แยกกันเดินทาง?
ฟังดูเหมือนเป็นความคิดที่เข้าท่า ทว่าซ่งชูอีก็ไม่อาจละทิ้งได้ โดยเฉพาะเจ้าอี่โหลวกับไป๋เริ่น
ความคิดวูบผ่าน สีหน้าของซ่งชูอียังคงสงบนิ่งเช่นปกติ หันไปเอ่ยกับเชออวิ๋น “พี่เชอเห็นเยี่ยงไร?”
เชออวิ๋นคิดไม่ถึงว่าอำนาจการตัดสินใจจะถูกปัดให้ตกอยู่ที่ตน อดที่จะงุนงงครู่หนึ่งมิได้ หลังจากครุ่นคิดสักพักก็เอ่ยขึ้น “ความคิดนี้ฟังดูก็ไม่เลว ทว่าหากถูกพบเข้าก็จะตกอยู่ในอันตรายอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ข้ามีความรับผิดชอบส่งท่านซ่งเข้าสู่รัฐฉินอย่างปลอดภัยย่อมมีวิธีอยู่แล้ว เช่นนั้นสู้เดินทางด้วยกันเถิด”
ในเมื่อความเป็นจริงเป็นเช่นนี้ หากเจินจวิ้นไม่ปรากฏตัวพวกเขาก็ไม่มีปัญญาส่งซ่งชูอีเข้ารัฐฉินเช่นนั้นหรือ? ต้าฉินไม่มีแม้แต่ความสามารถขั้นนี้เชียวหรือ?
การปรากฏตัวของเจินจวิ้นเป็นเพียงการเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลายเท่านั้น ไม่มีความสำคัญต่อเรื่องนี้เท่าใด ซ่งชูอีจะรับการคุ้มกันจากเขาหรือไม่ล้วนอยู่กับว่านางจะใช้งานเขาในภายภาคหน้าหรือเปล่า
ในใจของเชออวิ๋นคิดว่าซ่งชูอีมิใช่คนมากเรื่อง นางคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าเขาจะไม่เห็นด้วยจึงเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจเช่นนี้
ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ซ่งชูอีก็ปล่อยให้เจินจวิ้นนำทางคนของเขาเข้าไปยังรัฐฉินก่อน
เจินจวิ้นลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าก็ยังพาคนจากไป ประเด็นสำคัญที่เขามาครั้งนี้ก็เพื่อสวามิภักดิ์ต่อซ่งชูอี หากยื่นกำลังเข้าช่วยเหลือได้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้จำต้องปฏิบัติตามคำสั่งแรกของซ่งชูอี
ทุกคนไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อนานนัก จึงเดินทางไปตามถนนค้าขายตรงไปยังรัฐเว่ย
ประมาณครึ่งชั่วยามให้หลัง คนที่เชออวิ๋นส่งให้ไปสืบข่าวก็กลับมา
“ท่านขอรับ” เชออวิ๋นได้ยินข่าวแล้ว อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ขี่ม้าเข้าไปใกล้ซ่งชูอีพร้อมเอ่ย “หานเว่ยชะงักงันด้วยเหตุผลบางประการแล้ว! ช่างเป็นเรื่องน่าดีใจยิ่งนัก”
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ศึกนี้เกรงว่าจะสู้ไม่ได้ แม้นการเผชิญหน้าจะกินเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม ทว่ามันประโยชน์สำหรับพวกเขาในการหลบหนีเป็นอย่างมาก
เว่ย เจ้า หาน ถูกแบ่งแยกมาจากรัฐจินในยุคสมัยชุนชิว เนื่องด้วยความสัมพันธ์ระดับนี้ พวกเขาจึงจับมือกันกลืนกินรัฐเล็กโดยรอบอยู่บ่อยๆ ทว่าบางคราวก็ขัดแย้งกันเองเพราะผลประโยชน์ไม่ลงรอย แต่เมื่อผลประโยชน์ถูกวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาก็สามารถหักห้ามใจตัวเองได้ ทั้งสามรัฐทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในขณะที่รัฐเล็กๆ โดยรอบถูกกลืนกิน หากต้องการพัฒนาก็ทำได้เพียงแย่งชิงดินแดนจากอีกฝ่าย ความขัดแย้งจึงทวีความรุนแรงขึ้นทุกที
เช้าเป็นพันธมิตร เย็นคือศัตรู นี่คือเรื่องธรรมดาระหว่างสามรัฐนี้ การสู้รบในบัดนี้จึงเป็นเรื่องสามัญเป็นที่สุด ทว่าสงครามไม่อาจเกิดขึ้นเพียงเพราะความไม่เห็นด้วยเพียงอย่างเดียว
เชออวิ๋นคุ้นเคยกับเส้นทางสายนี้ดีกว่าชาวเว่ยด้วยซ้ำ ดังนั้นแม้นการเดินทางจะเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่กลับซ่อนร่องรอยได้เป็นอย่างดี ในที่สุดพอตกดึกก็ใกล้ถึงด่านหานกู่แล้ว
“ยังเหลืออีกไม่ถึงสามลี้” เชออวิ๋นกล่าว
ซ่งชูอีพยักหน้า นางก็คุ้นเคยกับภูมิศาสตร์ในละแวกนี้มากเช่นกัน “อย่าหยุด เดินทางต่อไป”
“ขอรับ” เชออวิ๋นโบกมือส่งสัญญาณให้เร่งความเร็ว
ทันใดนั้น
เงาดำวูบผ่านหน้าทุกคน ม้าตกใจกลัวจนส่งเสียงร้องและยกกีบหน้าขึ้นกะทันหัน ซ่งชูอีรีบคว้าบังเหียนทันที นางเกือบจะพลัดตกเสียแล้ว
หลังจากคุมม้าให้มั่นคง ซ่งชูอีจึงมองเห็นชัดเจนว่ามีทหารม้าในชุดเกราะอยู่ห่างออกไปเบื้องหน้าห้าจั้ง พวกเขาแต่ละคนล้วนสวมชุดเกราะที่เบาและแข็งแกร่ง เสื้อคลุมสีแดงเข้ม มีหมวกบดบังใบหน้า เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่เย็นชาและกระหายเลือดคู่หนึ่ง ในมือถือดาบคมอยู่ข้างลำตัว มันส่องสะท้อนดุจหิมะในยามค่ำคืน บ่งบอกถึงความคมกริบของพวกมัน
ซ่งชูอีขมวดคิ้ว นางไม่เคยเห็นทหารม้าเช่นนี้มาก่อน แต่กลับคุ้นเคยกับชื่อเสียงของทหารม้าเหล่านี้เป็นอย่างดี ว่ากันว่าขณะที่ผังเจวียนฝึกทหารรัฐเว่ยอยู่นั้น ในขณะเดียวเขาก็ฝึกทหารม้าลึกลับกองหนึ่ง
ไม่มีใครเคยประจักษ์มาก่อนว่าความสามารถของกองหทารนี้เป็นเยี่ยงไร ทว่าสิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ พวกเขาใช้วิธีการบางอย่างที่ทำให้ม้าวิ่งได้อย่างรวดเร็วยิ่งแต่กลับไร้ซุ่มเสียงราวกับเป็นเงาภูติ
ซ่งชูอีคิดในใจตัวเองช่างมีเกียรติเหลือเกิน สามารถบีบให้เว่ยอ๋องส่งแม้กระมั่งมือสังหารออกมา
ทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักบนพื้นที่ราบเล็กๆ สายลมยามราตรีระหว่างภูเขาพัดผ่านตรงกลาง พัดเอาผ้าคลุมที่อยู่ด้านหลังโบกไสวเหมือนธง
ซ่งชูอีเห็นว่าดาบยาวในมือของพวกเขาเคลื่อนไหวเล็กน้อย ยังไม่ทันได้ส่งเสียง คนเหล่านั้นก็ใกล้เข้ามาตรงหน้าแล้ว
ทุกคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง มือดาบคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าพุ่งตัวเข้ามาตรงกลาง แสงเยือกเย็นวูบไหว ดาบเล่มนั้นกำลังจะตกลงบนคอของซ่งชูอีแล้ว
ปัง!
เสียงดังสนั่น ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงว่ากลับเป็นเจ้าอี่โหลวที่นำกล่องไม้ทรงยาวกล่องหนึ่งขวางหน้าซ่งชูอี ช่วยนางขวางพลังของดาบเล่มนั้น
ดาบในมือของหทารม้าคมยิ่ง ฟันกล่องไม้ขาดออกจากกันทันที!
เคราะห์ดีที่ภายในกล่องนั้นเป็นดาบ อีกทั้งยังถูกหล่อโดยปรมาจารย์ผู้มีชื่อเสียงและเป็นดาบเหล็กดำที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อมือดาบผู้นั้นมิได้ทำให้กล่องไม้ขาดจากกันเป็นสองท่อนก็ประหลาดใจเล็กน้อย
ซ่งชูอีอาศัยช่องว่างนี้รีบขี่ม้ากลับทันที บัดนี้มือดาบทั้งสองฝ่ายก็เริ่มโจมตีทหารม้าเหล่านั้นแล้ว
เชออวิ๋นรู้สึกไม่ใคร่มั่นใจนัก ต่อให้เผชิญหน้ากันอย่างยุติธรรม มือดาบเหล่านี้ก็อาจไม่สามารถเอาชนะทหารม้าได้ บวกกับการหลบหนีติดต่อกันหลายวัน ทั้งคนและม้าอิดโรยเต็มที สามารถต้านทานได้ครึ่งชั่วยามก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ทางนั้น เจ้าอี่โหลวทิ้งกล่อง หยิบจวี้ชางออกมาแล้วเข้าสู่การสู้รบทันที
แม้นซ่งชูอีจะเป็นกังวลมาก ทว่าก็มิได้ยับยั้ง ไม่ใช่เพียงเพราะเวลานี้ไม่ว่าใครก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น แต่เป็นเพราะการต่อสู้จะทำให้ผู้คนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งยวด
ท่ามกลางความวุ่นวาย เชออวิ๋นหยิบนกหวีดไม้ไผ่ออกมาเป่า
ทันทีที่สิ้นเสียง กองกำลังสนับสนุนยังมาไม่ถึง ก็มีกองทหารเว่ยกองหนึ่งบีบเข้ามาใกล้ท่ามกลางความมืด หากคำนวณดูแล้ว กองทหารที่ล้อมสังหารพวกเขาบัดนี้มีประมาณหกสิบคนซึ่งมากกว่าพวกเขาเกือบสามเท่า
จี้ฮ่วนกับเจียนขี่ม้าตัวเดียวกัน เขาต้องคุ้มกันเจียน บนตัวจึงมีแผลจากดาบไม่น้อย
ความเป็นกังวลวูบผ่านดวงตาของซ่งชูอี ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป คาดว่าจี้ฮ่วนจะต้านทานได้อีกไม่นานแล้ว
เมื่อทหารม้าชุดที่สองเข้ามาใกล้ ก็มีเสียงเกือกม้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากทิศตะวันตกเฉียงเหนือเช่นกัน ขณะที่กำลังครุ่นคิด ดาบเล่มหนึ่งก็ถูกเหวี่ยงมาอยู่ตรงหน้า มือดาบข้างกายสองคนรีบยื่นดาบเข้าไปขวาง จากนั้นดาบอีกเล่มก็พุ่งออกมาจากช่องว่างระหว่างการต่อสู้
ซ่งชูอีดึงดาบออกมาจากแขนเสื้อไม่ทัน จึงยกมือขึ้นบังตามสัญชาตญาณ คมดาบของอีกฝ่ายตกลงบนดาบซ่อนของซ่งชูอีพอดี แม้นดาบซ่อนของนางได้ผ่านการตีมาเป็นพิเศษ ทว่าฝักดาบด้านนอกเป็นหนังกวาง อีกทั้งซ่งชูอียังถูกพละกำลังมหาศาลกดลงบนแขน ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นของแขนเข้าสู่ก้นบึ้งของหัวใจ
ทหารม้าผู้นั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่นานก็เหวี่ยงดาบขึ้นครั้งที่สอง
ระหว่างการจู่โจมฉับพลันนี้เอง เสียงคล้ายสิ่งของแหวกพุ่งกลางอากาศก็ดังขึ้น
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงมู่ทู่จากการถูกจู่โจมด้วยโลหะ ทหารม้าส่งเสียงโอดโอย ทรงตัวบนหลังม้าไม่อยู่ ซ่งชูอีถือโอกาสนี้ ดึงดาบซ่อนออกมาแล้วแทงดาบเข้าไปที่ทรวงอกของเขาอย่างไม่ลังเล
เลือดสดสาดกระเซ็นเต็มตัวและใบหน้าของซ่งชูอี นางกัดฟัน ผลักทหารลงจากม้าอย่างแรงและดึงดาบซ่อนออกมา
เพียงชั่วอึดใจ เสียงสิ่งของแหวกพุ่งกลางอากาศก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามีกลุ่มมือธนูยิงลูกศรใส่ไม่หยุด ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับมีเพียงคนเดียว
ซ่งชูอีหันไปมองก็เห็นบุรุษในชุดเกราะสีดำกำลังใส่หน้าไม้ลงในกระเป๋าครั้งแล้วครั้งเล่า