ซ่งชูอีดังตะเกียงน้ำมันแล้วปีนขึ้นเตียงในความมืด ยืดมือดึงผ้านวมผืนบาง
ไม่รู้ว่าเจ้าอี่โหลวเลิกหาห้องนอนอีกห้องตั้งแต่เมื่อไร ทว่าซ่งชูอีก็ไม่ปฏิเสธ การร่วมเตียงเคียงหมอนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติมากและราวกับมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
ภายในความมืดมิดนั้นเงียบสงัดอยู่นาน
ครั้นซ่งชูอีรู้สึกว่าลมหายใจของคนข้างกายแผ่วเบาและยืดยาวสม่ำเสมอก็ลงจากเตียง จุดไฟดวงเล็ก หยิบกล่องบรรจุยาเล็กกล่องเล็กออกมาจากชั้นวางหนังสือ คุกเข่าลงข้างเท้าของเจ้าอี่โหลว เช็ดแผลให้เขาด้วยน้ำยาแล้วพันด้วยผ้าพันแผลอย่างดี
ปกติเจ้าอี่โหลวรู้สึกตัวง่ายในขณะหลับ ทว่าครั้งนี้กลับไม่ตื่นขึ้นมาเพราะว่าอ่อนล้าเกินไป และเป็นเพราะอุ่นใจเมื่ออยู่ข้างกายซ่งชูอี
ซ่งชูอีลุกขึ้นแล้วผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มลงคลายเสื้อของเขา กลืนน้ำลายสำรวจรอบหนึ่งว่าบนร่างกายมีบาดแผลหนักหรือไม่ ก่อนที่จะเก็บของเข้าที่ ดับไฟแล้วขึ้นเตียง
หลับตาลง ในสมองของซ่งชูอีมีแต่ภาพของร่างกายเจ้าอี่โหลวที่เป็นผู้ใหญ่และแข็งแรงขึ้น หลังจากฝันว่าทำเช่นนั้นเช่นนี้กับเขาแล้วก็นอนหลับอย่างสบายใจ
วันรุ่งขึ้น
ยามรุ่งสาง หนิงยาปลุกซ่งชูอีเพื่อเตรียมประชุมราชสำนักในช่วงเช้า
เจ้าอี่โหลวขยับตัวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติที่ขา ครั้นเห็นผ้าพันแผลสีขาวที่พันไว้อย่างดี แววตาก็ฉายรอยยิ้มจางๆ ชี้ไปที่ขาหันหน้าถามซ่งชูอี “เจ้าเป็นคนพันรึ?”
ซ่งชูอีกำลังสวมเสื้อคลุมตัวนอก สักพักจึงหันไปมอง เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เจ้าบาดเจ็บหรือ?”
เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้ว มองนางอย่างสำรวจ ทว่ากลับไม่พบพิรุธใด ในใจก็ผิดหวังเล็กน้อย ครุ่นคิดดูแล้วก็อาจจะเป็นการกระทำของหนิงยา เพราะว่าเมื่อวานมีเพียงหนิงยาที่เห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บ และมีเพียงหนิงยาและเจียนที่สามารถเข้ามาในห้องนี้ได้
“ในเมื่อได้รับบาดเจ็บ ก็อย่าลงเดินไปทั่ว มีอะไรก็เรียกหนิงยาเสีย” ซ่งชูอีรัดสายคาดเอว จากนั้นก็ก้าวเท้าออกไปจากห้อง
“ข้าจะไปปล่อยเบา!” เจ้าอี่โหลวเอ่ยเย็นชา
ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ เดินออกไปนอกห้องเพื่อชำระล้างร่างกายทันที
หลังจากกินอาหารเช้าไปครึ่งหนึ่งจึงเห็นเจ้าอี่โหลวกลับมา แววตาที่มองนางนั้นอ่อนโยนกว่าเมื่อครู่มาก ทว่าการแสดงออกยังคงเยือกเย็น
ไป๋เริ่นกระโดดโลดเต้นตามหลังเข้ามา รีบวิ่งไปที่เท้าของซ่งชูอี เงยหน้าจ้องนางด้วยดวงตาสีดำคู่นั้น ส่ายหางไปมา ท่าทางเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
ซ่งชูอีเลี้ยงมันจนโต จึงเข้าใจเจตนาของเจ้าหมอนี่ดี เพราะนางไม่ชอบเลี่ยนเกินไปในตอนเช้า นางจึงแบ่งเนื้อกวางในจานให้มันครึ่งหนึ่ง
“ท่าน องค์ชายจี๋ถึงแล้วเจ้าค่ะ” หนิงยารายงานอยู่ด้านนอก
“ดี” ซ่งชูอีดื่มโจ๊กสองคำด้วยความรีบร้อน จากนั้นก็ออกไป
การไม่ใส่ใจกันเช่นนี้ทำให้เจ้าอี่โหลวหายใจไม่ออก
ซ่งชูอีมาถึงหน้าประตู เห็นชูหลี่จี๋ก็ค้อมคำนับพลันได้ยินเขาเอ่ยขึ้น “ขึ้นม้าแล้วค่อยว่ากัน”
เจียนจูงม้าเข้ามา ซ่งชูอีพลิกตัวขึ้นม้าไป หันไปถาม “พี่ใหญ่มีเรื่องด่วนรึ?”
“เมื่อคืนข้าได้รับราชโองการจากฝ่าบาทหลังกลับถึงจวนว่าวันนี้ให้อยู่หารือเรื่องโจมตีรัฐเว่ยหลังประชุมราชสำนัก”
ชูหลี่จี๋กล่าว
“อืม” ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง ขี่ม้าเคียงข้างเขา
ที่จริงเรื่องนี้จะว่าไปก็ไม่ยาก ซ่งชูอีสามารถวางกลยุทธ์ได้ ทว่าจะไม่รับผิดชอบเรื่องการดำเนินการ เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วกลยุทธ์อาจเป็นเพียงแนวทางง่ายๆ แต่อาจต้องเสียพลังงานไปอย่างมากในการปฏิบัติจริง
สงครามครั้งนี้มิได้มีนัยยะสำคัญตามความเห็นของซ่งชูอี ต่อให้มิได้นำความยุ่งเหยิงภายนอกมาพัวพันปัญหาภายใน อิ๋งซื่อก็ไม่มีวิธีอื่นเช่นนั้นหรือ? ฉะนั้นนางจึงยังคงทุ่มเทกำลังส่วนใหญ่ของตนไปที่รัฐปาและรัฐสู่
หัวข้อที่หารือกันในการประชุมราชสำนักก็เป็นการโจมตีรัฐเว่ยเช่นกัน ทว่ามิใช่เป็นการหารือวิธีการโจมตี หากแต่มีผู้คนจำนวนมากที่หยุดยั้งการโจมตีเว่ย
ภายในท้องพระโรงชุลมุน ต่างคนต่างแสดงความเห็นของตัวเอง ซ่งชูอีที่นั่งเงียบอยู่ตลอดเวลาดูถ่อมตัวอย่างเห็นได้ชัด ทว่าบัดนี้ฝูงชนเกิดความโกลาหล ความเฉยเมยของนางนั้นโดดเด่นเกินไปแล้วจริงๆ
“ท่านจู้ซย่าสื่อเป็นผู้มีอารมณ์ลึกซึ้งในจิตใจ ทว่ากลับเงียบงันเพียงนี้ มิทราบว่ามีความเห็นต่อเรื่องนี้เยี่ยงไร?” ต้าฟูเมิ่งสวินกล่าวด้วยเสียงอันดัง
เมิ่งสวินเกิดในสกุลเมิ่งแห่งรัฐฉิน ปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลอย่างแน่วแน่มาโดยตลอด ในเวลานี้บีบบังคับให้
ซ่งชูอีแสดงทัศนคติออกมาโดยการอาศัยพลังของผู้คนจำนวนมาก แววตาที่ดุดันนั้นราวกับว่าพร้อมที่จะสังหารซ่งชูอีหากนางกล่าวว่าสนับสนุนกฎหมายใหม่
ในท้องพระโรงค่อยๆ เงียบเสียงลง ซ่งชูอีไอแห้งทีหนึ่ง “ใต้เท้าเมิ่งกล่าวเกินไปแล้ว ฝ่าบาทต่างหากที่เป็นฝ่ายเงียบกระมัง?” นางกล่าวพลางหันไปทางองค์จวิน ค้อมคำนับเอ่ย “กระหม่อมสนับสนุนการตัดสินใจของฝ่าบาท”
ซ่งชูอีโยนเรื่องนี้ให้กับอิ๋งซื่อแล้ว
ใครจะรู้ว่าบุรุษดุจรูปปั้นบนพระที่นั่งหลักจะทอดสายตามาอย่างเฉยเมย “กว่าเหรินก็อยากฟังความเห็นของท่านจู้ซย่าสื่อ”
“กระหม่อมรับทราบ” ซ่งชูอีหลุบตาลง “ก่อนที่จะจัดการเรื่องกฎหมายเก่าใหม่นั้น ควรจะกำจัดความแข็งแกร่งของรัฐเว่ยก่อนจะดีที่สุด”
ซ่งชูอีมิได้เงยหน้า ทว่ากลับสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปกะทันหัน นางเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อไปว่า “รัฐฉินมิมีความจำเป็นต้องออกศึกเอง นอกเหนือจากเว่ยก็ยังมีเจ้า ฉี หาน ฉู่…”
“ความหมายของจู้ซย่าสื่อก็คือส่งคนไปเจรจาหว่านล้อมรัฐเหล่านี้เพื่อโจมตีเว่ย?” เมิ่งสวินถามอย่างละเอียด
บรรดาตระกูลเก่าแก่อดมิได้ที่จะตื่นตกใจ ตราบใดที่พวกเขาไม่ส่งกองทัพหลักออกไป พวกเขาก็สามารถฟื้นฟูกฎหมายเดิมได้อย่างเฉียบขาด
ท่านไต้ซืออาวุโสกานหลงก็มองไปที่ซ่งชูอี เขามีกลยุทธ์อยู่ในใจแล้ว หากอิ๋งซื่อไม่ยินยอมฟื้นฟูกฎหมายเก่า เขาก็มีวิธีปลุกระดมอี้ฉวี สร้างแรงกดดันจากทุกสารทิศ บีบบังคับให้องค์จวินสละบัลลังก์! ถึงอย่างไรนี่ก็มิใช่ครั้งแรกที่เขาทำเรื่องเช่นนี้
กานหลงเป็นขุนนางเก่าแก่สี่แผ่นดิน ตอนนั้นหากมิใช่เพราะเขาบีบให้พระราชวังละทิ้งฉินชูกง สนับสนุนให้ฉินเซี่ยงกงขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็สนับสนุนฉินเซี่ยวกง ก็คงไม่มีต้าฉินในปัจจุบันและยิ่งไม่มีอิ๋งซื่อเช่นทุกวันนี้
ความทรงจำผุดขึ้นมา กานหลงก็อดทอดถอนใจกับความอ่อนนอกแข็งในรวมถึงพระสติปัญญาและความกล้าหาญในฐานะองค์จวินของฉินเซี่ยวกงมิได้ การใช้งานคนที่ในสายตามีเพียงกลยุทธ์แต่ไร้ความเมตตาเช่นซางยาง มีแต่จะบีบให้อำนาจอธิปไตยของเขาจนมุม!
ครั้งนี้เป็นการล้มล้างครั้งสุดท้ายแล้ว กานหลงเองก็เข้าใจอิ๋งซื่อเป็นที่สุด ในใจรู้ดีว่าหากไม่สามารถสำเร็จได้ในครานี้ เกรงว่าภายภาคหน้าก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว…
“ทว่ามันเป็นเพียงความคิดเห็นต่ำต้อยเท่านั้น ส่วนเรื่องที่จะทำเยี่ยงไรนั้นยังมิได้พิจารณา” คำพูดของซ่งชูอีดึงกานหลงออกมาจากความทรงจำ
หลายปีที่ผ่านมานี้กานหลงแทบไม่ได้พูดในท้องพระโรงเลย ครั้งนี้กลับแสดงความคิดเห็นของตัวเองโดยไม่คาดคิด “ข้าผู้อาวุโสคิดว่าวาจาของจู้ซย่าสื่อนั้นตรงประเด็นยิ่ง รัฐเว่ยปฏิบัติต่อรัฐฉินราวกับพยัคฆ์ที่คอยจ้องเหยื่ออยู่ตลอดเวลา หากต้าฉินสร้างปัญหาถึงขั้นที่ไม่สามารถสลัดตัวออกมาได้ เป็นการยากที่จะรับประกันว่าจะไม่ถูกเอาเปรียบจากช่องโหว่นี้”
อิ๋งซื่อเลิกคิ้วเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “เลิกประชุม ค่อยหารือเรื่องนี้พรุ่งนี้”
หลังจากทุกคนก้มศีรษะคำนับอิ๋งซื่อแล้ว ก็ลุกขึ้นออกจากพระราชวังไปทีละคน
ครั้นชูหลี่จี๋ออกมาจากพระราชวังแล้วก็ตรงไปยังหออักษรของอิ๋งซื่อทันที ซ่งชูอีจัดข้าวของเสร็จแล้วก็ตามไปเช่นกัน
ทั้งสองมิได้มีเจตนาซ่อนการกระทำของพวกเขา ในพระราชวังแห่งนี้มีดวงตานับไม่ถ้วน หากทำตัวลับๆ ล่อๆ จะทำให้ผู้คนเกิดความสงสัย สู้ไปอย่างเปิดเผยยังจะดีกว่า
“ท่าน”
ขณะที่ซ่งชูอีกำลังจะถึงหออักษร ก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง
“เหม่ยเหริน[1]” ซ่งชูอีหันมาเห็นผู้นั้นก็ประสานมือคำนับ
วังหลังของอิ๋งซื่อมีเพียงจื่อเฉาเพียงคนเดียวเท่านั้น นับตั้งแต่ที่มอบให้ซ่งชูอีแต่ถูกปฏิเสธคราวก่อน อิ๋งซื่อก็แต่งตั้งให้นางเป็นเหม่ยเหริน ตำแหน่งนี้ไม่สูง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นตำแหน่งหนึ่งเดียวในตอนนี้
ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความงดงามของจื่อเฉาเจือปนความเศร้าโศกจางๆ “ท่านจู้ซย่าสื่อไม่ต้องมากพิธี”
นางถอนหายใจด้วยความแผ่วเบาที่สุด เอ่ยขึ้น “ท่านพาน้องสาวของข้าเข้าวังเพื่อให้พี่น้องได้พบหน้ากันสักวันได้หรือไม่? ข้าคิดถึงน้องสาวเหลือเกิน”
ซ่งชูอีหลุบตาลงครู่หนึ่ง ขณะที่เหลือบตาขึ้นก็เอ่ยยิ้มน้อยๆ “พะย่ะค่ะ”
[1] เหม่ยเหริน หนึ่งในตำแหน่งพระสนมแห่งองค์จักรพรรดิ แปลว่า ผู้มีความงดงาม