตำหนักเพื่อไปดื่มสุราฉลองกับเหล่าสาวงามแล้ว
ภายในจวนที่พัก
ซ่งชูอีร้องโอดโอยอยู่บนเตียง “ตาแก่บ้านั่น โบยคนโดยไม่มีเหตุผล!”
เจ้าอี่โหลวกำลังช่วยประคบบั้นท้ายให้นางโดยใช้ถุงหนังแกะบรรจุก้อนน้ำแข็ง “เจ้าปลุกระดมรัฐต่างๆ ให้มาโจมตีรัฐเว่ย โบยเจ้าห้าทีก็นับว่าน้อยแล้ว หากเป็นข้า โบยสักห้าสิบทีก็ไม่อาจทุเลาความเกลียดชังได้”
“มารดาเจ้าหยุดพูดจาไร้สาระซะที นี่ไม่ใช่ก้นของเจ้า เจ้าก็ไม่เจ็บดอก!” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความโมโห
โดยพื้นฐานแล้ว หากถูกโบยสามสิบครั้งผิวหนังก็จะถลอกปอกเปิกได้ ซ่งชูอีกำลังคิดว่าการโบยห้าครั้งนี้หนักหนาเพียงใด เพราะส่วนท้ายของนางบวมเป่งเป็นอย่างยิ่ง ไม่สามารถนั่งตามปกติได้เลยด้วยซ้ำ
“ข้าพูดความจริง” เจ้าอี่โหลววางถุงน้ำแข็งไว้ที่สะโพกของเธอ พลางหาเนื้อแห้งป้อนให้ไป๋เริ่น
“นี่ ในสัมภาระของข้ามีตำราสอนศิลปะการป้องกันตัวม้วนหนึ่ง อวี่เป็นคนให้ข้า ทว่าข้าขี้คร้านจะเคลื่อนไหว เจ้าไปเอามาแสดงให้ข้าดูที” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความเหนื่อยหน่าย
เจ้าอี่โหลวป้อนเนื้อแห้งไป๋เริ่นจนหมดแล้ว ก็ลุกขึ้นควานหาในสัมภาระก็เจอหนังแกะม้วนหนึ่งที่วางอยู่ในส่วนลึกที่สุด จึงหยิบมันขึ้นมา
เจ้าอี่โหลวอ่านสองสามรอบ เอ่ยถาม “ต้องแสดงเยี่ยงไร?”
“เจ้าออกไปฝึกข้างนอกก่อน แล้วกลับมาแสดงให้ข้าดู” ซ่งชูอีก็เคยอ่านเนื้อหาข้างใน มันล้วนเป็นคำอธิบายของกระบวนท่าง่ายๆ นางฝึกอยู่ครั้งสองครั้งจากนั้นก็เก็บมันไว้ในส่วนลึกที่สุดของสัมภาระ
เจ้าอี่โหลวพยักหน้า แล้วพาไป๋เริ่นออกไป
“นี่ เจ้าทิ้งไป๋เริ่นไว้ที่นี่ ข้าอยู่คนเดียวเบื่อ” ซ่งชูอีคำราม
เสียงแว่วของเจ้าอี่โหลวลอยทะลุมาจากด้านนอก “ข้าก็มิได้มัดมันไว้”
เห็นได้ชัดว่า มันไม่อยากอยู่กับเจ้า
“หนิงยา! หนิงยา!” ซ่งชูอีตะโกนเสียงดัง
ไม่ช้า เด็กสาวก็วิ่งซอยเท้าถี่เข้ามา “ท่านมีสิ่งใดจะรับสั่งเพคะ?”
“ไปหาหนังสือมาให้ข้า” ซ่งชูอีกล่าว
หนิงยาตอบด้วยความลำบากใจ “ท่านเจ้าคะ หนังสือพวกนั้นท่านก็อ่านหลายรอบแล้ว จะให้หยิบเล่มใด?”
ซ่งชูอีเงียบไปสักพัก “ไปยืมของหมิ่นฉือ”
ยืมแล้วก็ไม่คืน ซ่งชูอีคิดไว้เช่นนี้
“เจ้าค่ะ” หนิงยาตอบเสียงหนึ่ง แล้ววิ่งออกไป