ภาษาโจวใกล้เคียงกับภาษาเว่ย์ในยุคนั้น แม้ว่าสำเนียงจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ทว่าจี๋อวี่ก็พอจะจับใจความได้บ้าง แม้แต่การเคาเดาก็ตรงตามสถานการณ์เสียแปดถึงเก้าส่วน ได้แต่อุทานอยู่ในใจ ‘ผู้อาวุโสอายุมากแล้ว ทว่าเรื่องการปั่นหัวนั้น ถึงอย่างไรก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าคนนี้ที่เกิดมาเพื่อปั่นหัวคนโดยเฉพาะ!’
พักผ่อนหนึ่งชั่วยาม รอจนกระทั่งเหล่ามือดาบที่เข้าไปในป่ากับเด็กสาวชาวปากลับมาก็จัดของเดินทางอีกครั้ง
ชายชราผู้นำทางพาชายตาบอดวัยกลางคนคนหนึ่งไปด้วย จากการเรียกของพวกเขา ซ่งชูอีก็รู้ว่าชายผู้นี้เป็นหลานของชายชรา เป็นหนึ่งในผู้ชายไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในชนเผ่า
ใบหน้าของชายวัยกลางคนซูบตอบ สีหน้ามืดมน ติดตามขบวนรถอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรเลยเป็นเวลาสามวัน
ภายใต้การปลอบประโลมของชายชราไม่กี่วันนี้ ชายผู้นั้นก็ค่อยๆ พูดมากขึ้น ซ่งชูอีจึงรับรู้ถึงเหตุผลจากบทสนทนาของพวกเขา
บางครั้งการรอดชีวิตก็ไม่ได้หมายความว่าจะโชคดี ผู้ชายคนนี้ไม่ต้องทำอะไรเลยในเผ่า โดยเผ่าจะจัดหาอาหารและเสื้อผ้าให้เขาอีกทั้งยังล้วนเป็นของที่ดีที่สุด ทว่าเขาต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงหนึ่งถึงสองคนเป็นอย่างน้อยทุกวัน นี่ทำให้เขาไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อีกทันทีที่เข้าสู่วัยฉกรรจ์
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่มีค่าใดสำหรับเผ่าอีกแล้ว
ชายชราก็เคยมีประสบการณ์คล้ายเขา ต่อมาเขาจึงสมรู้ร่วมคิดกับชนเผ่าหลายเผ่าปล้นขบวนพ่อค้าที่ผ่านไปมาเพื่อหาเลี้ยงชีพ
ประสบการณ์นี้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง ทว่าซ่งชูอีกลับรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าฉลอง บัดนี้เขายังเป็นชายฉกรรจ์ บำรุงดูแลร่างกายเสียหน่อยก็สามารถทำงานหนักได้ ใช้สองมือหาเลี้ยงตัวเอง หากถูกละเลยในวัยห้าสิบกว่าต่างหากจึงจะเป็นเรื่องเศร้าอย่างแท้จริง
หลังจากคลุกคลีมาตลอดทาง ชายชราก็พอจะเข้าใจซ่งชูอีอยู่บ้าง ผู้คนที่เขาพบเจอก่อนหน้านี้ล้วนมิใช่คนโง่เขลา ทว่ามีเพียงซ่งชูอีที่ทำให้เขารู้สึกว่าแหยมด้วยไม่ได้
ดูเหมือนว่าซ่งชูอีมิได้กระทำการใดๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากคำข่มขู่และคำล่อลวงตั้งแต่ทีแรก เพียงแต่ในอดีต
ผู้เดินทางอื่นๆ จะสูญเสียความรู้สึกของเส้นทางเมื่อเดินวนบนภูเขาสองสามรอบ ทว่านางกลับสามารถแยกแยะเส้นทางได้ตั้งแต่ต้นจนจบ อีกทั้งยังสามารถเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดได้อีกด้วย
ชายชราเข้าใจแล้วว่าซ่งชูอีตามหาเขาเพียงเพื่อต้องการทิศทางโดยละเอียด จึงล้มเลิกความคิดที่จะพาไปทางอ้อม
ในที่สุดซ่งชูอีและขบวนก็มองเห็นหลางจงในสิบห้าวันต่อมา
นี่คือแอ่งที่ล้อมรอบด้วยภูเขา ในเวลานี้หล่งซีได้เข้าสู่ต้นฤดูหนาวแล้ว ทว่าพืชผลของที่นี่ยังคงเขียวชอุ่ม
บัดนี้เป็นเวลารุ่งอรุณ หมอกจางๆ ที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือนครทำให้ที่แห่งนี้ดูเหมือนดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ ไม่มีกำแพงป้องกันเพราะว่าอันตรายจากธรรมชาติโดยรอบเป็นป้อมปราการที่ดีที่สุด
นี่ไมใช่ครั้งแรกที่ซ่งชูอีมายังหลางจง ทว่าครั้นได้เห็นความสะดวกสบายที่ล้อมรอบภูเขาอีกครั้งก็นึกถึงความลำบากระหว่างทาง นางยังคงขมวดคิ้ว พลันคิดว่าการยกกองทัพกดดันปาสู่นั้นยากพอๆ กับการโบยบินสู่ท้องฟ้าสีครามอย่างแท้จริง!
ซ่งชูอีสั่งให้คนมอบสิบสองทองคำให้ชายชรา แล้วนำคนเข้านคร
หลางจงเป็นสถานที่ที่เหล่าพ่อค้าในจงหยวนต้องมาเสมอ และการเสี่ยงอันตรายเพื่อทำธุรกิจในปาสู่ก็จำต้องมีกำลังมากพอ ดังนั้นมือดาบยี่สิบนายของซ่งชูอีก็เปรียบเสมือนทหารอารักขาของขบวนพ่อค้าทั่วไปเท่านั้น มิได้ดึงดูดความน่าสงสัยอะไร
“คนที่นี่ก็ดูดี” กู่จิงมองดูชาวปาที่ผ่านไปมาพร้อมเอ่ยขึ้น
ชาวจั้นกั๋วตัดสินสถานที่จากความมั่งคั่ง โดยดูจากสถาปัตยกรรมและเสื้อผ้าเป็นอันดับแรก บัดนี้ยังไม่ต้องพูดถึงสถาปัตยกรรม เพียงแค่มองไปที่ปริมาณผ้าบนร่างกายก็สามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น หากพันขนสัตว์ไว้รอบคอหรือรอบกายแสดงว่าเป็นชนชั้นสูง ทว่าหากใช้ขนสัตว์เพื่อปกปิดส่วนที่น่าอับอายแสดงว่าเป็นพวกไร้อารยธรรม
นี่เป็นสิ่งที่ปรับใช้ได้กับทุกสถานที่ในยุคจั้นกั๋ว
“มิใช่เพียงดูดี รัฐปามีสินค้ามากมาย มั่งคั่งกว่ารัฐฉินเสียอีก” ซ่งชูอีกล่าว
“พื้นที่ห่างไกล ประชาชนไร้อารยธรรม จะมั่งคั่งจริงรึ?” กู่หานเอ่ยถาม
ซ่งชูอียิ้มๆ “อยู่ที่นี่สักสองสามวันเจ้าก็จะรู้แล้ว”
แม้นผู้คนส่วนใหญ่จะรู้ว่าบ้านเกิดของตนมีส่วนบกพร่องตรงไหนบ้าง แต่ก็ไม่มีวันยอมรับว่าเลวร้ายกว่าโลกภายนอก ซ่งชูอีพูดเช่นนี้ทำให้เหล่ามือดาบรู้สึกไม่พอใจไม่มากก็น้อย
ทว่าซ่งชูอีคิดว่าในโลกที่เต็มไปด้วยเลือดและไฟสงครามเช่นนี้ หากไม่มีอำนาจในการเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าแต่กลับมีความอุดมสมบูรณ์ก็เป็นได้เพียงอาหารเท่านั้น! มันก็อันตรายพอๆ กับบุตรสาวสามัญชนคนหนึ่งที่กลับกลายเป็นสาวงามและทำให้บ้านเมืองระส่ำระส่าย
หากไม่มีกำลังที่จะปกป้องสิ่งที่ครอบครองสู้ไม่มีเสียดีกว่า
“วันนี้หาที่ค้างแรมก่อนเถิด พักในรัฐปาสักหนึ่งคืน” ประเด็นสำคัญที่ซ่งชูอีมารัฐปาก็เพื่อสืบด้วยตัวเองว่าเรื่องที่ปาสู่จะเริ่มทำสงครามกันนั้นมีความเป็นไปได้กี่ส่วน ทว่าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเริ่มจากรัฐปา
เหตุผลข้อแรก เส้นทางการค้าขายของรัฐปามีไม่มากเท่ารัฐสู่แต่มีชนเผ่ามากมายภายในรัฐ ข้อสองก็คือชาวปามีชื่อเสียงในด้านความกล้าหาญและเก่งในการต่อสู้ แม้จะทำสงครามในช่วงที่รัฐฉู่รุ่งเรืองที่สุดก็ไม่เคยเสียเปรียบ
นอกจากประเด็นเหล่านี้ ซ่งชูอียังชอบสู่อ๋องมากเป็นพิเศษ ความเบาปัญญาของบุคคลนี้หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้ แม้แต่ซางโจ้วอ๋องกับโจวโยวอ๋องยังไม่คุ้มค่าแก่การเอ่ยต่อหน้าเขาด้วยซ้ำ หากเขาอยู่ในตำแหน่งของสองคนนี้ในเวลานั้น เกรงว่าจะยิ่งโกลาหลกว่านี้ การหมกตัวอยู่ในสถานที่เล็กๆ เช่นรัฐสู่ทำให้เขามิได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง!
คนประเภทนี้ก็นับว่าเป็นอัจริยบุคคลแห่งยุค ดังนั้นซ่งชูอีจึงรู้สึกว่าหาได้ยากมาก
องค์จวินผู้มีคำว่า “รัฐที่ล่มสลาย” เขียนอยู่ทั่วร่าง หากซ่งชูอีไม่ยกเขาเป็นตัวอย่างก็คงจะรู้สึกผิดต่อขนมชิ้นใหญ่ที่สวรรค์ได้ทิ้งไว้ให้
สงครามระหว่างสองรัฐกำลังลุกลามในเมืองหลวง หลังจากอยู่ในรัฐปาเพียงหนึ่งวันก็พบสาเหตุของความตึงเครียดระหว่างทั้งสองรัฐแล้ว
มันเป็นเรื่องน่าขันที่จะกล่าวว่ามันเป็นเพราะซุ้มเถาองุ่นในสวนหลังบ้านของจักรพรรดิทั้งสองได้พังทลายลง[1]
ปาสู่สองรัฐไม่ลงรอยกันเสมอมา มีครั้งหนึ่งองค์จวินแห่งรัฐปาได้ยินว่าสู่อ๋องหัวเราะเยาะตนว่าเป็นเหมือนมูลวัวที่ไม่รู้ว่าความสง่างามคือสิ่งใด โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ วาดดาบบอกว่าจะไปสังหารสู่อ๋องเสีย และก็มิรู้ว่าเป็นขุนนางท่านใดในรัฐปาที่วางแผนให้องค์จวินโดยกล่าวว่าสู่อ๋องนั้นหลงใหลในสาวงาม จึงจะส่งสตรีที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลสองสามนางไปมอมเมาเขาโดยกล่าวอ้างว่าเป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ องค์จวินแห่งปาเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ครั้นได้ฟังแผนการนี้ก็อนุมัติอย่างไม่เต็มใจนัก ก็แค่สตรีไม่กี่นางมิใช่หรือ? เขากัดฟันหลับตาข่มใจและยอมส่งสาวงามออกไป
รัฐปาวางอคติลง ส่งสาวงามสองสามคนไป ทางสู่อ๋องก็ได้ใจ รัฐปาผู้นั้นเคยก้มศีรษะให้ใครตั้งแต่เมื่อไรกัน! สู่อ๋องไม่เพียงแต่เห็นสาวชาวปาแล้วก็รู้สึกว่าสวยงามยิ่งและยังเสพสุขติดต่อกันเป็นเวลาหลายคืน
ผลปรากฏว่าสาวชาวปาตั้งครรภ์ คราวนี้ฮองเฮาแห่งสู่อ๋องจึงร้อนใจมาก ฮองเฮาของสู่อ๋ององค์นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แม้ว่ามิได้มีหน้าตาดีทว่าสามารถทำให้สามีมีความสุขได้ นางสนมครึ่งหนึ่งของสู่อ๋องล้วนมีนางเป็นคนคนรวบรวม แต่เพราะไม่สามารถดึงดูดความสนใจทางเพศของสู่อ๋องได้จึงไม่เคยให้กำเนิดองค์ชายเลย
ครั้นฮองเฮาได้ยินเรื่องดังกล่าวก็มีราชโองการสั่งให้คนรวบรวมสาวงามสามัญชนเพื่อนำตัวขึ้นรถแล้วส่งไปให้องค์
จวินแห่งรัฐปา สู่อ๋องได้ยินแล้วก็กระวนกระวาย รีบไปหาฮองเฮาทันที
ฮองเฮาเพียงกล่าวเรียบๆ ‘บัดนี้พระองค์ทรงโปรดปรานสาวงามแห่งรัฐปา สาวเหล่านั้นก็นับว่าหน้าตาไม่สามัญ ผงแป้งที่พระองค์ใช้เหลือเหล่านี้สู้ส่งไปให้ปาอ๋องหน่อยจะเป็นกระไร ถือเสียว่าเป็นของกำนัล อย่างไรเสียบัดนี้พระองค์ก็หมดความอดทนที่จะเสพสุขกับพวกนางแล้ว’
เดิมทีฮองเฮาคิดจะใช้วาจายั่วโมโหสู่อ๋อง ใครจะรู้ว่านางจะประเมินระดับการสร้างปัญหาของสามีตนเองต่ำไป คำว่า “แป้งที่พระองค์ใช้เหลือ” ทำให้สู่อ๋องคำรามเสียงดัง ‘ประเสริฐนัก! ในเมื่อฮองเฮาเอ่ยชมเช่นนี้ ก็จัดสาวงามมาแต่งตัวให้สวยแล้วส่งไปยังรัฐปาเสีย’
ปาอ๋องมิได้ผ่านสาวงามมานับไม่ถ้วนเหมือนกับสู่อ๋อง ครั้นเห็นสาวงามหลากหลายรูปแบบยืนเรียงรายกันก็รู้สึกว่ามันช่างงดงามเหนือจิตนาการเหลือเกิน! ปาอ๋องจ้องไม่ละสายตา บวกกับเดิมทีเขาเป็นคนตระหนี่อยู่แล้ว ในใจคิดว่าเอาสาวงามมาแลกกัน นับว่าสมน้ำสมเนื้อมาก! ดังนั้นจึงไม่สนใจคำห้ามปรามของขุนนางและเก็บสาวงามไว้ทุกคน
คราวนี้ฮองเฮารัฐปาจึงเกิดความหึงหวง ถือดาบต้องการจะคิดบัญชีปาอ๋อง หลังจากสู้กันเสร็จแล้วก็แบกสัมภาระกลับไปที่เผ่าของตน ฮองเฮาปาไม่เพียงแต่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับปาอ๋องเท่านั้นแต่ยังเป็นสตรีที่หาได้ยากยิ่งอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าเผ่าใหญ่เผ่าหนึ่งในรัฐปาและมีบทบาทสำคัญทางการเมืองมาก ครั้งนี้เมื่อเดินจากไปก็เกิดปัญหาใหญ่ตามมา เมื่อคนในเผ่าของฮองเฮาเห็นว่าผู้นำหญิงของตนโกรธมาก็อยากให้ปาอ๋องหาเหตุผลให้พวกเขามิฉะนั้นก็จะก่อกบฏ
บัดนี้ปาอ๋องจึงได้สติกลับมา แม้ว่าเขาจะคิดมาตลอดว่าสู่อ๋องโง่เขลาเหมือนหมู ทว่าหมูก็มีคนฉลาดอยู่ข้างกาย นางจะต้องวางแผนการเล่นกับความรู้สึกระหว่างพวกเขาสามีภรรยาเป็นแน่
ฮองเฮาโกรธจนมิอาจง้อกลับมาได้ ปาอ๋องยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันต้องเป็นเช่นนี้แน่ จึงโจมตีรัฐสู่ด้วยอารมณ์โทสะ
ทว่ารัฐสู่ก็มีคนฉลาด จึงยืมมือบุคคลที่สามและดึงปัญหาไปสู่รัฐจูทันที
รัฐจูเป็นรัฐเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างปาและสู่ มาจากสาขาสกุลไคหมิงเช่นเดียวกับราชวงศ์รัฐสู่ และเป็นรัฐย่อยที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐสู่ ทว่าองค์จวินแห่งรัฐจูมีความสัมพันธ์กับองค์จวินแห่งรัฐปาดียิ่งกว่า แอบร่วมมือกันต่อต้านสู่ ดังนั้นเหล่าขุนนางใหญ่ของรัฐสู่จึงคิดใช้โอกาสนี้ทำให้ทั้งสองรัฐระหองระแหงกัน
ทั้งสามรัฐสู้รบกันจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ ซึ่งบัดนี้ก็ยังวุ่นวายและคลี่คลายไม่ได้
ขณะที่ซ่งชูอีได้รู้ข่าวก็หัวเราะจนหายใจอย่างกระหืดกระหอบ ดินแดงแห่งปาสู่แห่งนี้สมกับเป็นสถานที่ที่รวบรวมจิตวิญญาณของโลกและสวรรค์อย่างแท้จริง มีแต่อัจฉริยะทั้งสิ้น!
อย่างไรก็ดีหัวเราะก็ส่วนหัวเราะ ในใจของนางยังคงตัดสินสถานการณ์นี้อยู่เงียบๆ
มันเป็นการยากที่จะเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างปาสู่ด้วยเรื่องนี้ มันเป็นเพียงการทะเลาะเบาะแว้งเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องนี้ดูภายนอกไร้เดียงสา ทว่าในความเป็นจริงแล้วล้วนเกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น ไม่ว่ารัฐใดก็คงไม่จุดชนวนสงครามครั้งใหญ่ขึ้นมาตามอำเภอใจ
รัฐปาโจมตีรัฐสู่เพียงเพื่อต้องการเอาใจฮองเฮาหัวหน้าเผ่า ในความเป็นจริงก็เป็นวิธีหาบุคคลที่สามมาร่วมรับผิดชอบ เขาเบี่ยงเบนโทสะของฮองเฮาไปยังรัฐสู่ ในขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงความขอโทษต่อฮองเฮา ตราบใดที่ฮองเฮากลับมา คาดว่าก็เป็นไปได้มากที่จะถอนทัพ เพราะว่าไม่ว่าสู่อ๋องจะเขลาสักเพียงใดก็เปล่าประโยชน์ ถึงอย่างไรอำนาจของรัฐสู่ก็ยังอยู่ตรงนั้น สองรัฐต่อสู้กันมาเป็นร้อยปีโดยไร้ผล ปาอ๋องจะยังมีความเชื่อใจรัฐสู่ได้เยี่ยงไรเล่า?
หากเป็นความตั้งใจที่จะทำสงครามโดยให้เสียหายด้วยกันทั้งสองฝ่าย ปาอ๋องตระหนี่ถี่เหนียวเพียงนั้น จะไม่คำนวณถึงความสูญเสียอย่างละเอียดเชียวหรือ?
ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นเท็จแล้ว! ซ่งชูอีลอบคิดในใจ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซ่งชูอีก็รู้สึกว่ายังพอมีโอกาสในดินแดนของปาสู่ และโอกาสนี้จะต้องอยู่ที่รัฐสู่เป็นแน่!
หลังจากตัดสินใจแล้ว ทุกคนก็พร้อมที่จะออกเดินไปไปยังรัฐสู่ เนื่องจากสงครามอาจจะยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ฉะนั้นซ่งชูอีจึงไม่รีบเดินทาง ระหว่างทางก็คิดเสียว่าเป็นการท่องเที่ยวชมทัศนียภาพ
เว่ย์เจียงยืนกรานที่จะอยู่ต่อเพื่อตามหาจีเหมียน แต่ก็ล้มเลิกความคิดชั่วคราวภายใต้การเกลี้ยกล่อมของจี๋อวี่ ตามพวกเขาในรัฐสู่ด้วยกันแล้วค่อยคิดหาวิธีอื่น
“ท่านขอรับ ท่านบอกว่าสู่อ๋องเป็นคนโง่ทว่าก็มีความคิดดีมากทีเดียว!” กู่จิงเอ่ยอุทาน
ซ่งชูอีสำรวจเขาอย่างละเอียดหลายรอบ เมื่อพบว่าเขามิได้กล่าวประชัดประชันแต่ออกมาจากใจจริงก็อดมิได้ที่จะแสยะยิ้มเอ่ย “ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าก็เป็นคนมีความคิดไม่เลวทีเดียว”
[1] ซุ้มเถาองุ่นพัง เป็นการเปรียบเปรยว่าเป็นการทะเลาะระหว่างสามีกับภรรยา