“ดูทำเข้า พอใช้เขาได้ก็ยกยอปอปั้นประหนึ่งเป็นเทพเจ้า พอเขาทำถูกใจเข้าก็ว่าเขา พอรู้ว่าเขาทำดีแล้วก็จะประเคนของให้ แถมยังให้ฉันเลือก…”
“อย่าว่าผมเลยนะ เมื่อกี้ก็ผมร้อนใจเลยบ่นไปงั้นแหละ ผมจะทำอะไรคุณได้ ของที่ต้องซื้อยังไงก็ต้องซื้ออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถึงผมจะไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงต้องบ้ากระเป๋าขนาดนั้นก็ตาม…”
พี่สะใภ้ใหญ่มองค้อน “คุณจะเข้าใจอะไร ผู้หญิงซื้อกระเป๋ามันเป็นการเรียกร้องตามสัญชาตญาณ สมัยยุคดึกดำบรรพ์ผู้หญิงหิ้วตะกร้าไปหาของ ดังนั้นที่พวกเราชอบกระเป๋ามันเป็นสัญชาตญาณ การข่มมันเอาไว้ถือเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ของครอบครัว”
“…ทำไมฟังดูเหมือนเป็นลูกไม้ของเสี่ยวเชี่ยนชอบกล”
“ไร้สาระ เสี่ยวเชี่ยนเก่งจะตาย มีเขานะอีกหน่อยฉันก็สบายใจแล้ว มีเรื่องคิดไม่ตกก็ไปหาเขาได้ ตอนนี้ฉันซื้อกระเป๋าเยอะก็เป็นเรื่องปกติ” พี่สะใภ้ใหญ่ชอบเสี่ยวเชี่ยนมาก
“ที่รัก…ขอผมพูดอย่างตรงไปตรงมานะ เมื่อก่อนคุณซื้อน้อยเหรอ ทำไมเอาแต่ชมน้องสะใภ้ไม่ชมคนหาเงินแบบผมบ้างล่ะ”
“เมื่อก่อนถึงฉันจะซื้อกระเป๋า แต่ฉันซื้อตอนอารมณ์ไม่ดีนี่ ทุกครั้งที่ซื้อฉันจะรู้สึกผิด คิดทบทวนว่าทำไมฉันล้างผลาญเงินครอบครัวแบบนี้ ฉันมีกระเป๋าแล้วทำไมยังชอบดูรุ่นใหม่ๆแล้วอยากได้อีก ต่อมาเสี่ยวเชี่ยนทำการอบรมเธอถึงได้รู้ว่า นี่เป็นสัญชาตญาณของผู้หญิง การฝืนเป็นสิ่งไม่ดี ขนาดผู้ชายยังมีความฝันที่จะเป็นฮีโร่ ผู้หญิงก็ย่อมอยากได้กระเป๋า มันเป็นสัญชาตญาณทั้งสิ้น ดังนั้นตอนนี้เวลาฉันซื้อกระเป๋าเลยซื้ออย่างสบายใจ”
…พี่ใหญ่พูดไม่ออก จากคำพูดนี้หมายความว่าไม่ว่ายังไงก็จะซื้อ เพียงแต่เหตุผลอันนึงลำบากใจ อีกอันสบายใจ ฝีมือการล้างสมองของน้องสะใภ้ช่าง…แต่ยังไงครั้งนี้ก็ต้องขอบคุณเสี่ยวเชี่ยนจริงๆ จะกระเป๋าหรืออะไรก็ตามใจผู้หญิงซื้อๆไปเถอะ
เป็นครั้งแรกที่ประธานเชี่ยนใช้วิธีเปิดเผยข้อมูลคนไข้เพื่อปิดเคสของตัวเอง แต่ในใจเธอกลับโล่งมาก
การรับมือกับคนที่ต้องการหลอกแต่งงานก็ต้องทำแบบนี้นี่แหละ แล้วนับประสาอะไรที่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงประโยชน์ของตระกูลอวี๋ ประธานเชี่ยนยิ่งยอมถอยไม่ได้เด็ดขาด
หลังเข้าใจเรื่องราวแล้วพี่ใหญ่โทรไปขอโทษเสี่ยวเชี่ยนไม่หยุด เสี่ยวเชี่ยนเองก็ขอน้อมรับกับของชดเชยที่พี่ใหญ่จะให้ เธออยู่บนเรือลำเดียวกันมาตลอด เรื่องที่ควรทำเธอย่อมต้องทำ ของที่ควรรับเธอก็ไม่เล่นตัว
ไม่เพียงแต่พี่ใหญ่จะโทรหา พลโทอวี๋ที่ทราบเรื่องนี้ในภายหลังก็ได้ตั้งใจโทรไปหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อชื่นชมความดีของเธอ
แน่นอนว่าจุดยืนของพลโทอวี๋ไม่เหมือนกับนักธุรกิจ เขาคิดแค่ว่าการโกหกคนอื่นเป็นสิ่งไม่ดี สนับสนุนการผดุงความยุติธรรมของเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนยังแสร้งทำเป็นพูดว่าตัวเองลำบากอย่างนั้นอย่างนี้ ในฐานะที่เธอเป็นจิตแพทย์ การแพร่งพรายความลับของคนไข้เป็นเรื่องที่ลำบากใจมาก…
พลโทอวี๋รีบยืนอยู่ข้างความยุติธรรม ทำการอบรมถึงศีลธรรมความดีงามให้เสี่ยวเชี่ยน สมัยยุคต่อต้านสงครามก็มีหมอของประเทศหมู่เกาะแถวนี้ก็ได้แปลงกายเป็นทูตยุติธรรมเข้าร่วมกับทหารปลดแอกไม่ใช่เหรอ อย่ายึดติดกับกรอบเดิมๆมากเกินไป เรื่องบางอย่างสามารถหยวนๆกันได้เพื่อความยุติธรรม
บ้านใหม่ยังทำไม่เสร็จ เสี่ยวเชี่ยนจึงอยู่กับหลิวเหมยไปก่อน อวี๋หมิงหลางมาหาเมียตัวเองก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนยืนถือกาน้ำชาดินเผาที่แสนคุ้นตาอยู่หน้าโต๊ะ มองของที่อยู่บนโต๊ะอย่างตั้งใจ
“เอาภาพวาดมาจากไหนน่ะ โอ๊ะ ภาพต้นไผ่ของเจิ้งป่านเฉียว ของจริงเหรอ” อวี๋หมิงหลางมองออกตั้งแต่แวบแรก เขายื่นมือจะไปจับแต่ถูกเสี่ยวเชี่ยนตี
“อย่าทำของขวัญวันแต่งงานของลูกสาวเราสกปรกนะ”
“ลูกสาวเราอยู่ไหน” พอเห็นคนที่ชอบเงินแบบเมียของเขาทะนุถนอมของชิ้นนี้เขาก็เดาได้เลยว่าภาพวาดขนาดไม่ใหญ่นี้เป็นของจริง อดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจ
เมียของเขาชอบเล่นพวกของเก่ามาก แต่เธอก็ยังคงขี้งกไม่ชอบซื้อเอง ปกติจะไถได้มาจากการรักษาคนไข้ ขนาดน้าของเขายังเคยโดนมาหลายชิ้น แต่คนพวกนี้ให้ของเสี่ยวเชี่ยนด้วยความเต็มใจ เพราะเสี่ยวเชี่ยนช่วยพวกเขาจัดการปัญหาที่ใช้เงินซื้อไม่ได้
“นี่เป็นภาพวาดที่ครอบครัวผู้หญิงที่เราช่วยไว้ส่งให้พ่อเรา พ่อก็เลยให้คนเอามาให้ฉัน บอกว่าทางนั้นชื่นชมในจรรยาบรรณของฉันมาก ชื่นชมการสั่งสอนของครอบครัวเรา พอได้ยินคำชมพ่อก็ดีใจมาก ไม่เพียงแต่ส่งภาพต้นไผ่นี่มาให้ฉันได้ชื่นชม ยึดมั่นในความดีของตัวเองต่อไป ยังให้กาน้ำชาฉันด้วย เพื่อเป็นการปลอบใจหัวใจที่บอบช้ำของฉัน”
อวี๋หมิงหลางเข้าใจแล้ว นี่เป็นของที่ครอบครัวฝ่ายหญิงที่เขากับเสี่ยวเชี่ยนร่วมมือกันกำจัดคนที่จะหลอกแต่งงานให้มา พอได้ฟังแบบนี้ก็แสดงว่าผู้ใหญ่ของทางนั้นยอมสงบศึกกับพ่อของเขาแล้ว จึงถือโอกาสชื่นชมเสี่ยวเชี่ยนด้วย
พ่อของเขาชอบให้คนชมเรื่องการสั่งสอนครอบครัวตัวเอง เดาไม่ยากว่าหน้าบานแค่ไหน แต่ประเด็นคือ—
“หัวใจคุณบอบช้ำตรงไหน”
อวี๋หมิงหลางดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเมียเขาจะมีอาการบอบช้ำตรงไหน
หลังจากเรื่องผ่านไปแล้วพี่ใหญ่ก็มาขอบคุณเธอ ซื้อกระเป๋าซื้อของนั่นนี่ให้ พ่อก็ชมเธอ ครอบครัวผู้หญิงคนนั้นก็รู้สึกขอบคุณ เธอมีแต่ได้กับได้ แล้วบอบช้ำตรงไหน
เสี่ยวเชี่ยนยืดอกผึ่งผาย “ในฐานะที่เป็นหมอ ฉันจะเปิดเผยความลับของคนไข้ได้ยังไง มันผิดต่อจรรยาบรรณแพทย์ แต่จิตใจส่วนดีของฉันทำให้ฉันไม่อาจทนดูผู้หญิงคนหนึ่งถูกหลอกให้แต่งงานได้ หัวใจส่วนดีของฉันต้องอยู่ในช่วงเวลาที่ลำบากใจ ฉันเป็นหมอที่มีมาตรฐานนะ ฉัน…ฉันทำแบบนั้น หัวใจดวงน้อยๆของฉันมันไม่บอบช้ำเหรอ”
อวี๋หมิงหลางทำตาตี่ใส่ “เมียจ๋าการแสดงของคุณหลอกคนแก่ยังพอว่า ตอนนี้เขาประทับใจคุณมาก เลยเชื่อทักษะการแสดงราคาห้าเหมาของคุณ อย่ามาหลอกผมเสียให้ยาก คุณแสดงได้ดูปลอมขนาดนี้ ผมควรจะชมคุณดีไหมเนี่ย”
เสี่ยวเชี่ยนทำเสียง หึ “อวี๋เสี่ยวเฉียง พูดแดกดันฉันให้น้อยๆหน่อยได้มะ ฉันขอถามนายนะ ในสายตาของนายฉันเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่เงินนักเหรอ นายคิดว่าฉันทำเรื่องพวกนี้เพราะหวังผลประโยชน์เหรอ”
“ไม่ใช่ เมียผมเป็นคนที่จิตใจรักความยุติธรรม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินหรือผลประโยชน์ คุณไม่มีทางทนดูอยู่เฉยๆได้”
คำพูดนี้อวี๋หมิงหลางไม่ได้พูดเพื่อเอาใจ เขาพูดจากใจจริง
ที่ลูกเชี่ยนของเขาทำเพื่อเงินเป็นส่วนใหญ่นั่นก็เพราะคนไข้ของเธอเป็นเศรษฐี ไม่แคร์เรื่องเงิน ดูอย่างสุ่ยเซียนก็ได้ ซื้อกระเป๋าหลุยส์วิตตองเหมือนซื้อไอศกรีมแท่งนึง ซื้อหลายๆใบกระเป๋าตังค์ก็ไม่สะเทือน ในความเป็นจริงช่วงหลายปีมานี้เมียของเขาก็รับดูแลเคสที่ไม่เพียงแต่จะรักษาฟรีแถมยังต้องควักเงินเองแบบกรณีเวยเวยมาไม่น้อย
“ผมว่าเมียผมเนี่ยก็เหมือนต้นไผ่ที่จรดจากปลายพู่กันของปรมาจารย์แบบรูปนี้ ตั้งตรงหนักแน่นดูมีพลัง ดูโลภนิดๆแต่ก็ไม่สูญเสียจรรยาบรรณ กำลังดี”
คำพูดนี้ประจบได้เหมาะมาก เสี่ยวเชี่ยนยิ่งดูภาพก็ยิ่งชอบ ของจริงต่างจากของเลียนแบบโดยสิ้นเชิง ดูลวดลายพู่กันนี่สิ ไหนจะองค์ประกอบภาพ คนที่ไม่สันทัดเรื่องศิลปะอย่างเธอเห็นแล้วยังชอบ
“เมียจ๋า คุณรู้สึกยังไงกับภาพนี้บ้าง” อวี๋หมิงหลางกอดเสี่ยวเชี่ยนจากทางด้านหลัง แล้วเอาคางเกยบนศีรษะเธอชื่นชมรูปไปด้วยกัน
“ภาพไผ่สามสิบปี กาลเวลาผันเปลี่ยนไป ภาพวาดของปรมาจารย์ทำให้คิดอะไรได้มากมาย”
“ขอภาษาคน”
“ขนาดเล็กไปหน่อยเวลาเอาไปประมูลอาจได้ไม่เยอะ แต่ต่อไปราคาอาจขึ้นถึงหลักสิบล้าน เอาไว้เป็นของขวัญแต่งงานให้ลูกสาวแล้วกัน”
“อุ๊บ” ตามคาด เมียของเขายังน่ารักเหมือนเดิม หลงไหลในการตลาด