ไป๋จิ่นเงยหน้าเห็นผู้ชายแต่งตัวแหวกแนว ทรงผมไถข้าง ตรงกลางจัดแต่งทรงเสียเงาวับ
เดิมทีไป๋จิ่นก็เกลียดผู้ชายอยู่แล้ว พอเจอ ‘ผู้ชาย’ ที่เป็นตัวของตัวเองขนาดนี้ก็ยิ่งเกลียด ครั้นแล้วไป๋จิ่นจึงเขยิบออกข้างเล็กน้อย
“เขาเป็นนักข่าว ฉันกำลังให้ข้อมูลกับเขาอยู่ ไป๋จิ่น นี่ฉิวฉิว เป็นเพื่อนสนิทฉันเอง ฉิวฉิว นี่ไป๋จิ่น เป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์รายวัน”
“อ่อ จำได้ เธอเคยบอกว่ามีนักข่าวช่วยเวยเวยไว้ สวัสดีฮะคุณนักข่าว” ฉิวฉิวยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรให้
“สวัสดีค่ะ” ไป๋จิ่นตอบนิ่งๆ ผู้ชายคนนี้หน้าตากะล่อน ดูก็รู้ว่าเป็นพวกเจ้าชู้ เกลียดที่สุด
“โทษทีนะ ฉันออกไปรับโทรศัพท์ก่อน” เสี่ยวเชี่ยนเห็นสายเข้าจากพี่ใหญ่จึงยืนขึ้น
เดิมฉิวฉิวแค่อยากทักทายไป๋จิ่นตามมารยาท ขอบคุณที่ช่วยเวยเวยไว้ครั้งนั้น แต่เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เหมือนไม่อยากคุยกับเขา เขาเองก็ไม่อยากฝืน จึงพาผู้หญิงที่มาด้วยไปนั่งโต๊ะที่ค่อนข้างห่างจากไป๋จิ่น
ไป๋จิ่นเห็นเสี่ยวเชี่ยนคุยโทรศัพท์อยู่ด้านนอกท่าทางยุ่งมาก จึงตัดสินใจจะคิดเงินแล้วกลับก่อน ไม่อยากรบกวนเสี่ยวเชี่ยน วันนี้จิตใจของเธอรู้สึกโล่งขึ้นมาก ไอดอลก็คือไอดอล รู้จักพูดชี้แนะ
แต่ดูเหมือนไอดอลจะรู้จักคนมากมายหลายแบบ คนท่าทางประหลาดๆก็รู้จัก—ไป๋จิ่นเหลือบมองฉิวฉิว ผู้ชายที่ดูเหมือนไม่ใช่คนดีแบบนี้มาเป็นเพื่อนกับไอดอลได้ยังไงนะ
ไป๋จิ่นหยิบปากกาออกมา แล้วเขียนอีเมลกับเลขคิวคิวของตัวเองลงบนกระดาษทิชชู่ เอาแก้วน้ำทับไว้ จากที่ได้พูดคุยในวันนี้เธอรู้สึกชื่นชอบเสี่ยวเชี่ยนมากขึ้น หวังว่าต่อไปจะได้เป็นเพื่อนกัน
ขณะที่กำลังจะลุกไปนั้น อยู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนทะเลาะกันด้านหลัง เธอหันไปก็เห็นผู้หญิงที่มากับฉิวฉิวเทน้ำลงบนหัวฉิวฉิว น้ำไหลจากด้านบนลงมาอาบหน้า
ผู้หญิงคนนั้นดูท่าทางโมโห เธอยื่นมือไปตบฉิวฉิวหนึ่งฉาด ฉิวฉิวนั่งนิ่งไม่แสดงสีหน้าอะไร
“เซียวหมีชิว นายมันพวกวิปริต” ผู้หญิงตะโกนเสร็จก็เดินหนีโดยไม่หันกลับมามองอีก
ไป๋จิ่นเห็นฉิวฉิวมองตามผู้หญิงคนนั้น สายตาของเขาดูหลากหลายความรู้สึก เธอไม่รู้ว่าเบื้องหลังดวงตาคู่นั้นเก็บซ่อนความรู้สึกอะไรไว้
ขณะที่ไป๋จิ่นกำลังลังเลว่าจะเข้าไปถามไถ่ดีหม เพราะถึงอย่างไรฉิวฉิวก็เป็นเพื่อนของไอดอล ในฐานะที่เป็นคนมีน้ำใจก็ควรจะเข้าไปดูหน่อย แต่เธอเห็นหลังจากที่ฉิวฉิวมองผู้หญิงคนนั้นเดินไปจนลับตาแล้ว เขาก็เปลี่ยนสีหน้า เช็ดหน้าตา จากนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา
“เสี่ยวอ้ายอ้ายจ๋า เมนูหน่อยสิจ๊ะ~”
“พี่ฉิวโดนทิ้งอีกแล้วเหรอ” เสี่ยวอ้ายอ้ายเป็นพนักงานของร้านสนิทกับฉิวฉิว เธอเห็นเหตุการณ์แบบนี้จนไม่รู้สึกว่าแปลกอะไรแล้ว
“วันนี้ต้องให้พ่อครัวเพิ่มอาหารให้พี่นะ พี่ต้องการการปลอบใจ”
“ได้เลยพี่ฉิว รอเดี๋ยวนะคะ”
ไป๋จิ่นเห็นฉิวฉิวยิ้มหน้าบานแบบนั้นในใจรู้สึกไม่โอเคมาก
ฉิวฉิวรู้สึกได้ว่าไป๋จิ่นกำลังมองมาจึงหันไปยิ้มกว้างให้ เผยให้เห็นฝันขาวสะอาด
ผู้ชายเป็นสัตว์ที่ผิวเผินในเรื่องความรู้สึกจริงๆด้วย เมื่อกี้เพิ่งถูกบอกเลิกตอนนี้กลับยิ้มกว้างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกทั้งได้ยินพนักงานบอกว่าเขาถูกทิ้งบ่อยๆ บวกกับที่ผู้หญิงคนนั้นตบหน้าฉิวฉิว ไป๋จิ่นก็ยิ่งรู้สึกว่าผู้ชายที่แต่งตัวแหวกแนวคนนี้เป็นพวกไม่จริงจังในเรื่องความรัก ไร้ความจริงใจ
ถ้าเขามีใจให้ผู้หญิงจริงๆ ทำไมไม่ตามออกไป ไม่รั้งหรืออธิบายอะไรเลย
ความคิดอคติแบบนี้ได้แตกหน่อขึ้นในใจของไป๋จิ่น จนผ่านไปอีกนานเธอถึงได้รู้ว่า ยิ้มกว้างของฉิวฉิวนั้นเบื้องหลังได้แฝงเอาไว้ซึ่งความเจ็บปวดและจนปัญญา การที่เขาไม่ไปตามต่างหากเป็นการแสดงออกถึงความเอาใจใส่ของเขา แต่นี่ก็เป็นเรื่องในภายหลัง
ไป๋จิ่นที่ตอนนี้กำลังมีอคติเดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกเหมือนรังเกียจปีศาจอุทกภัย เธอไม่หันไปมองฉิวฉิวที่ผมเผ้าเนื้อตัวเปียกชื้นอีก
ฉิวฉิวมองไปยังด้านนอกร้าน ไป๋จิ่นโบกมือลาประธานเชี่ยน ประธานเชี่ยนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่พยักหน้าให้ไป๋จิ่น ประธานเชี่ยนคุยโทรศัพท์อยู่นาน ฉิวฉิวขอเปลี่ยนเป็นไวน์แดง เดี๋ยวรอประธานเชี่ยนคุยเสร็จจะให้มาดื่มเป็นเพื่อนเขา ปวดใจโว้ย
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน เธอทำอะไรลงไป ทำอะไรลงไป”
เสียงระเบิดอารมณ์ของพี่ใหญ่ดังลอดออกมา ฟังดูเหมือนร้อนใจมาก เสี่ยวเชี่ยนที่อยู่ปลายสายรับรู้ได้ถึงความโมโหของเสือยิ้มคนนี้
“ฉันปฏิเสธเคสที่พี่ให้ฉันมาค่ะ”
“เธอแค่ปฏิเสธเหรอ เธอปฏิเสธแล้วทำไมยังส่งของแบบนั้นไปให้ทางผู้หญิงด้วย ให้ตายเหอะ คนที่ถูกวานมาตอนนี้แทบจะมาฆ่าพี่แล้ว”
นี่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อคืนพี่ใหญ่ดื่มไปมากในงานเลี้ยง ขณะที่กำลังนอนฝันหวานนั่งนับเงินเพลินๆตลอดช่วงเช้า อยู่ๆก็มีคนโทรมา คนที่ถูกวานให้ดูแลเรื่องนี้โวยวายใหญ่ พี่ใหญ่ถึงได้รู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนไม่ใช่แค่ปฏิเสธลูกค้ารายใหญ่ที่เขาแนะนำให้ ยังใช้วิธีที่สุดโต่งบอกกับครอบครัวฝ่ายหญิงด้วย ตอนนี้ทางครอบครัวฝ่ายชายกลายเป็นศัตรูกับพี่ใหญ่แล้ว
“พี่ใหญ่จะเครียดทำไมคะ ครอบครัวนั้นก็แค่รวยนิดหน่อย ไม่มีใครกล้าแตะพี่หรอก” เสี่ยวเชี่ยนพูดเรื่องจริง ใครกล้าแตะลูกชายของพลโทอวี๋
“ใช่ เขาไม่กล้าฆ่าพี่หรอก แต่ต่อไปได้เป็นศัตรูทางธุรกิจอย่างสมบูรณ์แล้ว เชี่ยนเอ๋อ ครั้งนี้เธอเล่นงานพี่อ่วมมาก เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่ปรึกษาพี่ก่อนล่ะ แล้วนี่จะทำไงดี…”
ตอนนี้พี่ใหญ่อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังจะปลอบก็พบว่าโทรศัพท์แบตหมด
เสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าร้านกาแฟ เธอกลับไปที่โต๊ะตัวเองก่อน เห็นข้อความที่ไป๋จิ่นทิ้งไว้ให้ จากนั้นฉิวฉิวก็โบกมือให้เธอ
“ทำไมสภาพเป็นแบบนี้” เสี่ยวเชี่ยนมองฉิวฉิวที่เปียกไปทั้งตัว ไหนจะทรงผมที่เปียกอย่างกับไปอาบน้ำมา
“ไม่มีไรหรอก ถูกตบอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ฉันถูกปรักปรำจริงๆนะ ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนั้นถูกโรคจิตก่อกวน ฉันช่วยไล่โรคจิตให้เลยได้รู้จักกัน ฉันเห็นเขาเป็นน้องสาวมาตลอด ใครจะไปรู้ว่าวันนี้เขาเรียกฉันออกมาสารภาพรัก จากนั้นฉันก็เลยบอกเรื่องของตัวเอง ปรากฏว่า—” ฉิวฉิวผายมือออก
ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ
เสี่ยวเชี่ยนขมวดคิ้ว “เขาเรียนที่เดียวกับพวกเราเหรอ คุ้นหน้าจัง”
ฉิวฉิวเปิดขวดไวน์แล้วรินให้ประธานเชี่ยน
“เรื่องนี้ไม่โทษเขาหรอก ช่างมันเถอะ”
ฉิวฉิวรู้ว่าประธานเชี่ยนรักเพื่อนมาก ดูจากสีหน้าฟังจากน้ำเสียงของประธานเชี่ยนก็รู้ได้เลยว่ากำลังไม่พอใจ ฉิวฉิวไม่อยากให้ประธานเชี่ยนไปเล่นงานผู้หญิงคนนั้น
“เขาเป็นคนสารภาพรักออกมาเอง แต่ปรากฏว่าทำนายตัวเปียกแถมยังตบหน้านายเนี่ยนะ เซียวหมีชิว ทำไมไม่ตบกลับเล่า นายมันนิสัยดีเกินไป ดูซิคนแบบนี้มันถึงได้ได้ใจไงล่ะ” เสี่ยวเชี่ยนได้ยินแบบนั้นก็โมโห
“ช่างเถอะ จะคิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงทำไม คนอื่นรับไม่ได้เรื่องของฉันก็ไม่แปลกหรอก” ฉิวฉิวเองก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงคนนั้น คิดเป็นน้องสาวมาตลอด เพียงแต่ถูกคนอื่นตบหัวใจรู้สึกว่างเปล่า
นี่เขาทำผิดอะไรกันแน่ ทำไมเจอคนทำกับเขาแบบนี้ทุกครั้ง โชคดีที่ช่วงหลายปีนี้มีประธานเชี่ยนกับเพื่อนๆคอยอยู่เคียงข้างเขา เลยไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่สบายใจก็ไปหาเพื่อนกินเหล้าก็ดีขึ้นแล้ว
“น่าเสียดายที่ไป๋จิ่นไปแล้ว ไม่งั้นจะแนะนำให้รู้จักกัน” เมื่อกี้เสี่ยวเชี่ยนมัวแต่คุยโทรศัพท์เลยไม่ได้รั้งไป๋จิ่นไว้