“อ่านอย่างละเอียดแล้วสองรอบพะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีกล่าว
อิ๋งซื่อเลิกคิ้วเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้นางพูดต่อ
ในใจของซ่งชูอีรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก วายุโชยอ่อนและแสงจันทรากระจ่างนั้นมิใช่ของปลอม ทิวทัศน์งดงามก็มิใช่ของปลอม ทว่าจะไม่ให้ข้าได้ผ่อนคลายสักหน่อยเชียวหรือ แม้นจะคิดเช่นนี้ รอยยิ้มจางๆ กลับผุดขึ้นในดวงตาของซ่งชูอี “ฝ่าบาทอยากให้ข้าทำหน้าที่เป็นผู้ประนีประนอมระหว่างกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่เช่นนั้นหรือ?”
อิ๋งซื่อมองนางด้วยความชื่นชม “ท่านสามารถทำให้บรรลุได้หรือไม่?”
ซ่งชูอีไร้คำพูด หากไม่บรรลุก็ต้องบรรลุให้ได้ นี่เป็นภารกิจแรกที่นางมารัฐฉินและเป็นปัญหาที่รัฐฉินต้องเผชิญอยู่ในขณะนี้ ความลำบากนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการโจมตีรัฐเล็กรัฐหนึ่งเลย อีกทั้งสิ่งที่นางชำนาญที่สุดก็มิใช่การแก้ปัญหาต่างๆ ให้ราบรื่น ต้องทำดีต่อตระกูลเก่าแก่ในขณะปรองดองกับกฎหมายใหม่ หากทำไม่ดีก็จะเป็นความล้มเหลวและถูกตำหนิทั่วทุกที่
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย” ซ่งชูอีเหลือบมองเทือกเขาสลับซับซ้อนที่กว้างไกลด้านนอก จิบสุราคำหนึ่ง สักพักจึงหันมายิ้มเอ่ย “ทว่า ฝ่าบาทได้โปรดอย่าเอาหวยจินเข้ามาแทรกตรงกลางนานเกินไปเลยพะย่ะค่ะ! กระหม่อมอาจจะตายได้”
มุมปากของอิ๋งซื่อยกยิ้ม ลายเส้นบนใบหน้าอ่อนโยนลงมาก ยกจอกสุราขึ้น “กว่าเหรินเชื่อว่าต่อให้แปดปีสิบปีท่านก็ยังไม่ตายดอก กว่าเหรินขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก!”
“ฮาฮา ฝ่าบาทมีอารมณ์ขันโดยแท้” ซ่งชูอียิ้มพลางยกจอกสุราขึ้น บังด้วยแขนเสื้อเล็กน้อย เงยหน้าดื่มรวดเดียวจนหมด ลอบด่าอยู่ในใจ ‘หากฝ่าบาทกล้าสักแปดปีสิบปีจริง ข้าก็จะไปเป็นไส้ศึกให้กับรัฐอื่นเพื่อโค่นรัฐฉินก่อนแล้วค่อยว่ากัน!’
อิ๋งซื่อดื่มสุราในจอกจนหมด เอ่ยเรียบๆ “กว่าเหรินไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีอารมณ์ขันเลย”
ความหมายของวาจานี้ เป็นสิ่งที่เขาเรียกว่าออกมาจากใจ
“ด้วยวิริยะภาพของฝ่าบาท คาดว่าคงไม่นานดอกพะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีหุบยิ้ม ประจบประแจงด้วยสีหน้าขึงขัง
อิ๋งซื่อหัวเราะอย่างเหลือเชื่อ
อิ๋งซื่อคือหนึ่งเดียวในใต้กล้าผู้มีบุคลิกแห่งจักรพรรดิที่ควบคุมทุกสรรพสิ่งอยู่ในกำมือและเป็นที่โปรดปรานของทุกสิ่งมีชีวิต
ซ่งชูอีรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าสวรรค์ปฏิบัติต่อนางในชาตินี้อย่างดียิ่ง
“เหตุใดท่านจึงมีความต้องการในรูปลักษณ์สูงถึงเพียงนี้?” อิ๋งซื่อถามด้วยความสงสัย เขายังมิลืมเด็กหนุ่มที่เขาเห็นในรัฐเว่ย แม้นอิ๋งซื่อจะมิได้ใส่ใจกับเรื่องรูปลักษณ์เท่าใดนัก ทว่ากลับต้องอุทานด้วยความชื่นชม ใบหน้านั้นหล่อเหลายิ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนดาบชั้นดีที่ยังมิได้รับการเจียระไน ทำให้เขาอดมิได้ที่จะอยากได้เขามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
“กระหม่อมมิได้มีความต้องการในความสวยหรือความหล่อเท่าใดนัก เพียงแต่ สิ่งที่ดูดีมักจะเจริญหูเจริญตาเสมอ” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
“ไม่ทราบว่าเด็กหนุ่มข้างกายท่านในรัฐเว่ยคือผู้ใด?” อิ๋งซื่อเอ่ยถาม
“ฝ่าบาทหมายถึงเจ้าอี่โหลวหรือ?” ซ่งชูอีไม่คิดที่จะปกปิดสถานะของเจ้าอี่โหลว สถานะและลักษณะของเขาเยี่ยงนั้น ปกปิดอย่างไรก็ไม่สามารถปกปิดได้ “ฝ่าบาทเคยได้ยินเรื่ององค์จวินคนใหม่ในรัฐเจ้าหรือไม่?” อิ๋งซื่อประหลาดใจเล็กน้อย “องค์ชายเค่อ?”
“พะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีกล่าว
ทันใดนั้นอิ๋งซื่อก็เก็บการแสดงออกบนใบหน้าอีกครั้ง มิได้ถามเรื่องเจ้าอี่โหลวต่ออีก เพียงแต่มองสำรวจซ่งชูอีตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เพื่อดูว่าเสน่ห์แบบใดกันที่สามารถทำให้องค์จวินแห่งรัฐสละบัลลังก์และติดตามนางด้วยความเต็มใจ?
ด้วยความสามารถในการอ่านคนของอิ๋งซื่อ สามารถแยกแยะได้อย่างง่ายดายว่าเจ้าอี่โหลวมิใช่องค์ชายอ่อนแอที่ต้องพึ่งพาความสามารถของผู้อื่นจึงจะสามารถอยู่รอดได้ ในทางตรงกันข้าม ลมหายใจดุร้ายบนตัวเขาอยู่นอกเหนือความควบคุมของบุคคลธรรมดา แม้กระทั่งอิ๋งซื่อเองก็ไม่สามารถควบคุมให้ผู้อื่นยอมจำนนได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าซ่งชูอีกลับทำได้ นี่ทำให้เขาต้องประเมินเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ใหม่อีกรอบแล้ว
พบหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง ทว่าซ่งชูอีกลับทำให้เขาประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า เขาคล้ายกับสามารถเข้าใจถึงจิตใจของพระบิดาขณะที่เขาพบซางจวินในช่วงเวลาที่รัฐฉินประสบกับความทุกข์ยากมากที่สุด
ยิ่งสูงยิ่งหนาว หากสามารถมีคนคนนั้นที่ร่วมต่อสู้เพื่อเป้าหมายเดียวกัน ก็ช่างเป็นวาสนาของจักรพรรดิองค์หนึ่งแล้ว!
“ข้าขอดื่มให้ท่านอีกจอก!” อิ๋งซื่อยกจอกสุราขึ้นพร้อมเอ่ย
สองคนสบตากัน เมื่อมองเห็นรอยยิ้มในดวงตาของกันและกันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม เงยหน้าดื่มหมดจอกอีกรอบ
“ในเมื่อฝ่าบาทมอบหมายให้กระหม่อมไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ ไม่ว่ากระหม่อมจะกระทำสิ่งใด ขอให้ฝ่าบาทจงเชื่อใจว่ากระหม่อมสนับสนุนกฎหมายใหม่และจะยืนเคียงข้างฝ่าบาทเสมอ!” ซ่งชูอีวางจอกสุราลง กล่าวด้วยความเคารพ
อิ๋งซื่อพยักหน้า “ในเมื่อกว่าเหรินกล้าใช้ท่าน ก็กล้าเชื่อใจอยู่แล้ว”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย โค้งคำนับยาวนาน
ความไว้วางใจอย่างสมบูรณ์นั้นไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำกันได้อย่างง่ายดายอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นซ่งชูอีเป็นเพียงคนใหม่ที่เพิ่งเข้ารัฐฉินแต่มิใช่คนสนิทของอิ๋งซื่อ ซ่งชูอีชื่นชมความกล้าหาญของอิ๋งซื่ออย่างมากในจุดนี้ และต้องขอบคุณเขาด้วยใจจริง
พบคนรู้ใจดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย สุรารสร้อนแรงผ่านไปจอกแล้วจอกเล่า ทั้งสองคนดูคล้ายมึนเมาเล็กน้อย ทว่าดวงตากลับสดใสยิ่ง
“กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาทหน้านิ่วคิ้วขมวด” ซ่งชูอีมองดูคิ้วนั้น พลันคิดว่า ผู้ที่ดูดีนั้นดูดีมากจริงๆ แม้กระทั่งคิ้วส่วนเล็กๆ
อิ๋งซื่อพิงอยู่ที่ราวอย่างเกียจคร้าน เผยให้เห็นบุคลิกอันน่าดึงดูดอย่างน่าทึ่ง ริมฝีปากบางๆ ทำมุมยิ้มเล็กน้อย “กระทำการโหดร้ายในช่วงแรก ก็มักจะรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ผ่านไปนานแล้วก็จะคุ้นชินเอง”
“การเป็นท่านจวินจำต้องโหดร้ายด้วยหรือ? เซี่ยวกงจิตใจกว้างขวางและตรงไปตรงมาก็ทำให้รัฐฉินรุ่งเรืองได้มิใช่หรือ?” ดวงตาของซ่งชูอีเปล่งประกายสดใสคล้ายลำธารน้ำใส
“หากท่านเต็มใจเป็นซางยาง กว่าเหรินก็จะเป็นเซี่ยวกง” อิ๋งซื่อเอ่ยเชื่องช้า
ความเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่ตัวและความโหดร้ายของซางยางนั้น ไม่ว่าเขาจะทำการใดก็จะไม่เหลือพื้นที่ว่างให้คนอื่น และไม่ให้ตัวเองได้ถอยหนี เพราะความแข็งแกร่งเช่นนี้ ฉินเซี่ยวกงจึงมีจิตใจเมตตาต่อเขา รัฐต่างๆ ล้วนต้องการที่จะดำรงอยู่ในโลกแห่งความวุ่นวายเช่นนี้ อาศัยเพียงความเมตตากรุณาอย่างเดียวนั้นยังห่างไกลจากความเพียงพอ
“หวยจินไม่เต็มใจที่จะเป็นซางจวิน” ซ่งชูอีกล่าว
อิ๋งซื่อยืดตัวตรงเล็กน้อย เขาสังเกตว่าซ่งชูอีกล่าวว่า “ไม่เต็มใจ” มิใช่ “ไม่สามารถ” จึงเอ่ยถาม “ท่านมีความกังวลใจใด?”
ซ่งชูอียิ้มมองเขา มิได้กล่าวอะไร
อิ๋งซื่อก็ยิ้มอย่างจนใจ สุดท้ายซางยางก็ลงเอยอย่างน่าอนาจในมือของเขา ผู้คนมากมายต่างรู้เห็น ใครยังจะกล้าเป็นซางจวินอีกคนภายใต้เงื้อมมือของเขาเล่า?
เขาได้กำหนดทุกสิ่งที่เขาทำตั้งแต่ต้น บรรดาขุนนางทั้งหมดต่างถูกเขาควบคุมได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ผู้ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งของบ้านเมืองนี้ก็คือตัวเขาเอง
ฉินเซี่ยวกงมอบรัฐฉินที่รุ่งเรืองอยู่ในมือของเขา เขาจึงมีหน้าที่ทำให้มันยิ่งใหญ่กว่าเดิม ทำให้การเสียสละของคนยุคนั้นมีความหมายยิ่งขึ้น
แสงจันทร์ดุจสายน้ำ
ขณะนี้ในศาลากลับสู่ความเงียบสงบแล้ว
เนื้อหาของการสนทนาทั้งหมดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการพบกันครั้งนี้ อิ๋งซื่อมีความตั้งใจจะใช้งานซ่งชูอี จึงต้องทำความรู้จักนิสัยและความคิดของนาง ส่วนซ่งชูอีตัดสินใจที่จะมอบชีวิตของตนให้แก่รัฐฉิน ก็จำเป็นต้องวางท่าทีของตนให้เหมาะสม
หลังจากดื่มจนสำราญแล้ว
ซ่งชูอีอ่อนล้าไปทั้งร่าง ฟุบหลับบนโต๊ะด้วยความมึนเมา
อิ๋งซื่อคอแข็ง อย่าว่าแต่ครึ่งไหเลย แม้กระทั่งทั้งไหก็ไม่อาจล้มเขาได้ด้วยซ้ำ เขามองดูเด็กหนุ่มตรงข้ามที่เมาหลับภายใต้แสงจันทร์ ในใจคิดว่าการได้พบกันนั้นเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดโดยแท้ แม้นเขากะตือรือร้นที่จะได้นักปราชญ์มาก ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าจะพบกับคนผู้นี้ซึ่งอ่อนเยาวน์นัก และเขาก็เชื่อนาง
ทันใดนั้นอิ๋งซื่อก็นึกถึงสิ่งที่ซ่งชูอีเคยถามเขา เมื่อต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่มีประสบการณ์มากมายเพียงนี้ เขาไม่กลัวหรือ?