ซ่งชูอีเลือกเดินเส้นทางที่ไกลกว่า แต่มิใช่เพราะต้องการหลบเลี่ยงชนเผ่าตู๋อู้ แต่เป็นเพราะคราวก่อนพบว่าภูมิประเทศของดินแดนแห่งสวรรค์นั้นไม่เลว อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับหวังเฉิงได้โดยตรง
สามเดือนกว่านี้สั้นเกินไปสำหรับซ่งชูอี ทว่าสำหรับเว่ย์เจียงแล้วกลับยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด นางเดินทางนับพันลี้เพื่อคนคนหนึ่ง ทว่าจนบัดนี้ยังไร้ข่าวคราว ความอดทนแทบจะหายไปจนสิ้น อย่างไรก็ดีจากประสบการณ์ในช่วงเวลานี้ทำให้นางเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งยวดสำหรับสตรีอ่อนแอที่ไม่เข้าใจภาษาปาสู่ที่จะเดินทางตามลำพัง
เดินทางอย่างราบรื่น สองวันต่อมาก็มาถึงดินแดนแห่งสวรรค์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับหวังเฉิง
ซ่งชูอีให้จี๋อวี่อารักขาเว่ย์เจียงและรออยู่ที่ตีนเขา ตัวเองพาจี้ฮ่วนสำรวจดูภูมิประเทศท่ามกลางภูผาสูงชัน ระหว่างนี้นางมิได้อยู่นิ่งเลย ครั้นเห็นสมุนไพรล้ำค่าก็เด็ดเก็บไว้ เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน นางก็วาดภูมิประเทศของที่แห่งนี้ลงบนผ้าไหมสีขาว
ไม่กินไม่นอนอยู่หกวันก่อนที่จะกลับมา
ครั้นลงเขาร่างกายของซ่งชูอีก็รับไม่ไหวแล้ว จี้ฮ่วนทำได้เพียงแบกนางและสมุนไพรจำนวนมหาศาลลงเขามาด้วยกัน
พอเห็นจี๋อวี่ จี้ฮ่วนก็บ่นอุบทันที “พี่ใหญ่ ท่านหวยจินลำเอียงเกินไปแล้ว ให้ท่านปกป้องหญิงงาม ยกเรื่องดีๆ เช่นนี้ให้ท่านทำ ส่วนที่ลำบากที่เหนื่อยก็ยกให้ข้าทำ!”
จี๋อวี่มิได้ตอบ เพียงโยนถุงน้ำให้เขา หันไปมองซ่งชูอีที่นั่งเป็นอัมพาตและกลอกตาอยู่ข้างๆ หยิบถุงน้ำขึ้นมาอีกใบแล้วยื่นให้นาง “ดื่มน้ำก่อนเถิด”
ซ่งชูอ้าปาก
จี๋อวี่ไม่พูดจา เพียงแต่ถอดจุกออกแล้วส่งถุงน้ำเข้าปากนาง
ซ่งชูอีจึงก้มหน้าอย่างไม่เต็มใจและจิบไปสองสามคำ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เอาเนื้อมาให้ข้า วันๆ ข้าได้แต่ดื่มน้ำในภูเขา”
“ก็ไม่รีบเสียหน่อย ท่านไม่จำเป็นต้องทุ่มเทเพียงนี้” จี้ฮ่วนนั่งขัดสมาธิลงข้างซ่งชูอี
เพิ่งจะสิ้นวาจา เว่ย์เจียงก็เดินเข้ามาอย่างสง่างามพร้อมกับจานเนื้อกวาง แม้ว่านางจะสวมเพียงชุดคลุมชวีจวีผ้าป่านที่ธรรมดาที่สุด ทว่าทุกท่วงท่าที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กนั้นมิได้ละทิ้งความสูงศักดิ์เลย
เว่ย์เจียงนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าทั้งสองคน หั่นเนื้อเป็นชิ้นๆ ใส่ชามแล้วส่งต่อให้ซ่งชูอี “นี่คือเนื้อกวางที่พี่ใหญ่จี๋ล่าได้เมื่อเช้านี้ ท่านเชิญกิน”
ซ่งชูอีรับชามมาด้วยความใจเย็นยิ่ง ไร้ความตื่นตกใจที่ได้รับการปรนนิบัติจากองค์หญิงโดยสิ้นเชิง
จี้ฮ่วนเห็นว่าเว่ย์เจียงกำลังจะช่วยเขาหั่นเนื้อ จึงรีบรับมีดไว้ทันที “มิกล้าลำบากองค์หญิง ให้ข้าทำเองเถิด”
เว่ย์เจียงหัวเราะ ส่งมีดเล็กในมือให้เขา
จี๋อวี่ยืนค้ำดาบห่างออกไปไม่กี่ก้าว สามารถมองเห็นจากหางตาได้อย่างชัดเจน ซ่งชูอีมีผมเผ้ายุ่งเหยิงและใบหน้าสกปรก นางกำลังถือชามกินอย่างเอร็ดอร่อย แก้มบอบบางปูดนูนไปด้วยเนื้อเต็มปาก แสดงให้เห็นถึงความไร้เดียงสาที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด บางแห่งในหัวใจของจี๋อวี่รู้สึกเจ็บปวดเลือนราง มันลุกลามมาถึงเบ้าตา ความรู้สึกนี้ขยายตัวเป็นสิบเท่าและดวงตาก็บวมเป่งอย่างแสนสาหัส
ซ่งชูอีดูแลเว่ย์เจียงอย่างดีตลอดทาง ไม่เคยให้นางต้องขี่ม้าด้วยความลำบากเลย หากมีอาหารหรือเสบียงใดๆ ก็จะยกให้นางก่อน
จี๋อวี่เข้าใจดีว่าทั้งหมดที่ซ่งชูอีทำนี้ มิใช่เพราะเว่ย์เจียงเป็นองค์หญิง แต่เป็นเพราะว่าเว่ย์เจียงเป็นผู้หญิง…เป็นเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง
หลังมื้ออาหาร ซ่งชูอีเรอสะอึกและสะลึมสะลืออยู่ในกองใบไม้ที่ร่วงหล่น แสงอาทิตย์ยามเย็นดึงเงาของจี๋อวี่ให้เหยียดยาวราวกับว่าอยู่ใกล้นางมาก
“ท่าน” จี๋อวี่เรียกนาง
ซ่งชูอีลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าย เมื่อหันหน้าไปทางแสงอาทิตย์จึงเห็นเพียงภาพเงาของจี๋อวี่
“ที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องลำบากเพียงนี้” จี๋อวี่เอ่ย ด้วยความรู้ของซ่งชูอี มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับจูซย่าสื่อแห่งต้าฉิน แม้ว่าตำแหน่งนั้นจะไม่สบายนัก ทว่าอย่างน้อยไม่จำเป็นต้องเปลืองทั้งแรงและแรงใจ ครั้นเห็นนางบาดเจ็บบวกกับการรับมือกับสู่อ๋อง ทุ่มเททั้งสมองและหัวใจอีกทั้งยังเหน็ดเหนื่อยเพียงนี้ จี๋วอี๋รู้สึกชื่นชมนางในขณะเดียวกันก็ทนไม่ได้เล็กน้อย
ซ่งชูอีพยุงตัวขึ้นนั่งแล้วพิงกับต้นไม้ หรี่ตามองสีหน้าของจี๋อวี่อย่างถี่ถ้วน ยิ้มเอ่ย “ทุกคนล้วนต้องการปรนเปรอและตามใจตัวเอง ทว่าต้องจ่ายราคาสูงโดยเฉพาะหากเป็นผู้หญิง ข้าไม่สามารถจ่ายราคาสูงเช่นนั้นได้”
สำหรับซ่งชูอีแล้ว ความลำบากยากเข็ญไม่ใช่ปัญหาอะไร การถูกเด็ดปีกต่างหากที่น่ากลัวที่สุด
“มีได้ก็ต้องมีเสีย” ซ่งชูอียิ้มด้วยความสงบ “อาจารย์ชองข้าแสวงหาอิสระมาทั้งชีวิต ทิศอุดรมีมัจฉา นามว่าคุน คุนตัวใหญ่มาก ไม่รู้กี่พันลี้! มันได้กลายร่างเป็นวิหค นามว่าเผิง หลังเผิงใหญ่มาก ไม่รู้กี่พันลี้! ครั้นโผบิน ปีกของมันดุจเมฆในท้องฟ้า…”
จี๋อวี่เคยได้ยิน “อิสรจร” หลายต่อหลายครั้ง ทว่าทุกครั้งที่ได้ฟังก็ต้องถอนหายใจให้กับความงดงามในจินตนาการของจวงจื่อ หากไม่เสรีเพียงนั้น หากไม่อิสระเพียงนั้น จะสามารถแต่งประโยคเช่นนี้ได้เยี่ยงไร
“อิสระที่ข้าปรารถนาไม่เหมือนกับเขา ข้าเพียงต้องการใช้ชีวิตแบบไปตายเอาดาบหน้าสักครั้ง” ซ่งชูอียิ้มกว้างเอ่ย “ลำบากเหน็ดเหนื่อย ทว่าหัวใจของข้ามีความสุข”
สภาพสะบักสะบอมของนางที่ถูกเคลือบด้วยสีแดงทองในยามพระอาทิตย์ตกดินนั้นนุ่มนวลและแพรวพราว
พวกเขาค้างแรมในดินแดนแห่งสวรรค์อีกหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นขณะที่กำลังจะกลับหวังเฉิง จูเหิงก็เข้ามาพบด้วยความร้อนรน
ไม่พบกันสามเดือนกว่า ร่างกายของจูเหิงที่เดิมทีนับว่าแข็งแรงนั้นซูบผอมลงไปมาก แผ่นหลังงุ้มงอเล็กน้อย มีผมหงอกแซมขมับทั้งสองข้าง รูปลักษณ์เช่นนี้ทำให้ซ่งชูอีประหลาดใจโดยแท้
“ท่านหวยจิน” จูเหิงมีเหงื่อเต็มศีรษะ “ราชทูตฉินมาแล้ว”
ซ่งชูอีอัศจรรย์ใจ “มาก็มาแล้วสิ เหตุใดใต้เท้าเหิงจึงต้องกังวลเพียงนี้?”
จูเหิงซับเหงื่อ น่าสงสารที่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก ต้องคอยสะสางภายในราชสำนักตั้งแต่เช้าจรดเย็น “ท่านราชทูตฉินครานี้คือชูหลี่จี๋ เขานำหนังสือเทียบรัฐและรายการของกำนัลมาก่อนทว่าถูกสกัดกั้นที่นอกภูเขา รถม้าเข้ามาไม่ได้…ที่สำคัญที่สุดก็คือมิได้ส่งหญิงงามจื่อเฉามาด้วย ฝ่าบาททรงกริ้ว ต้องการจะสังหารท่านราชทูตฉิน”
ราชทูตฉินผู้นี้จะสังหารไม่ได้เป็นอันขาด ทว่าไม่มีใครเข้าใจสู่อ๋องไปกว่าจูเหิงอีกแล้ว สู่อ๋องเป็นคนมีเหตุผลทว่า
ลุ่มหลงนารี เกิดอารมณ์หุนหันพลันแล่นซ้ำๆ ได้อย่างง่ายดาย ไม่มีใครห้ามปรามได้ ไม่แน่ว่าจะสังหารคนจริงๆ
การที่ชูหลี่จี๋กระทำเช่นนี้ ที่จริงแล้วเป็นหนึ่งในแผนการของซ่งชูอี นางลอบชมชูหลี่จี๋อยู่ในใจว่า ‘ทำได้ดี’ ทว่ากลับเอ่ยด้วยสีหน้างุนงง “การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบากซึ่งเป็นความจริงที่เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว ฝ่าบาทจะสังหารท่านราชทูตไปใย?”
จูเหิงสงบสติอารมณ์ “ข้าเคยได้ยินมาว่าชูหลี่จี๋สติปัญญาเกินคนตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นผู้ที่ฉลาดที่สุดในต้าฉิน เรื่องฉลาดหรือไม่นั้นข้าดูไม่ออก ทว่ารู้สึกได้ถึงความหยิ่งผยอง เขากล่าวว่ารัฐสู่ข้าปิดกั้นเส้นทางสัญจร รถม้าผ่านไม่ได้ จะไม่ให้ฝ่าบาททรงกริ้วได้เยี่ยงไร?”
“ตามความเห็นข้า คำพูดของชูหลี่จี๋นั้นมิได้มีเจตนาดูถูก” ซ่งชูอีเอ่ย
จูเหิงจะไม่รู้ได้เยี่ยงไรเล่า? ที่ชูหลี่จี๋กล่าวล้วนเป็นความจริงและมิได้ดูแคลนรัฐสู่มากจนเกินควร ทว่าสู่อ๋องฝากความหวังไว้กับดวงดาวและดวงจันทร์ คอแทบจะยื่นออกมาและตาก็ทบจะถลนออกมาแล้ว อุตส่าห์รอคอยราชทูตฉินมาถึงด้วยความยากลำบากทว่ากลับนำเพียงรายการของกำนัลมาให้เขาเพียงแผ่นเดียว! แน่นอนว่าเขาเห็นอะไรล้วนขัดหูขัดตา ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ชูหลี่จี๋กล่าวก็มิใช่เรื่องดี
“เคราะห์ดีที่ท่านยังอยู่ในหวังเฉิง…ฝ่าบาทรับฟังคำพูดของท่านเท่านั้น” นับตั้งแต่ที่ซ่งชูอีโน้วน้ามสู่อ๋องให้ยกเลิกการตามหาชายหนุ่มด้วยทหารสามหมื่นนาย จูเหิงก็ต้องพึ่งพานางแล้ว
ซ่งชูอีเต็มใจที่จะช่วยเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าจะไปก็ได้ ทว่าห้ามให้ชูหลี่จี๋รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่อย่างเด็ดขาด ใต้เท้าเหิงน่าจะเข้าใจ”
นางออกมาจากรัฐฉิน ฉินกงทรงกริ้วหนัก ในเวลานี้ไม่สามารถเจอกันได้จริงๆ จูเหิงเอ่ย “แน่นอนอยู่แล้ว ท่านวางใจเถิด”
สู่อ๋องมักจะคุยสัพเพเหระกับซ่งชูอี ส่วนจูเหิงมิได้สนิทสนมกับนางเพียงนั้น ในทางตรงกันข้าม จูเหิงจึงระแวดระวังตนจากนางน้อยกว่าสู่อ๋อง