จี๋อวี่มองนาง มีรอยยิ้มจางๆ ในดวงตา “ท่านเป็นอิสระยิ่งนัก ในใจของท่านมีเรื่องที่ปล่อยวางมิได้หรือไม่?”
ผู้คนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เรื่องราวในโลกใบนี้มีขึ้นมีลง สิ่งที่สามารถทิ้งร่องรอยภายในใจนางได้นั้นมี ทว่าก็ไม่มีสิ่งใดที่นางปล่อยวางมิได้
“บางทีข้าควรจะเรียนรู้วิชาสำนักเต๋าเสียบ้าง” จี๋อวี่เอ่ย เขาก็มิใช่คนจิตใจคับแคบ ทว่าคำว่า “จงรักภักดี” นั้นได้จารึกเข้าไปในโลหิตและกระดูกของเขาแล้ว เขาไม่มีความรับผิดชอบใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ ไม่ว่ารัฐเว่ย์จะอ่อนแอหรือจะเล็กสักเพียงใด เขาก็จะภักดีต่อมาตุภูมิชั่วชีวิต ทว่าเรื่องที่เขาประสบในระยะเวลานี้ ทำให้เขาหดหู่ใจอย่างแท้จริง
“อวี่ เจ้าตำหนิข้าหรือไม่? หากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าก็คงไม่ตกต่ำเช่นทุกวันนี้” แม้นซ่งชูอีจะถามเช่นนี้ ทว่าในใจก็มิได้คิดว่านี่เป็นความผิดของตนจริงๆ เพราะว่าต่อให้ไม่มีซ่งชูอีเช่นนาง บางทีก็อาจจะมีเจ้าชูอีหรืออิ๋งชูอีก็เป็นได้
จี๋อวี่ส่ายศีรษะ
“ต่อไปวางแผนไว้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีกล่าว
จี๋อวี่มองไปยังจุดที่ท้องฟ้าบรรจบกับพื้นดินในที่ไกลๆ เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยขึ้น “คิดจะปักหลักสักที่หนึ่ง”
ซ่งชูอีพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็อาศัยช่วงที่อากาศอบอุ่นไปเดินเล่นในรัฐฉินเถิด”
“ท่านจะไม่ห้ามข้าสักคำหรือ?” จี๋อวี่ประหลาดใจเล็กน้อย คนเช่นซ่งชูอีที่เก็บมาแม้กระทั่งเด็กในกองศพ จะไม่สนใจเขาเชียวหรือ? ความเป็นไปได้เช่นนี้ทำให้ในใจของเขารู้สึกอึดอัดไม่มากก็น้อย
“ข้าเอ่ยปากรั้ง เจ้าก็จะอยู่ต่อหรือ?” ซ่งชูอีเลิกคิ้ว
จี๋อวี่ยิ้มด้วยความโล่งใจ ขณะที่เขากำลังสังเกตพฤติกรรมของซ่งชูอีทีละน้อยๆ อยู่นั้น ซ่งชูอีก็คงเข้าใจนิสัยใจคอของเขาไม่มากก็น้อยแล้วเช่นกัน รู้ว่าไม่ว่าจะกล่าวคำรั้งอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่ถามแล้ว
“เห็นว่าท่านรู้จักภูมิศาสตร์ของหล่งซีดีราวกับฝ่ามือ ท่านคิดว่าที่ใดคุ้มค่าแก่การสำรวจ?” จี๋อวี่เอ่ยถาม
ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อ หัวเราะเอ่ย “เจ้าถามข้าเรื่องนี้…ชิ ข้าจะบอกเจ้า ทิวทัศน์ที่ไม่ต้องใช้เงินเหล่านี้ ไม่ว่าจะสวยงามหรือน่าเกลียด ข้าก็แทบทนไม่ไหวที่จะไปเห็นด้วยสายตาของตัวเอง ในความเห็นข้า ไม่ว่าแห่งใดในโลกใบนี้ล้วนคุ้มค่าแก่การสำรวจ”
“ขอรับ” จี๋อวี่หัวเราะฮ่าๆ “ข้าลืมนิสัยข้อนี้ของท่านไปเสียแล้ว!”
สายลมพัดผ่านยอดหญ้าก่อให้เกิดเสียงซู่ๆ
“จะออกเดินทางเมื่อใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“พรุ่งนี้กระมัง” จี๋อวี่เอ่ย
“อืม” ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง ยกกำปั้นชกหน้าอกของจี๋อวี่ ส่งเสียงทึบดังตุบๆ “ข้าจะสั่งคนให้ช่วยเจ้าเตรียมสัมภาระ”
ซ่งชูอีหมุนตัวเข้ากระโจมไป
ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ การพบและการจากเป็นเพียงเรื่องธรรมดา ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเสียใจมากนัก
ใช่ว่าไม่มีวิธีที่จะทำให้จี๋อวี่อยู่ต่อ ทว่ามันจะทำร้ายความรู้สึกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซ่งชูอีคิดอยู่เสมอว่าคนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ในโลกใบนี้นั้นมีมาก แต่ผู้ที่มีความคิดเห็นร่วมกันกลับมีน้อย
สิ่งของที่นางเตรียมไว้ให้จี๋อวี่นั้นมีไม่มาก อาหารแห้งจำนวนหนึ่ง ม้าตัวหนึ่ง เงินและยาที่อาจจะใช้ในยามปกติจำนวนหนึ่ง
จี๋อวี่ไม่รีบ วันรุ่งขึ้นหลังจากฟ้าสว่างและรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วจึงจะจูงม้าเตรียมตัวจากไป
จี้ฮ่วนขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงกะทันหันเช่นนี้?”
“ติดตามท่านให้ดี” จี๋อวี่จะไม่เข้าใจความหมายของจี้ฮ่วนได้เยี่ยงไร จี้ฮ่วนติดตามเขามานานหลายปี แม้นจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ทว่ามีสายสัมพันธ์เสมือนพี่น้องกันมากกว่า บัดนี้เขาไปอย่างกะทันหันโดยไม่กล่าวลาสักคำ ในใจของจี้ฮ่วนคงรับไม่ใคร่ได้
“จะกลับมาเมื่อใด?” จี้ฮ่วนเอ่ยถาม
จี้ฮ่วนพลิกตัวขึ้นม้า ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ยังไม่แน่นอน” เขาหันไปกำหมัดคำนับซ่งชูอี “ท่านรักษาตัวด้วย ลาก่อน!”
“รักษาตัวด้วย” ซ่งชูอีประสานมือคำนับ
จี๋อวี่หวดแส้ม้าแล้วขี่ม้าจากไป
ซ่งชูอีมองจนกระทั่งเงาของเขาลับสายตาจึงหมุนตัวกลับเข้ากระโจม การที่สองคนจากไปภายในสองวันก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปอยู่บ้าง โดยเฉพาะความอบอุ่นจากร่างกายของเจ้าอี่โหลว
“ท่าน มีคนจากเสียนหยางมาแล้ว” จี้ฮ่วนเดินเข้ามาในกระโจม น้ำเสียงเจือปนความตื่นเต้นและความตั้งตารอคอยเล็กน้อย
“มาก็มาเถิด” ซ่งชูอีกำลังพิจารณากระดานหมาก ตอบรับอย่างใจลอย
จี้ฮ่วนรีบเอ่ย “ท่าน! เป็นคนที่มารับท่าน!”
“งั้นหรือ?” ในที่สุดซ่งชูอีก็เงยหน้าขึ้นมา มองไปยังจี้ฮ่วนพร้อมเอ่ย “เดินทางเมื่อใด?”
จี้ฮ่วนยังมิทันตอบ ก็มีคนรายงานอยู่นอกกระโจม “ท่านขอรับ ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายอิ๋งจื๋อขอพบขอรับ”
ก่อนการปฏิวัติ รัฐฉินมีเสนาบดีสี่ฝ่าย อันได้แก่เสนาบดีใหญ่ เสนาบดีฝ่ายซ้าย เสนาบดีฝ่ายขวาและเสนาบดีซื่อเชอ ซึ่งเป็นทั้งตำแหน่งทางการและตำแหน่งระดับสูง มีอำนาจใหญ่หลวง ซางยางก็เคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายในช่วงเริ่มแรกของการปฏิรูป หลังจากการปฏิรูปแล้ว อำนาจที่แท้จริงของตำแหน่งทางการทั้งสี่นี้ก็อ่อนแอลง บัดนี้พวกเขาจึงถูกลดขั้นกลายเป็นตำแหน่งทางการทหาร
ซ่งชูอีโยนตัวหมากในมือลงไปในชาม ลุกขึ้นยืนต้อนรับ “เชิญเข้ามา”
แสงไฟหน้าประตูมืดลงเล็กน้อย บุรุษวัยกลางคนในชุดแขนกว้างผู้หนึ่งเดินเข้ามา โครงหน้าแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว รูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายกำยำ ผิวสีคล้ำ เคราสั้นเป็นระเบียบ ทันที่ได้เห็นก็เป็นรูปลักษณ์มาตรฐานของชาวฉิน
“ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาด้วยตัวเอง หวยจินมิได้ออกไปต้อนรับ เสียมารยาทโดยแท้” ซ่งชูอีโค้งคำนับยาวนาน เพื่อเป็นการขอโทษ
อิ๋งจื๋อประหลาดใจในตอนแรก คิดไม่ถึงว่าซ่งชูอีจะอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ ทว่าเพียงชั่วอึดใจหนึ่งก็กลับสู่ท่าทีปกติ รีบเดินไปข้างหน้าสองมือประคองนางขึ้นมา “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าน้อยมากะทันหันโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าต่างหากที่เสียมารยาท!”
“ไม่ทราบว่าท่านจวินส่งท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาที่นี่ มีเรื่องด่วนอันใด?” ซ่งชูอีถาม
จี้ฮ่วนเห็นว่าอิ๋งจื๋อไม่พูดจา จึงประสานมืออย่างรู้ตัวแล้วถอยออกไป
ซ่งชูอีเชิญให้อิ๋งจื๋อนั่งคุย อิ๋งจื๋อก็เป็นสุภาพบุรุษที่ตรงไปตรงมา ไม่พูดจาอ้อมค้อม กล่าวถึงวัตถุประสงค์ที่มาในทันที “คิดว่าท่านก็คงจะรู้เรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของรัฐฉินแล้ว เหล่าตระกูลเก่าแก่ส่งเสียงร้องให้ยกเลิกกฎหมายใหม่และฟื้นฟูกฎหมายเดิม อี้ฉวีที่อยู่ด้านหลังพร้อมที่จะเคลื่อนไหว ฉู่เว่ยสองรัฐก็เสมือนพยัคฆ์ที่จ้องตะครุบเหยื่อ ท่านจวินเพิ่งขึ้นครองราชย์ ข้างกายไม่มีคนที่น่าไว้ใจมากนัก ดังนั้นจึงตั้งใจสั่งข้ามารับท่านเข้าเสียนหยาง”
“อืม” ซ่งชูอีลุกขึ้นยืนเอ่ยขึ้น “สั่งให้คนช่วยข้ายกกระดานหมากนี้ด้วย พวกเราไปกันเถิด”
“หา?” อิ๋งจื๋อมองซ่งชูอีด้วยความประหลาดใจ
“รีบร้อนมากมิใช่หรือ?” ซ่งชูอีถาม
อิ๋งจื๋อตอบ “แน่นอนว่ารีบร้อนยิ่ง”
“เช่นนั้นยังไม่รีบไปอีก” ซ่งชูอีเดินออกไปก่อน ขณะที่ถึงหน้าประตูก็ไม่ลืมที่จะสั่งกำชับว่า “อย่าลืมยกกระดานให้ข้าด้วย อย่าทำมันยุ่งล่ะ”
อิ๋งจื๋อนิ่งไปครู่หนึ่ง ในใจคิดว่าท่านจวินกระทำการได้ฉับไวยิ่งแล้ว วันนี้เห็นว่าซ่งชูอีนั้นกระทำการฉับไวยิ่งกว่า บทจะไปก็ไป ไม่มีความเฉื่อยชาเลยแม้แต่น้อย
“ทหาร” อิ๋งจื๋อกล่าวเสียงสูง เขาเห็นทหารสองนายเดินเข้ามาจึงกล่าวว่า “รีบยกกระดานหมากนี้ขึ้นรถม้า ห้ามทำมันยุ่งเชียว!”
พูดจบ อิ๋งจื๋อก็รีบตามซ่งชูอีไป
ครั้นจี้ฮ่วนได้รับข่าวแล้ว ก็พาหยิงยาและเจียนออกเดินทางไปด้วยกัน
สำหรับสถานการณ์โดยรวมของรัฐฉินนั้น ซ่งชูอีได้คาดเดาอยู่ในใจแล้ว ทว่านางก็ไม่สามารถรู้คำตอบของข่าวสาวบางอย่างได้ทันที ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงการย้ายสถานที่เพื่อดูกระดานหมากเท่านั้น นางหาท่วงท่าที่สบายๆ ยกจอกชาขึ้นแล้วเล่นกับตัวเองต่อ
“ท่าน” เสียงของอิ๋งจื๋อดังขึ้นภายนอกรถ
ซ่งชูอตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วได้ยินเขากล่าวว่า “ไม่ทราบว่าสะดวกพูดคุยกันหน่อยหรือไม่?”
“เชิญขึ้นรถ” ซ่งชูอีเอ่ย