“หึหึ ก็พออยู่ได้” จีเหมียนยิ้มเอ่ย “ไป เข้าไปคุยกันในบ้าน”
“ช้าก่อน ข้าอุตส่าห์ตามหาเจ้าจนพบ จะไม่เตรียมของขวัญได้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีเอ่ย
จีเหมียนชำเลืองนางด้วยความสงสัย หมุนตัวมองหารอบทิศ ของขวัญที่ซ่งชูอีกล่าวถึง เกรงว่าจะไม่ใช่ทรัพย์สินธรรมดา!
บริเวณโดยรอบนอกเหนือจากรถม้าแล้ว ก็ไม่มีสถานที่อื่นที่บรรจุสิ่งของได้
ซ่งชูอีเห็นว่าเขามองถูกที่แล้วจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ขึ้นไปดูรึ?”
“ลับๆ ล่อๆ เป็นสิ่งใดกัน?” จีเหมียนพูดพลาง ก้าวเท้าขึ้นไปยังรถม้า
ขณะที่เขายังอยู่ห่างจากรถม้าสองจั้ง ประตูรถก็ถูกเปิดออกจากด้านในแล้ว เด็กสาวรูปร่างผอมเพรียวในชุดชวีจวีคนหนึ่งลงมาจากรถช้าๆ แล้วยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ดวงหน้าขนาดเท่าฝ่ามือ คิ้วดุจควันดวงตาดุจหงส์ ไฝใต้ตาขวาเป็นสีแดงจางๆ ภายใต้แสงอาทิตย์ แม้จะสวมชุดผ้าเนื้อหยาบสีเข้ม แต่ก็ไม่สามารถปกปิดท่าทางที่สง่างามของนางได้
จีเหมียนค่อยๆ หยุดเดิน มองไปที่เว่ย์เจียงด้วยความประหลาดใจ เนิ่นนานจึงเรียกด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย “องค์หญิง”
“ไม่เจอกันนานกลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว”
น้ำตาของเว่ย์เจียงก็ไหลอาบใบหน้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว นางสามารถตามหาเขาตามลำพังอย่างไม่หวาดกลัวภยันตรายและสามารถฆ่าคนที่คุกคามนางโดยไร้เมตตา ด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดนี้ เพียงวินาทีที่พบกับจีเหมียนและได้ยินเขาเรียกว่า “องค์หญิง” ทุกอย่างก็กลายเป็นความคับแค้นใจไม่รู้จบ
จีเหมียนลุกลี้ลุกลนชั่วขณะ เดินก้าวเท้ายาวๆ เข้าไป เอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อแต่กลับพบว่าไม่มีผ้าเช็ดหน้า จึงได้แต่ยกมือขึ้นใช้นิ้วปาดน้ำตาให้นาง “อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้”
เว่ย์เจียงเดินเข้าไปข้างหน้า เอื้อมมือมาโอบเอวเขาเบาๆ “คิดถึงเจ้า รอคอยเจ้า ไม่เห็นเจ้า ข้ากระวนกระวายใจ”
“เหมียนไร้คุณธรรมไร้ความสามารถจึงได้ทำกับเจ้าเยี่ยงนี้” จีเหมียนทอดถอนใจ ยกมือขึ้นกอดนาง
ขณะที่อยู่ในรัฐเว่ย์ ไม่มีใครเทียบฝีมือการเดินหมากลิ่วป๋อของจีเหมียนได้ และเขายังคิดลูกเล่นใหม่ๆ ออกมามากมายอยู่เสมอ ครั้นเว่ย์โหวจัดงานเลี้ยงก็จะเชื้อเชิญบัณฑิตชื่อดังร่วมงาน จีเหมียนก็ได้รับเชิญเช่นกันเนื่องจากชื่อเสียงด้านลิ่วป๋อที่ขจรขจาย ตอนที่เขาได้พบกับเว่ย์เจียงครั้งแรก นางยังเป็นเด็กผู้หญิงไร้เดียงสาตัวเล็กๆ พวกเขาอยู่ในรัฐเว่ย์มาหลายปี ทว่าได้พบหน้ากันน้อยครั้งจนน่าสงสารโดยจะสื่อสารด้วยจดหมายเสียมากกว่า
การกอดครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ล้ำลึกดุจมหาสมุทรและสั่นสะท้านยิ่งยวด
รักแท้ท่ามกลางโลกอันวุ่นวายยากที่จะลงเอยด้วยดี ครั้นได้เห็นคู่รักมารวมกันหลังจากระยะทางหลายพันลี้แล้ว จี๋อวี่และจี้ฮ่วนก็อดที่จะรู้สึกซาบซึ้งมิได้
ผ่านไปเนิ่นนาน
ซ่งชูอีไอแห้งสองสามทีขัดจังหวะพวกเขา “จีอู้เม่ย อาศัยช่วงพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน พวกเรารีบรำลึกอดีตกันเถิด ตกกลางคืนพวกเจ้าค่อยจัดงานมงคลกัน”
จี้ฮ่วนหมุนตัวเงียบๆ สีหน้าของจี๋อวี่ยังคงสงบนิ่ง
จีเหมียนหัวเราะแหะๆ สองสามที จับมือของเว่ย์เจียงอย่างใจเย็นแล้วเดินเข้าไปหาซ่งชูอี “ขอบคุณหวยจินที่ดูแลอาเจียง”
“จุ๊” ซ่งชูอีจิ๊ปาก “ช่างหน้าไม่อายจริงๆ เมื่อครู่ยังเป็นองค์หญิง เพียงพริบตาเดียวกลายเป็นอาเจียงไปแล้ว!”
จี้ฮ่วนเบะปาก คิดในใจ ‘กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์’
“ไป ไปโรงสุรากัน” จีเหมียนเอ่ย
ชนเผ่าแห่งนี้ใกล้กับอูเฉิงมาก นครแห่งนั้นยังเคยเป็นครหลวงแห่งรัฐปา จนถึงบัดนี้ก็ยังสามารถมองเห็นความรุ่งเรืองและความมั่งคั่งในยุคนั้นได้อย่างเลือนราง
ซ่งชูอีเอ่ย “พวกเจ้าได้พบกันหลังจากพลัดพรากยาวนาน เช่นนั้นพักอยู่ในเมืองดีหรือไม่? เจ้าคงไม่อยากทำให้องค์หญิงลำบากดอกกระมัง?”
เว่ย์เจียงมองจีเหมียน หยุดยั้งในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด “แม้ว่าสถานที่จะโอ่อ่าเพียงใดล้วนสามัญ มีเจ้าอยู่ด้วยจึงจะแตกต่าง”
แม้ว่ารัฐเว่ย์จะไม่ใช่รัฐมหาอำนาจ ทว่านางในฐานะองค์หญิงแห่งรัฐก็เคยพบพานความหรูหราของโลกมาไม่น้อย แต่นางกลับสามารถสลัดความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งทิ้งไปและไม่สนใจความยากลำบาก อีกทั้งนางก็ยังเห็นชีวิตที่คับขันของ
จีเหมียนในตอนนี้ การได้พบกันเป็นเรื่องน่ายินดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก
ซ่งชูอียิ้มเล็กน้อย ทว่ากลับลอบถอนหายใจ ‘อู้เม่ยเอ๋ย ข้าส่งเว่ย์เจียงมาให้เจ้า เพื่อหวังว่าจะสามารถทำให้เจ้าเห็นโลกใบนี้ได้อย่างใจเย็น’
“เช่นนั้นก็ไปในบ้านเถิด” ซ่งชูเอ่ย
จี้ฮ่วนเข้าไปหาเสื่อสองผืนจากในบ้าน วางไว้ใต้ต้นไม้ในลานบ้านแล้วไปต้มน้ำร้อนหม้อหนึ่ง จี๋อวี่คุ้มกันเว่ย์เจียงไปสำรวจโดยรอบ
“ดื่มชาแทนสุรา” จีเหมียนยกถ้วยชาขึ้น
ซ่งชูอีก็ยกชาขึ้นเช่นกัน เพราะว่าน้ำชาร้อนเกินไป ทั้งสองคนทำได้เพียงจิบเบาๆ คำหนึ่ง
“ตั้งแต่จากกันสบายดีไหม?” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง ถามขึ้น
จีเหมียนยิ้มเอ่ย “สบายดี”
ซ่งชูอีเห็นการแสดงออกของเขาเช่นนี้ ก็รู้ว่าการปฏิรูปในรัฐปานั้นมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ นางถอนหายใจอีกครั้ง “ข้าน่ะ นานทีๆ จะกล่าวอย่างจริงจังสักครั้ง เจ้าอยากฟังหรือไม่?”
“ฟัง! เจ้าพูดเรื่องจริงจังก็เหมือนไม่จริงจังอยู่เสมอ คราวนี้สอนให้ข้าเห็นวิธีบ้าง” จีเหมียนนั่งตัวตรง
คำพูดนี้มิได้มีความจริงจังสักเท่าไร ทว่าซ่งชูอียังคงเก็บอาการขี้เล่นตามปกติ กล่าวด้วยความขึงขัง “ปาสู่ไม่สามารถปฏิรูปได้ตั้งแต่แรก โดยเฉพาะรัฐปา”
นี่เป็นครั้งแรกที่จีเหมียนเห็นนางจริงจังเพียงนี้ อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็จริงจังขึ้นมาด้วย “เพราะเหตุใด? ข้าเพิ่งจะเปิดความสัมพันธ์ไปเมื่อวันก่อน ข้ามั่นใจว่าข้าจะทำให้ปาอ๋องสนใจได้”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ็ดมหานครรัฐปฏิรูป เหตุใดมีเพียงรัฐฉินที่ปฏิรูปได้อย่างทั่วถึง ทว่าหกรัฐที่เหลือกลับทำได้เพียงผิวเผิน?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
จีเหมียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เพราะว่าบัดนั้นรัฐฉินเสื่อมโทรมหนักหนาแล้ว จำเป็นต้องมีกำลังคนเพื่อพลิกกระแสอย่างเร่งด่วน ซางจวินเป็นเหมือนความหวังเส้นสุดท้าย แน่นอนว่าฉินเซี่ยวกงจะต้องจับไว้ให้มั่น”
ซ่งชูอีส่ายหน้า “สิ่งที่เจ้าพูดมันไม่ใช่พื้นฐาน”
นางนิ่งไปสักพัก เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “พื้นฐานก็คือ ‘ล้มแล้วลุกได้’ สี่คำนี้! อีกทั้งเหล่าจื่อเคยกล่าวไว้ว่า ‘การปกครองรัฐใหญ่ก็เหมือนกับการปรุงสุกเนื้อชิ้นเล็ก’ มีจวินรัฐใดบ้างที่ไม่ระมัดระวัง? ตั้งแต่ครั้นโบราณกาลจะมีสักกี่คนที่กล้าที่จะ ‘ล้มก่อน’?”
เนื้อปลานุ่มจำต้องพลิกอย่างระมัดระวังขณะปรุงอาหาร จะผลีผลามมิได้ การเปรียบเทียบนี้มีความชัดเจนมาก
จีเหมียนพยักหน้าเห็นด้วย
“นี่เป็นเพียงข้อแรก ข้อที่สอง สาเหตุที่การปฏิรูปของรัฐต่างๆ ไม่ทั่วถึงก็เป็นเพราะอำนาจของเหล่าตระกูลที่ซับซ้อน นอกเหนือจากนี้ก็คือ ‘ประชาชน’ ประชาชนสามารถยอมรับการโค่นล้มกฎที่พวกเขาคุ้นเคยได้หรือ?” ครั้นซ่งชูอีพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่สนใจสีหน้าของจีเหมียนอีก หันไปมองทิวทัศน์นอกกำแพงดิน “ยกตัวอย่างเช่นราชวงศ์โจว ทุกคนรู้กฎหมายโจวเป็นอย่างดี หากโค่นล้มกฎหมายโจวอย่างบุ่มบ่ามจะไม่วุ่นวายได้เยี่ยงไร? บัดนั้นระบบกฎหมายของรัฐฉินยุ่งเหยิง ภูเขาและแม่น้ำก็พังทลาย แม้ชาวฉินดุร้ายแต่สามารถแยกแยะถูกผิด การปฏิรูปของซางจวิน แม้จะอาศัยเวลาเหมาะสม สภาพทางภูมิศาสตร์และสังคมเอื้ออำนวยก็ยังยากลำบากเพียงนี้ นับประสาอะไรกับเรื่องอื่นเล่า?”
ปาสู่สืบสานวัฒนธรรมที่เป็นอิสระมาตั้งแต่สมัยโบราณและแตกต่างกับวัฒนธรรมของจงหยวนโดยสิ้นเชิง มีความเชื่อในภูติผีและเทพเจ้าที่ไม่สั่นคลอน กฎเกณฑ์ล้วนอยู่ในมือของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น แม้ว่าจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ในปัจจุบันจะค่อยๆ ลดลง แต่ก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนกองกำลังทั้งหมดได้
“อู้เม่ย บัดนี้ ‘เวลาที่เหมาะสม’ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว อย่าได้ฝืนเลย” ซ่งชูอีหันหน้ามองจีเหมียน
เจ้าดูเอาเองเถิด ยุคสมัยแห่งบัณฑิตสำนักนิติธรรมผ่านพ้นไปแล้ว กลยุทธ์จะเข้ามารับช่วงต่อในอนาคต ซ่งชูอีกลืนประโยคนี้เข้าไปหลังจากเห็นสีหน้าไม่เห็นด้วยของจีเหมียน
“ช่างเถิด ชาวนิติธรรมเป็นพวกหัวแข็ง ข้าพูด เจ้าฟัง หากคิดว่ามีเหตุผลก็พิจารณาเสีย หากคิดว่าไม่น่าเชื่อถือก็คิดเสียว่าเป็นลมแรงที่พัดผ่าน” ซ่งชูอียิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้น “ไม่เจอกันนาน ข้าดื่มให้เจ้า”