ยามราตรีในรัฐฉิน
สีแดงภายในพระราชวังเสียนหยางมีมากกว่าปกติ บรรยากาศเคร่งขรึมทว่าไม่ทิ้งความรื่นรมย์
วันนี้เป็นวันหลังอภิเษกสมรสของฉินกง พิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ภายในห้องหอ เว่ยหว่านในชุดเจ้าสาวสีแดงเพลิงนั่งหลุบตาลง ใบหน้าแดงระเรื่อทำให้นางดูสดใสมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มในชุดจีนสีดำบนที่นั่งตรงข้ามนางมีลมหายใจเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายจนทำให้ผู้คนไม่กล้าจ้องมอง
ม่านกั้นสีแดง เจ้าสาว แสงไฟสลัว มีเพียงชายหนุ่มคนนี้ที่ไม่เข้าพวก
นั่งอยู่อย่างนี้ราวๆ กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าอิ๋งซื่อไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ เว่ยหว่านไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาดูว่าเขากำลังทำอะไร ครุ่นคิดเนิ่นนาน รู้สึกว่าหากตัวเองที่เป็นเจ้าสาวโน้มน้าวให้สามีรีบพักผ่อนก็ดูอดใจไม่ไหวจนเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่รอเงียบๆ อยู่อย่างนั้น
“ฝ่าบาท บัดนี้ดึกแล้วพะย่ะค่ะ” ขันทีกล่าวเตือนสติเสียงเบาอยู่นอกม่าน
เว่ยหว่านเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก็สบสายตาดุจนกอินทรีเข้าพอดี รู้สึกตื่นกลัวและลดศีรษะลงอย่างรวดเร็ว แอบรู้สึกประหลาดใจ ลมหายใจของพระบิดานางน่าเกรงขามจนทำให้รู้สึกกดดัน แม้นผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอายุยังน้อย ทว่ากลับน่ากลัวยิ่งกว่า
“อ๊า!” ขณะที่นางกำลังคิดจู่ๆ เอวก็รัดแน่น กว่านางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองก็ถูกช้อนอุ้มขึ้นมาแล้ว
ขันทีเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย เห็นอิ๋งซื้อกำลังอุ้มเจ้าสาว ก็รีบถอยออกไปจากม่าน แล้วโบกมือให้สาวใช้โดยรอบสี่นางถอยออกไปเงียบๆ
เว่ยหว่านรู้สึกเพียงฟ้าดินหมุนคว้าง ส่วนตัวนางนั้นถูกวางลงบนเตียงแล้ว แม้ว่าการกระทำของอิ๋งซื่อจะหยาบคายอย่างเห็นได้ชัดทว่ากลับมิได้ทำให้นางเจ็บเลย นี่ทำให้ในใจของนางรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
ครั้นนางดึงสติกลับมา อิ๋งซื่อก็ปลดเสื้อตัวนอกออกแล้วโยนไปบนฉากกั้นตัวเตี้ย บนตัวของเขามีเพียงเสื้อตัวกลางสีขาวตัวเดียว ในทุกท่วงท่าสามารถมองเห็นร่างที่แข็งแกร่งในเสื้อผ้าได้อย่างเลือนลาง
แววตาของเว่ยหว่านมีความประหลาดใจ รัฐฉินหนาวกว่ารัฐเว่ยมาก อีกทั้งบัดนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่หนาวที่สุด แม้ว่าจะจุดเตาอั้งโล่ภายในตัวบ้านแล้วก็ยังหนาวมาก เขาสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเพียงนี้เชียวหรือ?
“เด็กๆ” อิ๋งซื่อนั่งอยู่บนเตียง กล่าวเสียงสูง
เว่ยหว่านลุกขึ้นจากเตียงอย่างกระวนกระวาย นั่งคุกเข่าตัวตรง
ขันทีรีบค้อมตัวเข้ามา “ฝ่าบาท”
“ลบเครื่องสำอางค์ให้เจ้าสาว” อิ๋งซื่อกล่าว
“พะย่ะค่ะ” ขันทีตอบรับเสียงหนึ่ง ออกไปเรียกสาวใช้สองสามคนมาปรนนิบัติเจ้าสาวลบเครื่องสำอางค์และเปลี่ยนเสื้อผ้า
อิ๋งซื่อสวมชุดผ้าต่วนแล้วนั่งลงหน้าโต๊ะเตี้ย หยิบม้วนไผ่ม้วนหนึ่งขึ้นมาอ่าน
ไม่ว่าที่ใดที่มีเขาอยู่ ทุกคนล้วนไม่กล้าหายใจแรง เหล่าสาวใช้ที่กำลังง่วนอยู่นั้นล้วนไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมาเลย มีเพียงเสียงสวบๆ จากการเสียดสีของเสื้อผ้าเท่านั้น
ขันทีวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน สองมือถือสมุดไผ่เล่มเล็กๆ “ฝ่าบาท รายงานด่วนพะย่ะค่ะ”
“เอาเข้ามา” อิ๋งซื่อวางสมุดไผ่ลงแล้วรับสมุดไผ่มา เทใบไผ่แผ่นหนึ่งออกมาจากข้างใน เหลือบมองแวบหนึ่งแล้วคิ้วก็ขมวดเข้าหากันทันที ในเวลานี้เองแรงกดดันอันน่าเกรงขามทำให้ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออก
เพี๊ยะ!
อิ๋งซื่อโยนสมุดไผ่ในมือลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นพรวดแล้วเดินออกไป
ขันทีรีบก้มต้วลงเก็บสมุดไผ่ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาจัดระเบียบใหม่อีกรอบ สั่งให้คนหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่ตามไป
ขณะที่อิ๋งซื่อเดินมาถึงประตูก็หยุดลงกะทันหัน หมุนตัวไปยังทิศทางของเว่ยหว่านพร้อมเอ่ยขึ้น “รีบพักผ่อนเสีย”
ด้วยฉากหนากั้นกลาง เว่ยหวานมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่รู้สึกว่าน้ำเสียงในคำพูดนี้นุ่มนวลกว่าคำพูดเกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
ท้องฟ้าภายนอกมืดครึ้ม หิมะเริ่มโปรยปราย โคมไฟบนทางเดินพลิ้วไหวในสายลม แสงไฟพลันมืดพลันสว่าง
อิ๋งซื่อออกมาจากห้องหอแล้วก็ก้าวเท้ายาวๆ ไปยังหออักษร บ่าวที่ถือเสื้อคลุมตัวใหญ่ด้านหลังวิ่งเหยาะๆ ตามมาตลอดทางแต่ก็ยังถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ทันทีที่อิ๋งซื่อนั่งลงในหออักษรก็พูดขึ้น “พาคนเข้ามา!”
ไม่ช้า องค์ชายจี๋และกู่หานเดินเข้ามาตามลำดับ ประสานมือคำนับ “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ว่ามาเถิด” แววตาของอิ๋งซื่อแหลมคม
กู่หานเตรียมที่จะสละชีวิตได้ทุกเมื่อ ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของอิ๋งซื่อเช่นนี้หัวใจก็ยังสั่นไหวเล็กน้อย “ท่านหวยจินสั่งให้พวกข้านำหนังสือเทียบของรัฐสู่กลับมาก่อน เขาต้องการจะอยู่ที่รัฐสู่ต่ออีกระยะหนึ่ง นี่คือจดหมายจากท่านหวยจินพะย่ะค่ะ” ขันทีรับจดหมายแล้วถวายให้อิ๋งซื่อ
บนผ้าไหมสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือถูกเขียนด้วยตราประทับของรัฐฉินอย่างลับๆ ทั้งหน้า อิ๋งซื่ออ่านจบแล้วก็โยนผ้าไหมสีขาวนั้นเข้าไปในเตาอั้งโล่ข้างๆ
“กู่หานในฐานะผู้คุ้มกันกลับทิ้งจู่ซย่าสื่อแห่งต้าฉินตามลำพัง เป็นการละเลยในหน้าที่ นำไปเข้าคุกรอการประหารชีวิต” นี่เป็นประโยคที่อิ๋งซื่อพูดยาวที่สุดในรอบครึ่งเดือน
ขันทีถ่ายทอดคำสั่งของเขาด้วยเสียงอันดัง จากนั้นก็มีทหารรักษาการณ์เข้ามาคุมตัวกู่หานออกไปทันที
“ฝ่าบาท ท่านเขา…” องค์ชายจี๋ถึงเสียนหยางก่อนกู่หาน ไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด
“จู่ซย่าสื่อเกลี้ยกล่อมให้สู่อ๋องทำการค้ากับฉิน” อิ๋งซื่อบอกให้เขานั่งลงด้วยสายตา เอ่ยต่อ “นี่เป็นโอกาสที่ดีในการทำความรู้จักภูมิศาสตร์ของรัฐสู่ เดิมทีการใช้แม่ทัพซือหม่าคือตัวเลือกที่ดีที่สุด ทว่าหากใช้งานท่านแม่ทัพอาจก่อให้เกิดความสงสัยในรัฐสู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากนี้ไปก็ให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้ แอบช่วยแม่ทัพซือหม่าอย่างลับๆ”
องค์ชายจี๋ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “ในเมื่อบัดนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว เหตุใดท่านหวยจินจึงยังอยู่ในรัฐสู่?”
“เจ้าก็รู้จักนิสัยสู่อ๋อง ใจร้อนขาดความมั่นคง” มุมปากอิ๋งซื่อยกยิ้มเล็กน้อย ท่าทางมีความสุขราวกับน้ำแข็งได้ละลายลงแล้ว “รัฐสู่อุดมสมบูรณ์นับพันลี้ อุดมไปด้วยผลิตภัณฑ์ ถ้าสามารถใช้เป็นยุ้งฉางได้ ไฉนเลยจะกลัวรัฐเว่ย!”
นิ่งไปครู่หนึ่ง อิ๋งซื่อเอ่ยต่อ “พรุ่งนี้ข้าจะแก้ไขหนังสือเทียบของรัฐ เจ้าพาจื่อเฉาไปด้วย เตรียมข้าวของและหญิงงามจำนวนหนึ่ง แล้วนำไปส่งที่รัฐสู่ด้วยตัวเอง”
“พะย่ะค่ะ” องค์ชายจี๋ตอบรับ ถามกลับ “ฝ่าบาทไม่กังวลว่าท่านหวยจินจะทรยศรึ?”
“ใช้คนไม่สงสัย หากเขาไม่ลังเลที่จะตกอยู่ในอันตราย ข้าจะทำให้หัวใจของเขาเย็นลงได้เยี่ยงไร?” อิ๋งซื่อดูอารมณ์ดีมาก แม้กระทั่งพูดมากขึ้นด้วย
องค์ชายจี๋เห็นดังนี้ก็อดกล่าวล้อเล่นมิได้ “คืนเข้าหอไม่อาจทำให้กิจของฝ่าบาทล่าช้า หากไม่มีสิ่งใดรับสั่งแล้ว น้องชายก็ขอทูลลาก่อน”
“ไปเถิด” อิ๋งซื้อเลิกคิ้วยิ้ม มององค์ชายจี๋ถอยออกไป
นั่งอยู่ในหออักษรตามลำพังครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากขึ้น “ไปเรียกจิ่งเจียน”
สำหรับอิ๋งซื่อแล้ว สตรีเป็นเพียงเครื่องปรุงแต่งหลังอาหาร เรื่องการเสพสมพรรค์นี้ก็ควรจะทำในเวลาที่มีความสุข หากไม่มีก็ช่างประไร เขาจะไม่ยอมให้ผู้อื่นข่มเหง ยิ่งจะไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็นงานอดิเรกชั่วคราวของผู้อื่น ฉะนั้นเรื่องการอภิเษกสมรสเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐก็ไม่อาจทำให้เขาหวั่นไหว
“ฝ่าบาท” จิ่งเจียนเร่งรีบเข้ามา ไม่ทันได้จัดระเบียบเสื้อผ้าบนตัว
“จางอี๋คนนั้นที่ซ่งหวยจินกล่าวถึง บัดนี้ได้ข่าวบ้างหรือไม่?” อิ๋งซื่อเอ่ยถาม
จิ่งเจียนไม่เข้าใจว่าในคืนอันมงคลเช่นนี้ เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทจึงถามขึ้น ทว่ายังคงตอบด้วยความนอบน้อม “เห็นว่าไม่เต็มใจที่จะอยู่ในรัฐฉี บัดนี้กระหม่อมได้คิดหาวิธีบีบให้เขาออกจากรัฐฉีแล้ว ทันทีที่เขาปรารถนาที่จะจากมา กระหม่อมก็จะส่งคนไปรับเขามายังรัฐฉินทันที”
อิ๋งซื่อพยักหน้า “ที่ให้เจ้าไปสืบเจ้ากงจื่อเค่อก่อนหน้านี้มีความคืบหน้าหรือไม่?”
เจ้ากงจื่อเค่อ ก็คือเจ้าอี่โหลว คนที่ยอมสละบังลังก์เพื่อติดตามซ่งชูอี อิ๋งซื่อเคยมีวาสนาพบหน้าเขาครั้งหนึ่ง ความประทับใจนั้นยังคงตราตรึงเป็นอย่างยิ่ง
จิ่งเจียนนำข่าวที่สืบมาได้เล่าให้อิ๋งซื่อฟังอย่างละเอีบด ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าอี่โหลวก็อยู่ห่างจากบัลลังก์เพียงก้าวเดียว และในครั้งนี้ยังถูกผลักให้ขึ้นไปสู่ตำแหน่งนั้น ดูจากสถานการณ์ของรัฐเจ้าแล้ว หากเขาคิดจะฉวยโอกาสนี้เพื่อควบคุมอำนาจการปกครองจริงๆ ก็ย่อมเป็นไปได้มาก ทว่าเขากลับยอมแพ้ไปเสียง่ายๆ แล้ว
อิ๋งซื่อมีความสามารถในการอ่านคน เขาไม่เชื่อว่าคนที่มีลมหายใจแห่งจักรพรรดิเช่นนั้นจะมองสถานการณ์ไม่ออก