ดูจากภายนอก อิ๋งซื่อไม่ได้สืบหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีองค์หญิงเว่ยครั้งนี้ และคนที่เหลือสามร้อยคนก็ถูกแยกศพประจานทันที พฤติกรรมนี้ไม่เพียงข่มขวัญผู้ที่อยู่เบื้องหลัง แต่ยังก่อให้เกิดความตกตะลึงในหมู่รัฐต่างๆ ไม่น้อย
วิธีโหดเหี้ยมเช่นนี้ แน่นอนว่าทำให้สำนักขงจื้อและม่อเกิดความขุ่นเคือง สำหรับการโจมตีทั้งวาจาและอักษรของพวกเขานั้น อิ๋งซื่อตอบเพียงว่า “การขัดขวางการแต่งงานระหว่างรัฐ พยายามกระตุ้นให้เกิดสงคราม เป็นเจตนาน่ากลัวอย่างยิ่ง! เมื่อเทียบความสงบปลอดภัยของราษฎรสองรัฐแล้ว คนสามร้อยคนมีความหมายใด? กว่าเหรินมิยอมแบกรับความเสื่อมเสียชื่อเสียงนี้!”
ช่างเป็นความชอบธรรมที่น่าเกรงขามนัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ซ่งชูอีได้ยินกู่หานบรรยายคำพูดของอิ๋งซื่อแล้ว อดไม่ได้ที่จะหัวเราะท้องแข็ง
กู่หานขมวดคิ้ว “ท่านหัวเราะอะไร?”
ซ่งชูอีหุบยิ้ม ไอแห้งทีหนึ่ง “ข้ายินดีที่ฝ่าบาทห่วงใยชาวประชาเช่นนี้”
คำชมเชยต่อฉินกงนี้ค่อนข้างเหมาะสม อิ๋งซื่อแตกต่างจากพ่อของเขา
เมื่อกู่หานเห็นว่าสีหน้าของนางจริงจังขึ้นมากก็รายงานต่อ “บัดนี้องค์ชายจี๋ถึงรัฐฉินแล้ว จดหมายของท่านคาดว่าจะถึงเสียนหยางก่อนสิ้นปีนี้”
ซ่งชูอีพยักหน้า “เล่าถึงสงครามปาฉู่มาเถิด”
สิบวันก่อน ทหารชั้นยอดสองหมื่นนายของรัฐฉู่เดินเลียบแม่น้ำเพื่อบุกเข้าไปยังอวี๋ฟู่ของรัฐปา รัฐปารู้ว่ารัฐฉู่ที่อยู่ด้านหลังนั้นก็เหมือนกับเสือที่เฝ้ามองเหยื่อ ทว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไรเปิดสงครามกับรัฐสู่เสียก่อน จึงทำให้ด้านหลังเกิดช่องโหว่และรัฐฉู่ก็ฉวยโอกาสนี้บุกเข้าไป อย่างไรก็ดีชาวปามีชื่อเสียงในด้านความกล้าหาญ จึงสกัดกั้นนายทหารชั้นยอดของรัฐฉู่สองหมื่นนายไว้ในอวี๋ฟู่แล้ว
สองวันที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายได้จัดหากำลังเสริมและสงครามก็มาถึงทางตัน หากรัฐฉู่โจมตีปาสู่ด้วยการตัดสินใจแน่วแน่จริงๆ โดยไม่คำนึงถึงราคาที่เสียไป ปาสู่ก็ตกอยู่ในอันตราย!
กู่หานกล่าว “แม่ทัพผู้นำทหารชั้นยอดทั้งสองหมื่นคนคือหานกุ่ย รองท่านแม่ทัพคือต่งซวี่ อีกคนเป็นคนใหม่ที่ยังไม่ใคร่มีใครรู้จัก นามว่าหลงกู่ปู้วั่ง”
“เด็กดี!” ซ่งชูอีตกตะลึง หลงกู่ปู้วั่งไม่ใช่คนที่ไร้ความทะเยอทะยาน สามารถปีนจากผู้บังคับกองพันไปสู่ตำแหน่งรองแม่ทัพภายในระยะเวลาอันสั้น นับไม่ว่าธรรมดาจริงๆ แม้ตามการคาดเดาของซ่งชูอี ตำแหน่งรองแม่ทัพนี้จะเป็นเพียงชั่วคราวไม่มั่นคง ทว่าแต่เมื่อการต่อสู้นี้มีชัย เขาก็สามารถรักษาตำแหน่งของตัวเองได้อย่างมั่นคงแล้ว
กู่หานกล่าวด้วยความงุนงง “ท่านหมายความว่า…”
ซ่งชูอียกมือขึ้นเล็กน้อยโดยมิได้ตอยข้อสงสัยของเขา จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “พวกเรามาดูความเคลื่อนไหวก่อน”
กู่หานตอบรับแล้วเอ่ยต่อ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง มีข่าวออกมาว่าเว่ยกับเจ้ายุติสงครามแล้ว รายละเอียดยังไม่ชัดเจน”
“ท่านเจ้าคะ ผู้ต้อนรับมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้รายงานอยู่ด้านนอก
ซ่งชูอีเลิกคิ้ว “เชิญเขาเข้ามา”
ไม่ช้า อวี๋เฉิงก็สาวเท้าเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ประสานมือน้อยๆ จากนั้นก็เอ่ยว่า “ฝ่าบาทต้องการพบ ขอเชิญท่านเข้าวังทันที”
“ด่วนเช่นนี้เลย?” แม้ซ่งชูอีจะถามเช่นนี้ทว่าไร้ความประหลาดใจบนใบหน้า
การหารือการค้ายืดเยื้อมาหลายวันแล้ว สู่อ๋องมักจะระบายความเครียดกับสตรีเพศเป็นปกติวิสัย ทว่าหลายวันมานี้ไม่ว่าจะมองหญิงงามคนใดก็เบื่อหน่าย และเรียกซ่งชูอี้เข้าเฝ้าแทบจะวันเว้นวันเพื่อให้นางเล่าเรื่องของหญิงงามจื่อเฉาให้ฟัง ซ่งชูอีไม่เพียงแต่เล่าเรื่องของจื่อเฉา แต่ยังเล่าเรื่องของหญิงงามในรัฐต่างๆ อีกด้วย สู่อ๋องได้ยินแล้วแทบอดใจที่ไหวต้องการจะส่งคนออกไปเสาะหาจำนวนหนึ่งกลับมาทันที
ซ่งชูอีจัดกระชับเครื่องแต่งกายแล้วตามอวี๋เฉิงออกไป
ภายในท้องพระโรงหลักของพระราชวัง บรรดาขุนนางรวมตัวกันในบรรยากาศเคร่งขรึม ซ่งชูอีมาที่รัฐสู่ครึ่งเดือนกว่าแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกเรียกเข้าเฝ้าอย่างเป็นทางการเยี่ยงนี้
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อตัวใหญ่ ค้อมคำนับต่ำ
สู่อ๋องกล่าว “ไม่ต้องมากพิธี เข้ามานั่ง”
ซ่งชูอีนั่งลงในที่นั่งของแขก จากนั้นก็ได้ยินสู่อ๋องเอ่ยขึ้น “ท่านมหาเสนาบดี บอกท่านราชทูตถึงผลการหารือเถิด”
มหาเสนาบดีที่ยืนอยู่หน้าสุดเอ่ยขึ้น “พวกข้าคิดว่า รัฐสู่สามารถทำการค้าขายได้ เพียงแต่หากรัฐฉินต้องการซื้ออาหารจากรัฐของข้าจริงๆ จำเป็นต้องมีการส่งเครื่องบรรณาการแก่ท่านอ๋องทุกปีเพื่อแสดงความจริงใจ”
“เครื่องบรรณาการ?” ซ่งชูอีขมวดคิ้ว
ทรัพย์สินมีค่าที่บรรดารัฐของจูโหวถวายให้องค์จักรพรรดินับได้ว่าเป็นเครื่องบรรณาการ สิ่งของที่รัฐรองมอบให้รัฐใหญ่ก็นับว่าเป็นเครื่องบรรณาการ ความหมายของรัฐสู่เห็นได้ชัดว่าเป็นอย่างหลัง
ก็แค่การค้าขายเท่านั้น เหตุใดต้องเอ่ยคำขอที่ไร้มารยาทเช่นนี้ด้วย!
จู่ๆ ซ่งชูอีหัวเราะ “ทูลถามฝ่าบาท ไม่ทราบใครเป็นผู้เสนอเงื่อนไขนี้?”
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้ก็ได้ ไม่ว่าใครเสนอเงื่อนไข เพราะในที่สุดทุกคนก็ต่างเห็นด้วยแล้ว
“ว่าเยี่ยงไง รัฐฉินไม่ยินยอมรึ?” มหาเสนาบดีเห็นปฏิกิริยาของซ่งชูอี เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่ใช่ไม่ยินยอม” ซ่งชูอีมองไปยังมหาเสนาบดี “บัดนี้โจวเทียนจื่อยังคงอยู่ หากรัฐฉินส่งเครื่องบรรณการให้รัฐสู่อย่างเปิดเผยก็เท่ากับเป็นกบฏและจะทำให้เกิดหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าฉินจะขาดแคลนอาหาร แต่จะเต็มใจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายเพราะอาหารไปเพื่ออะไรกัน?”
หางตาของซ่งชูอีเห็นว่าจูเหิงต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง จึงหันไปหาเขาแล้วเอ่ยต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น หากรัฐฉินส่งเครื่องบรรณาธิการให้รัฐสู่ หกรัฐแห่งซานตงจะคิดเยี่ยงไร? พวกเขาต้องจะคิดว่ารัฐสู่มีเจตนาที่จะเอื้อมมือเข้ามาหาจงหยวนเป็นแน่ หากมันทำให้พวกเขารวมตัวกันโจมตี แม้นจะมีอันตรายทางธรรมชาติกั้นกลางก็ไม่อาจรักษาความปลอดภัยของรัฐสู่ได้ ฉะนั้นเงื่อนไขนี้มีแต่จะทำให้รัฐฉินลำบากใจและตัวเองลำบากใจ”
ปาสู่มิใช่รัฐที่อยู่ในการปกครองของราชวงศ์โจว รัฐฉินไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องส่งเครื่องบรรณาการให้พวกเขาเมื่อเห็นว่าทุกคนต่างจมอยู่ในความคิด ซ่งชูอีจึงให้ข้อเสนอแนะในเวลาที่เหมาะสม “สิ่งที่เรียกว่า ‘เครื่องบรรณาการ’ ก็เป็นเพียงชื่อเท่านั้น สองรัฐเชื่อมความสัมพันธ์ รัฐฉินจะไม่ตระหนี่กับทรัพย์สินอย่างแน่นอน เหตุใดจึงต้องผูกมัดกับคำนี้ด้วยเล่า? ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีความเห็นเยี่ยงไร?”
ประเด็นของเรื่องนี้มิได้อยู่ที่ชื่อ มหาเสนาบดีต้องการจะอ้าปากพูดทว่ากลับช้ากว่าสู่อ๋องไปหนึ่งก้าว
“ท่านราชทูตกล่าวมีเหตุผล!” สู่อ๋องยิ้มเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กว่าเหรินก็ตกลงทำการค้าแล้ว ฉินเว่ยยังสามารถแต่งงานเพื่อปรองดองกันได้ เหตุใดฉินกับสู่จะทำการค้าขายกันไม่ได้? กว่าเหรินเห็นว่าฉินกงเกิดความอาดูรต่อสวรรค์เห็นใจต่อชาวประชา ห่วงใยราษฎร เป็นองค์จวินที่หาได้ยากยิ่ง”
บนใบหน้าของซ่งชูอีมีรอยยิ้มน้อยๆ สู่อ๋องร้อนใจที่จะพบหญิงงาม และไม่คิดว่าจะมีอุปสรรคใหญ่ในการทำการค้า ดังนั้นจึงหาข้อแก้ตัวมากมาย นางไม่คิดว่าสู่อ๋องจะยกย่องด้วยใจจริง
ในเวลานี้เหล่าขุนนางไม่สามารถหาข้ออ้างใดๆ มาโต้แย้งได้ อีกทั้งเรื่องนี้ก็หารือมาครึ่งเดือนแล้ว หากไม่หาข้อสรุปอีกก็คงหาข้อแก้ต่างไม่ได้แล้ว
ทุกอย่างก็ถูกตัดสิน “อย่างมีความสุข” เช่นนี้
สู่อ๋องคืนหนังสือเทียบรัฐ ซ่งชูอีก็ส่งมันให้กู่หาน สั่งให้เขาส่งข่าวกลับไปที่เสียนหยางโดยเร็วพร้อมกับมือดาบทั้งหมด
ในตอนเย็นเพราะสู่อ๋องเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอำลาจึงได้รู้ว่าบัดนี้ชาวฉินทั้งหมดได้จากไปแล้ว เหลือเพียงซ่งชูอีคนเดียว
“เหตุใดจึงจากไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้? เหตุใดหวยจินไม่กลับไปด้วย?” สู่อ๋องถามด้วยความสงสัย
ซ่งชูอีหรี่ตายิ้มเอ่ย “พวกเขาถูกข้าหลอกกลับเสียนหยาง รัฐสู่ทัศนียภาพงดงาม อาหารอุดมสมบูรณ์ ข้าวางแผนจะอยู่ที่รัฐสู่ระยะยาว ฝ่าบาทก็รู้ว่าสำนักเต๋าของพวกเรารักอิสระ”
สู่อ๋องรู้สึกประหลาดใจ “หวยจินไม่คิดจะกลับไปรับราชการที่รัฐฉินแล้วหรือ?”
“ข้าไม่สนใจเรื่องปัจจัยพื้นฐาน แต่ข้ามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับลัทธิเต๋า วางแผนที่จะอยู่ที่ปาสู่ต่อไปอีกสองสามปี” ซ่งชูอีกล่าว
สู่อ๋องจำได้ว่าจูเหิงเคยบอกกับเขาว่าเสื้อผ้าราชทูตฉินเก่าขาดและการใช้ชีวิตในรัฐฉินนั้นไม่ง่ายเลย หลังจากสู่อ๋องได้คลุกคลีกับซ่งชูอีหลายวันนี้ เขาได้ตัดสินว่านางแตกต่างจากจวงจื่อ จวงจื่อนั้นได้วางโซ่ตรวนทางโลกลงแล้วจริงๆ แต่ซ่งชูอีกลับเป็นคนที่ยังคงแสวงหาความเพลิดเพลิน แม้ว่านางจะบอกว่าเข้าใจลัทธิเต๋าอย่างลึกซึ้ง ทว่าใครจะรู้ว่านางอยู่ในรัฐสู่ต่อเพื่อเพลิดเพลินกับความอุดมสมบูรณ์ของที่นี่หรือเปล่า?