สีหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์เผยให้เห็นความงงงวย ทว่ากลับรับคำสั่งและกล่าวคารวะโดยพร้อมเพรียงกัน “คำนับจู้ซย่าสื่อ!”
“ทุกท่านมิต้องมากพิธี” ซ่งชูอีนับคร่าวๆ ทั้งหมดมีสี่สิบสองคน หันไปถามอิ๋งซื่อ “มีท่านปรมาจารย์ดาบแห่งสำนักม่อกี่ท่านที่อยู่ในรัฐฉิน?”
อิ๋งซื่อหันไปมองซ่งชูอี ครั้นเห็นว่านางมีเหงื่อซึมราวหยาดพิรุณก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้นาง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซ่งชูอีรับด้วยสองมือ ซับลวก ๆ และสอดมันเข้าไปในแขนเสื้อของตัวเอง
“สามท่าน” จากนั้นอิ๋งซื่อก็ตอบคำถามเมื่อครู่
ซ่งชูอีพูดไม่ออก เดิมทีปรมาจารย์ดาบก็มีไม่มากอยู่แล้ว ในโลกใบนี้สามารถมีถึงยี่สิบคนก็ไม่เลวแล้ว และคนเหล่านี้ก็มาจากสำนักม่อเป็นส่วนใหญ่ สามคนก็นับว่าเป็นจำนวนที่มากทีเดียว ใครจะรู้ว่านอกเหนือจากสำนักม่อแล้วจะมีแหล่งกำเนิดปรมาจารย์ดาบอีกหรือไม่? เพียงแต่ไม่รู้ว่าปรมาจารย์ของเจ้าอี่โหลวจะเป็นหนึ่งในนี้หรือเปล่า
ทุกคนใน ณ ที่นี้ล้วนเป็นศิษย์แห่งปรมาจารย์ดาบ เช่นเดียวกับกุ๋ยกู่ ท่ามกลางผู้คนมากมายทว่าคนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นศิษย์ในของสำนักกุ่ยกู๋จื่อนั้นมีน้อยยิ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าอี่โหลวจะเป็นเหมือนคนเหล่านี้ที่อยู่เบื้องหน้าหรือไม่? เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งชูอีก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เหตุใดเจ้าเสี่ยวฉง (หนอนน้อย) จึงเติบโตในหญ้าดุจวัชพืชเยี่ยงนี้?
ทว่าครั้นนึกย้อนถึงวิธีที่เจ้าอี่โหลวถูกรับเข้าสำนักม่อตามคำบอกเล่าของอิ๋งจื๋อแล้ว ซ่งชูอีก็วางใจลงมาบ้าง คำพูดนั้นแสดงให้เห็นว่าเจ้าอี่โหลวได้เข้าเป็นศิษย์ในโดยแท้จริง
หลังจากที่ออกมาจากหุบเขา อิ๋งซื่อก็กลับพระราชวังไปแล้ว
ซ่งชูอีมีชายหนุ่มข้างกายเพิ่มมาอีกสองคน คนหนึ่งชื่อว่ากู่จิง อีกคนหนึ่งชื่อว่ากู่หาน อายุของทั้งสองคนไล่เลี่ยกันประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปี รูปร่างก็ไม่ต่างกันนัก เพียงแต่ใบหน้าของกู่จิงกว้างเล็กน้อย คิ้วหนา ดวงตาทั้งคู่สดใสและเปี่ยมด้วยอารมณ์ บนใบหน้ามีเคราดกดำจนแทบมองไม่เห็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจน ส่วนใบหน้าของกู่หานขาวสะอาดเรียวยาว มีเพียงเคราสั้นๆ ที่ขากรรไกรล่าง ดวงตาเรียวยาวชี้ขึ้นบน ดูโดยรวมแล้วหน้าตาดีทีเดียว
“จู้ซย่าสื่อ ควรจะติดต่อองค์ชายจี๋ทันทีหรือไม่?” กู่จิงถาม
ซ่งชูอีอยู่บนม้า เงยหน้ามองแสงอาทิตย์สีขาวจ้า นางส่งเสียงหึหึ “กลับจวนค่อยว่ากัน”
กู่จิงเห็นว่าซ่งชูอีไม่ใคร่พอใจนัก อดไม่ได้ที่จะเสียใจเล็กน้อยที่ตัวเองใจร้อนเกินไป เงียบเสียงทบทวนตัวเองทันที หารู้ไม่ว่านางเพียงรู้สึกร้อนเกินไปจนคร้านจะพูดก็เท่านั้น
ควบม้าไปจนถึงในจวน ซ่งชูอีพุ่งไปยังห้องอาบน้ำทันทีเพื่อชำระล้างเหงื่อที่ไหลท่วมตัว เปลี่ยนเสื้อบางแขนกว้างตัวใหญ่ นั่งอยู่ในศาลากลางลานเพื่อเพลิดเพลินไปกับอากาศเย็นๆ
หนิงยาหยิบพัดขนห่านเพื่อพัดไกวให้นาง เจียนยกน้ำชาเย็นๆ วางลงบนโต๊ะตรงหน้านาง สาวใช้อีกสองคนรินน้ำเย็นลงในชามทั้งสองข้าง
หลังจากกู่จิงและกู่หานกลับมาจากอาบน้ำแล้วเห็นดังนี้ก็อดที่จะดูแคลนในใจมิได้ ธรรมชาติของชาวฉินเรียบง่าย ใส่ใจกับการปฏิบัติจริงในทุกเรื่อง ความหรูหราของรัฐฉินก็ไม่เหมือนกับคนในหกรัฐแห่งซานตงเหล่านั้นที่ใส่ใจในชีวิตที่อู้ฟู่สวยงาม ดังนั้นแม้ว่าระดับของซ่งชูอีไม่นับว่าหรูหรามาก พวกเขาก็รู้สึกว่าคนคนหนึ่งเพิ่งจะขึ้นตำแหน่งจู้ซย่าสื่อได้ไม่นาน ทว่ากลับมีรสนิยมย่ำแย่เช่นนี้ ช่างเป็นที่น่ารังเกียจจริงๆ
“ท่านทั้งสองเชิญนั่ง” ซ่งชูอีรู้สึกว่าหนิงยาพัดเบาเกินไป จึงรับพัดมาแล้วพัดวีให้ตัวเองอย่างดุเดือด
พฤติกรรมของนางเช่นนี้ทำให้กู่จิงและกู่หานรู้สึกว่านางเป็นคนจริงใจและตรงไปตรงมาดี หลังจากทั้งสองคนนั่งลงแล้ว ซ่งชูอีก็สั่งให้คนยกน้ำชามา เอ่ยถาม “องค์ชายจี๋จะออกไปในช่วงบ่าย วันนี้ไม่รีบ บอกข้ามาสิว่าพวกเจ้าทำอะไรเป็นบ้าง?”
“พี่น้องพวกเราสี่สิบกว่าคนล้วนเก่งดาบและอาวุธลับ ทักษะดาบของข้าดีที่สุด กู่หานมีทักษะอาวุธลับดีที่สุด” กู่จิงเอ่ย
ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ นางชอบนิสัยสบายๆ และเถรตรงของกู่จิงมาก “นอกจากดาบกับอาวุธลับ ยังทำอะไรเป็นบ้างไหม?”
กู่จิงส่ายหน้า “ข้าน้อยรู้เพียงเพลงดาบ”
ซ่งชูอีจิบชาคำหนึ่ง มองตรงไปยังกู่หานที่นั่งเงียบตลอดเวลา
“ข้าน้อยพอรู้เรื่องยาบ้าง” กู่หานตอบ
ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง “คนอื่นๆ จัดการกันเยี่ยงไร?”
คราวนี้เป็นกู่หานที่ตอบก่อน “กู่จิงกับข้าติดตามท่านจู้ซย่าสื่อและพร้อมรับคำสั่งทุกเมื่อ คนอื่นฝึกดาบและอาวุธลับในหุบเขาต่อไป รอพระราชโองการ”
“หนิงยา ไปเอาพู่กันและหมึกมา” ซ่งชูอีเอ่ย
หนิงยารับคำสั่งออกไป จากนั้นไม่นานกลับเป็นเจ้าอี่โหลวที่นำพู่กัน หมึกและสมุดไผ่เข้ามา
ใต้ร่มเงานั้น เขาสวมชุดแขนกว้างธรรมดา ผมดกดำถูกเกล้ามวยอย่างเรียบร้อย ดวงตาทั้งคู่ดุจดวงดาวเย็นเยียบ หล่อเหลาสะอาดสะอ้าน อีกทั้งเขายังมีหมาป่าขนาดมหึมาตัวหนึ่งติดตามข้างกาย สีขาวหิมะทั้งตัว แม้นจะเยื้องย่างเชื่องช้า ทว่าสามารถมองเห็นพลังและความแข็งแกร่งของมันได้ในแวบเดียวและสามารถจินตนาการได้ว่าเมื่อมันโจมตีฉับพลันจะมีพละกำลังมากเพียงใด
ซ่งชูอีมองดูเจ้าอี่โหลวที่โยนของมาให้นางด้วยสีหน้าบึ้งตึง อดไม่ได้ที่จะเบะปาก พลางคิดในใจว่า ‘ไม่มีใครบังคับเจ้าเสียหน่อย!’
นางกางสมุดไผ่ออก หยิบพู่กันวาดบางอย่างลงบนนั้น
หลังจากวาดเสร็จแล้ว ซ่งชูอีก็อธิบายให้กู่จิงและกู่หานฟัง “นี่คือเครื่องยิงศร สามารถยิงลูกธนูได้ยี่สิบดอกในคราเดียว สามครั้งติดต่อกัน…”
“เป็นของเล่นนี่ยอดเยี่ยมนัก!” กู่จิงร้องเสียงดัง รีบโน้มตัวไปดูภาพวาดของซ่งชูอี
“กู่จิง!” กู่หานห้ามปรามทันใด
บัดนี้กู่จิงจึงรู้ตัวและรีบถอยกลับไปที่เดิม กล่าวขอโทษด้วยความนอบน้อม “เมื่อครู่ข้าน้อยร้อนใจชั่วขณะ หากไม่พอใจเยี่ยงไรได้โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย”
รูปกลไกส่วนใหญ่นี้เช่นล้วนเป็นกลไกลับของแต่ละสำนัก ไม่แสดงให้ผู้อื่นดูอย่างง่ายดายเป็นอันขาด กู่จิงผลีผลามโน้มตัวเข้าไปดู หากถูกคนเจ้าคิดเจ้าแค้นตามคิดบัญชีแล้วฆ่าปิดปากก็มิใช่เรื่องใหญ่กระไร
ซ่งชูอีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร สงครามระหว่างฉีหลี่ว์ในตอนนั้น รัฐหลี่ว์ก็ได้รับความช่วยเหลือจากสำนักม่อ อาศัยกลไกเหล่านี้เพื่อให้ได้ชัยชนะจากตำแหน่งที่อ่อนแอ ทว่า…”
นางนิ่งไปครู่หนึ่ง มีรอยยิ้มชั่วร้ายจางๆ ในสีหน้าอันเรียบเฉย “แม้นจะเก่งกาจอีกเพียงใด มันก็เป็นของสำนักม่อ ข้าน้อยก็มิใช่ศิษย์ของสำนักม่อ ไม่จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับ ข้าน้อยเพียงไม่เข้าใจในบางจุด ฉะนั้นจึงจะยืมมือของท่านทั้งสองไปขอคำชี้แนะจากยอดฝีมือของสำนักม่อก็เท่านั้น”
“นี่…ไม่ค่อยดีกระมัง?” กู่หานเอ่ยลังเล
อย่างไรก็ตามนี่ควรจะเป็นกลไกของสำนักม่อ มีเพียงศิษย์ในของสำนักเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้ได้ พวกเขาในฐานะศิษย์นอกสำนัก แต่กลับไปขอคำชี้แนะเรื่องเหล่านี้เห็นทีจะไม่ใคร่เหมาะสม ทว่าครั้นซ่งชูอีได้ยินคำพูดของกู่หานก็รู้ว่าเขาหวั่นไหวแล้ว มิฉะนั้นเขาคงไม่ถามเช่นนี้
“ท่านได้ภาพวาดนี้มาได้เยี่ยงไร?” กู่จิงเอ่ย
ใบหน้าของซ่งชูอีเปื้อนยิ้ม การแสดงออกของทั้งสองคนนี้ได้ยืนยันดุจพินิจของนางถึงลักษณะนิสัยพวกเขา คนทั่วไปไม่อาจมีภาพเครื่องยิงธนูในครอบครองได้ นี่คือวิจารณญาณโดยพื้นฐาน ทว่าครั้นนางทดสอบเพียงเล็กน้อย ทั้งสองกลับมีการแสดงออกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
กู่จิงเป็นคนซื่อตรงเข้ากระดูก อีกทั้งกระทำการโดยคำนึงถึงคุณธรรม ส่วนกู่หานภายนอกดูเหมือนคำนึงถึงคุณธรรม ทว่าในใจกลับมีความคิดเป็นอื่น
คนที่อิ๋งซื่อมอบให้ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องสงสัยในความภักดีต่อต้าฉิน ปัญหาอยู่ที่ว่าจะใช้เยี่ยงไรเท่านั้น
“แน่นอนว่าข้ามิได้ไปปล้นภาพวาดของสำนักม่อ” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “นี่คือซากเครื่องยิงศรที่ข้าน้อยพบระหว่างทัศนศึกษาในรัฐฉี ฉะนั้นจึงลองประกอบมันเข้าด้วยกัน หลังจากผ่านความพยายามเลือดตาแทบกระเด็นหลายเดือน จึงสามารถวาดภาพนี้ออกมาได้ เนื่องจากตอนนั้นมีเพียงซากพังๆ ชิ้นส่วนโดยมากหายไป ฉะนั้นจึงมีข้อต่อกลไกบางอย่างที่ข้าน้อยไม่เข้าใจ”
ใบหน้าของกู่จิงและกู่หานเปี่ยมด้วยความประหลาดใจ ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถประกอบสิ่งซับซ้อนเช่นนี้โดยอาศัยซากกลไลเพียงไม่กี่ชิ้น? แม้นว่าซ่งชูอีจะประกอบขาดไปเล็กน้อย เครื่องยิงศรไม่อาจใช้งานได้เช่นปกติ ทว่าก็เก่งกาจมากแล้ว!
ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะประเมินเด็กหนุ่มตรงหน้าใหม่อีกคราว
“ท่านทั้งสองก็ทราบดีว่ามันยากจะที่จะมีทั้งความภักดีและความถูกต้อง ถ้าหากรัฐฉินสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องยิงศรนี้ได้ จักต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของกำลังทหารได้หลายเท่าอย่างแน่นอน” ซ่งชูอีลูบคลำแผ่นไม้ไผ่ ชักนำต่อไป “สำนักม่อเป็นจอมยุทธ์ทางการเมืองที่สาบานว่าจะกวาดล้างความชั่วร้ายใต้หล้า บัดนี้ไม่ว่าพวกเขาจะช่วยเหลือรัฐฉินด้วยวิธีใดก็ตาม ทว่ามีอย่างหนึ่งที่มั่นใจได้ พวกเขามิใช่ชาวฉิน ไม่มีทางช่วยเหลือรัฐฉินตลอดไป ฉะนั้นหากสามารถเรียนรู้ได้ เหตุใดพวกเราจึงยอมแพ้เล่า? อีกอย่างจะเรียนรู้ได้หรือไม่ก็ยังมิอาจทราบได้ หากพวกเขาไม่ยินยอมสอน พวกเราก็ไม่บังคับ ทั้งสองเห็นด้วยหรือไม่?”
ทั้งสองคนสบสายตากัน พยักหน้า
ซ่งชูอียิ้มกว้าง คลี่แผ่นไม้ไผ่ตรงหน้าพวกเขา เริ่มอธิบายรูปของกลไลโดยละเอียด อีกทั้งยังอธิบายส่วนข้อต่อที่ทำงานมิได้อีกด้วย
เจ้าอี่โหลวที่เดิมทีขุ่นเคือง ก็ฟังจนค่อยๆ ถูกดึงดูดเข้าไปแล้ว
ความคิดของกู่หานนั้นไวกว่า ซ่งชูอีมอบหมายเรื่องนี้ให้เขาทำ คำขอก็คือห้ามเผยแพร่ภาพวาดนี้ไปยังมือของผู้อื่น ห้ามกลายเป็นศิษย์ในของสำนักม่อ ทว่าต้องเอาคำตอบมาให้ได้
อาจกล่าวได้ว่าคำขอของซ่งชูอีโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง หากกู่หานแสดงได้แยบยล สำนักม่อถูกใจและรับเข้าเป็นศิษย์ในก็มีโอกาสสูงมากที่จะได้เรียนรู้ทักษะของกลไล ทว่าถึงตอนนั้นก็ต้องเคารพกฎของสำนักม่อโดยห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ฉะนั้นจึงต้องใช้สมองอย่างหนักเพื่อคิดหาวิธี
ซ่งชูอีได้ให้คำแนะนำเล็กน้อย
กู่หานเข้าใจในทันทีว่าซ่งชูอีกำลังทดสอบเขา เพราะเห็นได้ชัดว่านางรู้ว่าต้องดำเนินการเยี่ยงไร ทว่ากลับไม่เผยแผนการอย่างหมดเปลือก
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ในศาลาเริ่มมียุง ซ่งชูอีตบๆ มันด้วยพัดขนห่าน ลุกขึ้นกลับเข้าห้องไป
“วันนี้ได้ตั้งใจฝึกดาบหรือไม่?” ซ่งชูอีเห็นว่าเจ้าอี่โหลวไม่ขยับเขยื้อน ยื่นมือลากเขาขึ้นมา
“เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!” เจ้าอี่โหลวพ่นเสียงเย็นชา
ซ่งชูอีเห็นจี้ฮ่วนและเจินจวิ้นเดินเข้ามา ทันใดนั้นก็โน้มเข้าหาเจ้าอี่โหลวอย่างเจ้าเล่ห์ ยิ้มเอ่ย “เจ้าเป็นแก้วตาดวงใจของข้า ข้าไม่ยุ่งกับเจ้าจะไปยุ่งกับใครเล่า?”
เจินจวิ้นที่กำลังขึ้นบันไดโซซัดโซเซ จี้ฮ่วนประคองเขาไว้ทันควันจึงมิได้ล้มลงไปกับพื้น
ใบหน้าของเจ้าอี่โหลวเผยหลากสีสัน ในสีแดงระเรื่อนั้นเผยสีดำให้เห็น เคี้ยวฟันกรามกรอด
“ท่าน” เจินจวิ้นคืนสู่ท่าทีปกติอย่างรวดเร็ว ทว่าอดที่จะทอดสายตาไปยังเจ้าอี่โหลวมิได้ คิดในใจ มิน่าล่ะท่านถึงนิยมชมชอบไม้ป่าเดียวกัน นอนกับชายรูปงามเช่นนี้ทุกคืน หากมิชอบสวรรค์เองก็คงทนมิได้
“อืม” ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง เหลือบตามองจี้ฮ่วนที่ต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่างทว่าเงียบไป เอ่ยว่า “มีอันใดก็ว่ามา มีลมก็ผายออกมาเสีย!”
“ข้าน้อยต้องการพูดความจริง!” จี้ฮ่วนกล่าว
ซ่งชูอีพยักหน้า “ข้าจะไม่ถือโทษเจ้า”
“ข้าน้อยต้องการอาเจียนเอาอาหารคืนก่อนออกมา!” น้ำเสียงของจี้ฮ่วนมีพลังมหาศาลและจริงจังเช่นเคย ทว่ากลับแฝงด้วยความปิติ
ซ่งชูอีเอื้อมมือตบๆ ไหล่บึกบึนของจี้ฮ่วนแผ่วเบา พร่ำสอน “ฮ่วนเอ๋ย เจ้าจะเยาะเย้ยเจ้าอี่โหลวเช่นนี้มิได้”
“ข้าน้อยกล่าวความจริง…” คนที่ข้าต้องการเยาะเย้ยคือท่าน มิใช่เจ้าอี่โหลว ทว่าครั้นคิดดูแล้ว หากทั้งสองคนรักกันอย่างมีความสุขจริง…คำพูดของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นการเยาะเย้ยเจ้าอี่โหลวเล็กน้อย
“บางเรื่องยิ่งพรรณายิ่งมืดมน เจ้าก็เพียงแค่ปากไวใจไว มิได้มีเจตนาร้าย ข้าเข้าใจและเชื่อว่าเจ้าอี่โหลวก็เข้าใจ” ซ่งชูอีพูดจบก็หันไปเอ่ยกับเจินจวิ้นด้วยความจริงจัง “มายามวิกาลเช่นนี้ มีเรื่องใดรึ?”
เจ้าอี่โหลวเห็นดังนี้ ก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
เจ้าอี่โหลวรู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงนิสัยเสียของซ่งชูอีเท่านั้น ทว่าจี้ฮ่วนนึกว่าตนได้ทำผิดต่อเขาจริงๆ เสียแล้ว จึงรู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจ
ซ่งชูอีเอ่ยให้กำลังใจเบาๆ “ไปเถิด”
จี้ฮ่วนกำปั้นคำนับ รีบตามไป
จากนั้นไม่นาน เสียงคำรามของเจ้าอี่โหลวก็ดังขึ้นตรงทางเดิน “ซ่งชูอี เจ้ามันไอ้เต่าเฮงซวย!”