หลายวันนี้ซ่งชูอีใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง นางรู้ว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีช่วงเวลาเช่นนี้อีกแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทะนุถนอมและเพลินเพลินกับมันเป็นพิเศษ
เช้าตรู่ของวันนี้
ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง ซ่งชูอีแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็ขี่ม้าไปยังพระราชวังเสียนหยาง ขณะที่นางมาถึงพระราชวัง กลองราชสำนักก็ดังขึ้น
ด้านหน้าประตูพระราชวัง บรรดาขุนนางแห่งรัฐฉินในชุดราชสำนักสีดำเรียงแถวกันเข้าไป เสื้อคลุมตัวใหญ่ที่มีแขนกว้างแกว่งไปมา มีผู้คนกว่าร้อยคนทว่ากลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย
ซ่งชูอีก็ปะปนไปกับฝูงชน ดึงดูดความสนใจของคนที่อยู่ข้างกายเป็นครั้งคราว บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มจางๆ ค้อมคำนับเล็กน้อยพอเป็นพิธี ไม่หยิ่งผยองและไม่ถ่อมตัวจนเกินไป
ครั้นเข้าไปในพระราชวัง ซ่งชูอีหาตำแหน่งของตัวเองแล้วเข้าไปยืน
เนื่องจากตำแหน่งที่นั่งเหนือราชสำนักอยู่ที่เสาสองข้างของด้านล่างพระที่นั่ง ดังนั้นอวี้สื่อจึงมีชื่อเรียกว่าจู้ซย่าสื่อ (สื่อผู้นั่งใต้เสา) ชาติที่แล้วซ่งชูอีอยู่ในนครเล็กๆ อย่างเสียนหยางจนกระทั่งสิ้นชีวิต ทว่านางก็ได้เยี่ยมเยียนต่างรัฐมาไม่น้อยในฐานะราชทูต ดังนั้นจึงนับได้ว่าเห็นโลกมามาก การหาตำแหน่งที่นั่งจึงมิใช่เรื่องยาก
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
ทุกคนเพิ่งจะยืนประจำที่ ก็มีเสียงแหลมเล็กของขันทีดังขึ้น
อิ๋งซื่อในชุดจีนสีดำเดินขึ้นไปยังพระที่นั่งหลัก ครั้นทุกคนถวายการคำนับเสร็จแล้วก็นั่งลง จากนั้นขันทีข้างกายเขาก็กล่าวขึ้น “ทุกท่านเชิญนั่ง”
“เหลาจื่อเคยดำรงตำแหน่งจู้ซย่าสื่อมาก่อน บัดนี้ซ่งหวยจินแห่งสำนักเต๋าจะดำรงตำแหน่งจู้ซย่าสื่อให้แก่ต้าฉินของข้า” อิ๋งซื่อหันไปมองซ่งชูอีที่อยู่ด้านข้างเล็กน้อย
ซ่งชูอีลุกขึ้นประสานมือคำนับทุกคน
“ท่านซ่งอายุน้อยกว่าเหลาจื่อนัก เป็นการบ่งบอกว่าต้าฉินของข้ากำลังจะรุ่งโรจน์กระมัง” ขุนนางในวัยสามสิบกว่าท่านหนึ่งพูดขึ้นด้วยเสียงไม่ดังไม่เบา
มีความถากถางในคำพูด ทั้งท้องพระโรงเงียบสงัด
ซ่งชูอีหัวเราะเบาๆ ประสานมือเอ่ย “ได้ยินคำสรรเสริญเช่นนี้ ในใจของข้าน้อยหวาดกลัวยิ่งนัก”
นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เดิมทีข้าน้อยคิดว่าตนเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ทว่าฝ่าบาทกลับมอบหมายงานสำคัญให้ทำ แม้ว่าข้าน้อยจะไม่มีความเชื่อมั่นว่าตนคือม้าพันลี้ก็ต้องพยายามเป็นม้าพันลี้ให้ได้ สิ่งเดียวที่ข้าน้อยกลัวคือการไม่ได้รับความชื่นชมจากป๋อเล่อ”
ซ่งชูอีตอกกลับด้วยความประชดประชันที่ซ่อนอยู่ในคำพูด กล่าวหาอีกฝ่ายกลายๆ ว่าสงสัยในวิสัยทัศน์และเย้ยหยันการกระทำของของฝ่าบาท
ไต้ซืออาวุโสกานหลงที่ศีรษะขาวโพลนเหลือบเปลือกตาที่หย่อนยานขึ้นมองซ่งชูอีเล็กน้อย แล้วหลุบสายตาลงต่อ
ซ่งชูอีจำต้องใกล้ชิดกองกำลังจากทุกฝ่าย มิใช่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตั้งแต่แรกเริ่ม หากริเริ่มที่จะเข้าหาใครสักคนก่อน ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยแต่ยังเสียโอกาสในการติดต่อกับส่วนอื่นของกองกำลังอีกด้วย ฉะนั้นนางกำลังสร้างภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อาจจะมีความสามารถแต่ก็เปี่ยมด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถทนกับการใส่ร้ายและความก้าวร้าวจากผู้อื่นได้
ในขณะที่กฎหมายใหม่ยังไม่มีข้อสรุป ด้วย “อุปนิสัย” ของนางจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าสามารถใช้ประโยชน์นางได้ เช่นนี้นางเพียงนั่งอยู่ในบ้านก็จะมีคนมาหาถึงที่
“ไต้ซือมีความเห็นต่อเรื่องนี้เยี่ยงไร?” อิ๋งซื่อมิได้พลาดอิริยาบทที่ละเอียดอ่อนของกานหลงเมื่อครู่
กานหลงเหลือบตาขึ้นมอง ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้าผู้อาวุโสคิดว่า บัดนี้ปัญหาแรกที่ต้องหารือคือกฎหมายใหม่ กฎหมายของบ้านเมืองมีความสำคัญสูงสุด ฝ่าบาทตัดสินใจเมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจ”
สีหน้าเยือกเย็นของอิ๋งซื่อไร้การแสดงออกที่เกินจำเป็น “ไต้ซือเป็นผู้อาวุโสสี่แผ่นดิน กว่าเหรินต้องการทราบความเห็นของท่านไต้ซือ”
กานหลงเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “กฎหมายใหม่กฎหมายเก่าล้วนมีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง จะใช้กฎหมายใดหรือใช้เยี่ยงไร ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความปรารถนาของผู้ที่ถือครองอำนาจ ในโลกนี้ไม่มีกฎหมายใดที่ไม่สามารถปกครองบ้านเมือง ตราบเท่าที่ใช้ในเวลาที่เหมาะสม สภาพทางภูมิศาสตร์และสังคมเอื้ออำนวยเป็นอันใช้ได้ ข้าผู้อาวุโสเชื่อว่าฝ่าบาทเองมีวิจารณญาณอยู่ในใจแล้ว และข้าผู้อาวุโสก็สนับสนุนการตัดสินใจของฝ่าบาท”
คำตอบนี้หลีกเลี่ยงประเด็นคำถามของอิ๋งซื่อได้อย่างชาญฉลาด เขาไม่เคยตอบตามความเห็นอย่างแท้จริงว่าควรใช้หรือยกเลิกกฎหมายเก่าใหม่เยี่ยงไร แต่เพียงแค่แสดงจุดยืนก็เท่านั้น
ซ่งชูอีลอบคิดว่าเขาช่างสมกับเป็นขุนนางที่รับใช้มาสี่แผ่นดินโดยแท้! จิ้งจอกเฒ่าประเภทนี้จะไม่มีวันแสดงความเห็นของตัวเองต่อหน้าธารกำนัลอย่างเด็ดขาด ตราบใดที่ไม่แสดงความคิดเห็นก็จะไม่ผิดใจฝ่ายใด ส่วนที่เขากล่าวว่าสนับสนุนการตัดสินใจของฝ่าบาทนั้น ก็แค่ฟังไว้เท่านั้น มันอาจไม่ใช่คำเท็จแต่ก็อาจไม่ใช่คำจริง ใครคิดว่าจริงก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว หน้าไหว้หลังหลอกอะไรเทือกนั้นเป็นเรื่องสามัญที่สุด
อิ๋งซื่อถูกปิดกั้นอย่างเฉยเมย สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง สั่งให้ทุกคนนั่งลง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “กว่าเหรินวางแผนจะโจมตีเว่ยเดือนหน้า”
ทันทีที่กล่าวคำนี้ออกมา ท้องพระโรงก็เต็มไปด้วยความโกลาหล เรื่องในบ้านของตัวเองยังไร้ความชัดเจนก็จะยื่นมือออกไปข้างนอกแล้ว มันไม่รีบร้อนไปหน่อยหรือ? ทุกคนต่างลอบถอนหายใจ ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์จริงๆ! มีเพียงความก้าวร้าว ขาดความสงบนิ่ง!
“ฝ่าบาท เรื่องภายในต้องสงบก่อนจึงจะสามารถโจมตีภายนอกได้นะพะย่ะค่ะ!”
หลังจากดึงสติกลับมาแล้วก็มีคนเอ่ยห้ามปรามทันที
“กว่าเหรินเชื่อว่าชาวฉินทุกคนล้วนจดจำความอัปยศอดสูที่รัฐเว่ยได้มอบให้แก่ต้าฉินของข้าได้! บัดนี้การต่อสู้ระหว่างหานและเว่ยกำลังจะเริ่มขึ้น ต้าฉินสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเคลื่อนไหว โอกาสประเสริฐเช่นนี้ หากพลาดไปครั้งหนึ่งใครจะยังให้โอกาสได้อีกเล่า กว่าเหรินต้องลงมือดำเนินการเรื่องนี้ทันที” หาได้ยากนักที่อิ๋งซื่อจะกล่าวคำยืดยาวและปลุกเร้าเช่นนี้ในหนึ่งลมหายใจ มันเป็นกิริยาอันห้าวหาญและน่าทึ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตระกูลและผู้ที่ขับเคลื่อนด้วยผลกำไร ไม่ว่ามีแรงกดดันมากเพียงใดก็มีคนกล้าหาญที่จะสู้กลับด้วยความดุดัน “ฝ่าบาท เรื่องนี้ท่านซ่งอาจสามารถกระตุ้นพันธไมตรีแห่งรัฐทั้งห้าเพื่อโจมตีรัฐเว่ยได้อีกครั้ง ทำให้หานและเว่ยสู้รบกันซึ่งน่าจะเป็นแผนในใจอยู่แล้วกระมัง!”
‘แผนในใจปู่เจ้าสิ!’ ซ่งชูอีลอบด่าอยู่ในใจ
ก่อนหน้านี้นางแสร้งทำเป็นไม่สามารถทนความก้าวร้าวได้ ซึ่งมีบางคนคิดเช่นนั้นจริงๆ เพียงชั่วอึดใจจึงคิดทดลองดูสักตั้ง! บัดนี้มันมิใช่เรื่องที่ว่านางจะมีความสามารถหรือไม่ ทว่าเป็นเรื่องควรหรือไม่ควรมากกว่า
ทุกสายตาต่างมุ่งไปยังซ่งชูอี นางกระแอมไอเบาๆ หันไปกล่าวกับอิ๋งซื่อ “กราบทูลฝ่าบาท คราวก่อนกระหม่อมประสบกับความล้มเหลว นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว ครั้งนี้กระหม่อมมิกล้ารับประกันอย่างสมบูรณ์ ทว่าก็ยังมีความเป็นไปได้หกถึงเจ็ดส่วน”
การต่อสู้ของสองรัฐไม่ใช่การทะเลาะกันระหว่างเด็กน้อยที่จู่ๆ ก็จะสู้กันขึ้นมาได้? การกล่าวว่ามีชัยชนะหกถึงเจ็ดส่วนนั้นก็บ้าบิ่นมากแล้ว
ครั้นกล่าวเช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดหาเหตุกับนางอีก ทุกคนล้วนประจักษ์ถึงนิสัยใจคอของนางแล้ว ทว่าความเป็นไปได้หกถึงเจ็ดส่วนนั้น แน่นอนว่าไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้อิ๋งซื่อละทิ้งความคิดที่จะโจมตีรัฐเว่ย
“หากไม่มีความเห็นอื่น ในเวลานี้ก็ว่ากันตามนี้ก่อน พรุ่งนี้จึงจะวางแผนกลยุทธ์” อิ๋งซื่อพูดจบก็ลุกขึ้นจากไป
นับตั้งแต่อิ๋งซื่อขึ้นครองราชย์ วิธีการทรงงานในแต่ละครั้งก็ทำให้ทุกคนเห็นความฉลาด ความโหดร้ายและความแนบเนียนของเขา เขาได้สร้างความสง่าผ่าเผยที่ต่างจากพระบิดาฉินเซี่ยวกง ทำให้บรรดาขุนนางส่วนใหญ่ต่างหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ
หลังจากการประชุมพระราชสำนักเสร็จสิ้น ซ่งชูอีก็ไปหาไท่สื่อ มีขันทีในวังพานางไปยังสถานที่ที่จัดการภารกิจต่างๆ ในวันปกติ
ห้องที่มอบหมายให้ซ่งชูอีเป็นห้องใหญ่ มีทั้งข้างในและข้างนอกอย่างละห้อง ไม่ว่าจะเป็นห้องข้างนอกหรือข้างในล้วนเต็มไปด้วยกองสมุดไผ่ มีโต๊ะตัวกลางอยู่ท่ามกลาง “เนินเขา” ของกองสมุด เมื่อซ่งชูอีนั่งลงก็มองไม่เห็นใครเลย
เมื่อมองดูสิ่งของตรงหน้า ซ่งชูอีก็ข่มความตื่นเต้นในใจไว้ไม่อยู่ ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่รวบรวมมาจากทั่วทุกแห่ง นางสามารถรู้จักใต้หล้าได้อย่างแท้จริงโดยไม่ต้องออกไปข้างนอกเลย