ฝนตกหนักต่อเนื่องกันกว่าสองชั่วยาม และมันก็ค่อยๆ แผ่วลง ฝนยังไม่ทันหยุดตกโดยสมบูรณ์ เชออวิ๋นก็นำขบวนรถออกเดินทางอีกครั้ง
แม้นว่าซ่งชูอีจะเคยผ่านช่วงชีวิตที่ขมขื่นยิ่งเมื่อชาติก่อน ทว่าก็ไม่เคยขี่ม้าหลบหนีอดหลับอดนอนเช่นนี้ การที่นางสามารถกัดฟันยืนหยัดต่อไปได้ ทั้งหมดเป็นเพราะจิตตานุภาพอันแข็งแกร่ง
ในคืนฝนตกปรอย กลุ่มคนควบม้าซอกแซกผ่านหุบเขาลึกสีเขียวเข้มอันกว้างใหญ่ราวกับหัวลูกศร สายฝนเป็นเหมือนสายเงินที่เชื่อมต่อระหว่างท้องฟ้าและพื้นโลก
ภายในพระราชวังเว่ยอ๋อง
เว่ยอ๋องอยู่ในชุดแขนกว้างตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้ม กึ่งพิงอยู่บนที่เท้าแขน สีหน้ามืดมน
บรรดาขุนนางและท่านแม่ทัพที่นั่งคุกเข่าอยู่ในท้องพระโรงสองฝั่งก็ต่างเงียบงัน
เว่ยอ๋องจับจ้ององค์ชายอั๋ง ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “นี่คือวิธีล่อลวงซ่งหวยจินของเจ้าหรือ?”
องค์รัชทายาทเอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อ เรื่องนี้ไม่อาจโทษท่านเสนาบดีได้ทั้งหมด ข้าได้ยินว่าหลายวันก่อนท่านเสนาบดีพูดคุยกับท่านหวยจินอย่างถูกคอ ท่านหวยจินก็ไม่มีท่าทีว่าจะจากไป ได้ยินว่าคราวนี้มีสิบกว่าคนช่วยเขาหลบหนี กระหม่อมรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ”
ภูมิหลังของซ่งชูอีเป็นปริศนา อย่างไรก็ดีใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถบงการมือดาบชั้นหนึ่งนับสิบคนได้
เว่ยอ๋องหันไปถามท่านแม่ทัพผู้หนึ่งอีกทาง “คนที่ช่วยซ่งหวยจินหลบหนีครานี้คือผู้ใด?”
นายทหารผู้นั้นประสานมือเอ่ย “กราบทูลฝ่าบาท เป็นชาวฉินพะย่ะค่ะ! กระหม่อมนำทหารม้าไล่ล่าด้วยตัวเอง ในบรรดายี่สิบห้าคนที่ถูกฆ่าตายเป็นชาวฉินเสียสิบเจ็ดคน นอกจากนี้ยังพบเส้นทางลับสายหนึ่งที่มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก สงสัยว่าจะเป็นเส้นทางลับที่รัฐฉินเปิดไว้”
“ฮ่า!” เว่ยอ๋องหัวเราะเสียงหนึ่ง แววตาเยือกเย็นวูบผ่านดวงตาดุจเสือดาวนั้น “สั่งการลงไป ฆ่าซ่งหวยจินเสีย!”
“เสด็จพ่อ!” รัชทายาทเอ่ย “พรสวรรค์เช่นนี้ ฆ่าแล้วไม่เสียดายหรือพะย่ะค่ะ?”
เว่ยอ๋องจับจ้องเขาครู่หนึ่ง น้ำเสียงมีความไม่พอใจเล็กน้อย “หากเจ้าเป็นซ่งหวยจิน รัฐหนึ่งเปิดเส้นทางลับเพื่อเจ้า เสียสละมือดาบชั้นดีสิบกว่านาย เจ้าจะไม่ตอบแทนด้วยกำลังทั้งหมดที่มีหรือ? หึ! อิ๋งซื่อเจ้าเด็กเมื่อวานซืน! ช่างกล้าทุ่มเทเสียจริง!”
อิ๋งซื่ออายุน้อยกว่ารัชทายาทของเว่ยอ๋องสิบกว่าปี ทว่ามีเสน่ห์และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ถ้าเทียบกันแล้วจะมิให้
เว่ยอ๋องรู้สึกหดหู่ได้เยี่ยงไร! ถ้าหากเขากลับสู่สวรรค์ไปแล้ว รัฐต้าเว่ยจะไม่ถูกหมาป่าโหดร้ายแห่งรัฐฉินตัวนั้นกลืนกินทั้งเป็นหรอกหรือ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เว่ยอ๋องก็นวดคลึงศีรษะที่บวมเป่ง เอ่ยด้วยความหงุดหงิด “แยกย้าย แยกย้าย!”
ทุกคนค้อมคำนับแล้วถอยออกไป
รูปแบบของอิ๋งซื่อต่างจากพระบิดาของเขาอย่างสิ้นเชิง ทว่ามีจุดหนึ่งร่วมกันก็คือพวกเขาเต็มใจที่จะจ่ายราคาแพงให้กับผู้ที่มีความสามารถ เว่ยอ๋องรู้สึกจุกอยู่ในอก เขาถามตัวเองว่าเขาก็ให้ความสำคัญต่อผู้เก่งกาจไม่แพ้ฉินกงเลย แล้วสุดท้ายเป็นเยี่ยงไรเล่า? รัฐเว่ยสูญเสียอำนาจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่รัฐฉินกลัวยิ่งใหญ่ขึ้นทุกที ราวกับพยัคฆ์ร้ายที่พร้อมบุกจู่โจมเว่ยอ๋องจากเบื้องหลัง ทำให้เขานอนไม่หลับทุกค่ำคืน!
ทุกคืนที่หลับฝัน เว่ยอ๋องอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงคำพูดสุดท้ายก่อนที่เสด็จอาก่อนจะสิ้นใจ ถ้าเขาฟังคำพูดเหล่านี้เร็วกว่านี้ สังหารซางยางตั้งแต่แรก ก็คงไม่มีรัฐฉินเช่นวันนี้! คราวนี้เขาไม่อาจทำผิดพลาดได้อีกแล้ว!
“ทหาร” เว่ยอ๋องลุกขึ้นมาจากเตียง สวมเสื้อผ้า “ไปเชิญหมิ่นจื๋อห่วน”
“พะย่ะค่ะ” ข้างนอกมีคนตอบรับเสียงหนึ่งแล้วถอยออกไป
ตกดึก ประตูทางทิศตะวันตกของต้าเหลียงเปิดขึ้น กลุ่มคนนับร้อยขี่ม้าพุ่งออกไปแผ่วเบาราวกับสายฟ้า แม้แต่ฝุ่นก็ตลบฟุ้งเพียงบางเบา ทว่าซ่อนด้วยแรงอาฆาตคล้ายกับเสน่ห์ยามราตรี เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขาต่างจากทหารม้าทั่วไป
ฝนใกล้สิงหยางหยุดตกแล้ว ด้วยความแห้งแล้งในฤดูหนาว น้ำฝนที่ร่วงสู่พื้นนั้นซึมหายไปอย่างรวดเร็ว แทบจะไม่มีน้ำขังอยู่บนพื้นเลย แสงอาทิตย์สาดส่องเพียงแค่หนึ่งวันก็ราวกับว่าฝนไม่เคยตกมาก่อน
อากาศในสิบสองวันต่อมาสดใสยิ่ง เสื้อผ้าบนตัวของซ่งชูอีเมื่อแห้งแล้วก็เปียก เมื่อเปียกแล้วก็แห้ง ไม่มีแม้แต่เวลาจะเปลี่ยนด้วยซ้ำ ในแต่ละวันพวกเขากินข้าวเพียงหนึ่งมื้อ พักผ่อนราวๆ ครึ่งชั่วยาม และพักผ่อนสองถึงสามชั่วยามทุกๆ สองวัน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อดูแลร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอของซ่งชูอี
หลายวันนี้ไป๋เริ่นก็ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก บัดนี้มันยิ่งเจริญอาหารขึ้นทุกที แต่ไม่มีเนื้อสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ ทุกวันได้แต่มองม้าที่ทุกคนขี่ตาปริบๆ ด้วยน้ำลายยืดย้อย อย่างไรก็ดีแม้นเหล่าม้าจะมีความตื่นกลัวทว่ามันกลับวิ่งเร็วกว่าปกติมาก
ด้วยความเร่งรีบปานนี้ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากเส้นทางเล็กๆ อันห่างไกลและเข้าสู่ถนนหลักในบ่ายของวันที่สิบสาม
“ข้างหน้ายังมีอีกสิบกว่าลี้กว่าจะถึงด่านหานกู่ เส้นทางใกล้เคียงขรุขระไม่สามารถขี่ม้าได้ หากไปด้วยเส้นทางสายเล็กก็ค่อนข้างช้า อีกทั้งยังง่ายต่อการถูกสกัดกั้น ต่อสู้กันซึ่งหน้ายังดีเสียกว่า ท่านมีความเห็นเยี่ยงไร?” เชออวิ๋นลดความเร็วของม้าลง ถามซ่งชูอี
“ได้” ซ่งชูอีก็เข้าใจภูมิศาสตร์พื้นที่ใกล้เคียงเป็นอย่างดี เส้นทางสายเล็กทั้งหมดล้วนอยู่ในเขตแดนของรัฐเว่ย อีกทั้งยังเกือบจะเป็นสถานที่ซุ่มโจมตีอันยอดเยี่ยม ครั้นพวกเขาอ่อนล้า จะเดินผ่านเส้นทางภูเขาเหล่านั้นจำต้องละทิ้งม้า การเผชิญหน้ากันจึงดีกว่าถูกซุ่มโจมตีภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่พวกเขามุ่งหน้าต่อไปอีกเจ็ดถึงแปดลี้ ทหารฉินก็สามารถออกมาต้อนรับที่ด่านหานกู่ได้ซึ่งค่อนข้างจะปลอดภัยที่สุด
ขณะที่เตรียมพักผ่อนครั้งสุดท้ายในรัฐหาน ไป๋เริ่นก็อดไม่ได้ที่จะออกไปจับกระต่ายบนภูเขากิน
หลังจากไป๋เริ่นกลับมาแล้ว ก็พักผ่อนสองเค่อ แล้วจึงออกเดินทางอีกครั้ง
มือดาบที่ไปสำรวจเส้นทางในรัฐหานก่อนหน้านี้นำข่าวกลับมา ทุกด่านในรัฐหานล้วนเพิ่มการคุ้มกันอย่างหนัก แสดงให้เห็นว่าบัดนี้ได้รับข่าวแล้วและมีความตั้งใจที่จะล้อมสกัดซ่งชูอี
ระหว่างทางซ่งชูอีสบถด่าบรรพบุรุษของหมิ่นฉือหลายหมื่นรอบ หากไม่ใช่เพราะเขาตั้งใจปล่อยข่าวให้รั่วไหล นางก็คงไม่ต้องตกระกำอย่างเช่นวันนี้!
อย่างไรก็ดีซ่งชูอีก็อาศัยโอกาสนี้วางแผนซ้อนแผน ขังหมิ่นฉืออยู่ในรัฐเว่ย จากบทเรียนที่ได้รับ เว่ยอ๋องไม่มีทางปล่อยหมิ่นฉือไปอย่างเด็ดขาด อีกทั้งชื่อเสียงของเขาก็ป่นปี้แล้ว วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำได้เพียงอยู่ในรัฐเว่ย นี่คือความเห็นแก่ตัวของซ่งชูอี ตราบใดที่สามารถขังหมิ่นฉือไว้ในรัฐเว่ย ขณะที่เอาชนะเขาก็นับว่าได้แก้แค้นอย่างแท้จริงแล้ว!
ด่านถูกสกัดกั้น พวกเขาทำได้เพียงเดินทางด้วยเส้นทางอื่นชั่วคราว นอกเหนือจากถนนหลวงและเมืองหลักแล้ว ยังมีเส้นทางการค้าที่บางตระกูลบุกเบิกไว้ในละแวกใกล้เคียง ทหารรักษาการณ์ทางนั้นมีน้อยกว่า
“เป้าหมายของพวกเราชัดเจนเกินไป ทุกคนเพิ่มการระวังตัวด้วย” เชออวิ๋นกล่าว
“ขอรับ!” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
เป้าหมายที่เด่นที่สุดก็คือไป๋เริ่น ในโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่พาหมาป่าหิมะเดินทางไปทั่ว? การตรวจสอบของคนเหล่านั้นเข้มงวดมาก แม้แต่กระสอบที่บรรจุเมล็ดพืชก็ต้องขนออกทีละกระสอบเพื่อตรวจสอบ ซ่อนก็ซ่อนมิได้ อำพรางก็ไร้ประโยชน์ แม้นพวกเขาสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ ทว่าไม่ว่าไป๋เริ่นจะอำพรางตัวเยี่ยงไรก็ยังเป็นหมาป่าตัวหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนเป็นม้าได้
เชออวิ๋นก็ดูออกว่าซ่งชูอีรักหมาป่าตัวนี้ยิ่ง เนื่องจากมิเคยได้ยินว่านางมีเจตนา “ฆ่าหมาป่า” หรือ “ปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ” เลย เขาได้รับจดหมายนกพิราบว่าบัดนี้ทหารม้าเบาของรัฐฉินได้เตรียมพร้อมอยู่ที่ด่านหานกู่แล้ว ต่อให้พวกเขาประสบกับเหตุไม่คาดฝันที่นี่ ขอเพียงต้านทานได้หนึ่งวันก็จะมีกำลังมาสมทบ
ขบวบม้าเดินทางไปตามเส้นทางการค้า พบเห็นขบวนพ่อค้าเป็นครั้งคราว
บรรดาพ่อค้ามีข่าวสาวที่ดีที่สุด ทันทีที่เห็นกลุ่มมือดาบในชุดดำ อีกทั้งหมาป่าหิมะตัวหนึ่ง ก็เดาถึงสถานะของพวกเขาได้ทันที แม้นรัฐเว่ยได้ออกรางวัลนำจับ ทว่าพวกเขากลับไม่มีผู้คนเต็มใจที่จะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องการเมือง และไม่มีเจตนาที่จะทำให้บัณฑิตขุ่นเคือง จึงได้แต่มองแผ่นหลังของขบวนม้าคาดคะเนว่าผู้ใดคือซ่งหวยจิน
การเดินทางราบรื่น จนกระทั่งเมื่อกำลังจะออกจากรัฐหาน ก็เห็นกลุ่มม้าเบากว่าสองร้อยคนบนถนนการค้าจากระยะไกล
ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นกันและกันแทบจะในเวลาเดียวกัน ฝั่งนั้นมีคนตะโกนเสียงสูง “หมาป่าหิมะ!”
กลุ่มม้าเบาคล้ายกลัวว่าซ่งชูอีจะหลบหนี จึงตีวงล้อมเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
ซ่งชูอีเห็นว่าขบวนของตัวเองไร้รูปแบบ เอ่ยขึ้นทันใด “เน้นไปที่การโจมตีจุดเดียว”
เชออวิ๋นเคยนำทัพเข้าสู่สนามรบมาก่อน ครั้นได้ยินก็เข้าใจความหมายของซ่งชูอี กล่าวด้วยเสียงอันดัง “พุ่งรบแบบกรวย”