“ได้ยินว่าท่านกับจวงจื่อมาจากสำนักเดียวกัน ข้าก็ชอบสำนักเต๋ามาก ไม่ทราบว่าท่านกับจวงจื่อใครมีความรู้ลึกซึ้งมากกว่ากัน?” องค์รัชทายาทดูเหมือนคนหนุ่มที่ขาดความกระฉับกระเฉง
ซ่งชูอีเม้มริมฝีปาก กลั้นยิ้ม “กระหม่อมพึงพอใจด้วยความรู้สึกน้อยนิดเท่านั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเองกับจวงจื่อได้”
องค์รัชทายาทถอนหายใจ กล่าวด้วยสีหน้าอิจฉา “ข้าก็พึงพอใจกับความรู้เพียงน้อยนิด เพียงแต่ไม่อิสระเท่าท่าน”
ครั้นซ่งชูอีได้ยินดังนี้แล้ว การกลั้นยิ้มแทบจะเป็นการเผยอาการบาดเจ็บภายในออกมา พลันคิดในใจว่าก็มิเคยเห็นเจ้าเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเท่าใดนี่นา!
“อิสระของท่านล้วนขึ้นอยู่กับฝ่าบาท ขอเพียงฝ่าบาทมีความสุข ท่านก็ทำอะไรได้ตามใจชอบมิใช่หรือ?” ซ่งชูอีเอ่ย
องค์รัชทายาทตอบด้วยความจริงใจ “สิ่งที่ทำให้เสด็จพ่อมีความสุขได้ก็มีแต่หญิงงาม”
ซ่งชูอีดีใจเป็นอย่างยิ่งที่เจ้าเด็กคนนี้ปูทางมาให้และถกเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง “มันก็ไม่แน่หรอก กระหม่อมได้ยินมาว่าฮองเฮาก็มีความงามอันโดดเด่น”
“หึ วาจาของท่านเมตตาเกินไปแล้ว เสด็จแม่ของข้าห่างไกลจากความงามอันโดดเด่นมากนัก!” องค์รัชทายาทเอ่ย
เจ้าเด็กสารเลว! ซ่งชูอีคิดในใจว่าหากเขาเป็นลูกของนาง จะต้องสับขาของเขาทิ้งเป็นแน่ สู่ฮองเฮาผู้น่าสงสารเลี้ยงให้เขาอ้วนเพียงนี้โดยเปล่าประโยชน์เลย!
แม้นจะคิดเช่นนี้ ทว่าบนใบหน้าของซ่งชูอียังคงอ่อนโยนมาก “แค่ก หญิงงามจื่อเฉาไร้ที่เปรียบโดยแท้ ฝ่าบาทมอบหมายเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ให้ท่าน ขอเพียงหญิงงามเข้ารัฐสู่อย่างปลอดภัย ฝ่าบาทจะต้องดีพระทัยเป็นแน่ ถึงตอนนั้นไม่ว่าท่านจะต้องการทำอะไรก็เพียงเอ่ยคำเดียวมิใช่หรือ?”
เจ้าอ้วนบิดมือไปมา เอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง เสด็จพ่อกล่าวว่าท่านเป็นคนที่น่าสนใจมาก เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“เช่นนั้นหรือ ฝ่าบาทเอ่ยชมเยี่ยงนี้…”
ซ่งชูอียังกล่าวคำถ่อมตัวไม่ทันจบก็ได้ยินเขาพูดต่อ “ทว่าเสด็จแม่ไม่ใคร่โปรดปรานท่านเท่าใดนัก บอกว่าท่านมีแผนการชั่วร้ายแอบแฝง ดูก็รู้แล้วว่าเป็นขุนนางสอพลอเจ้าเล่ห์”
“เอ่อ” ซ่งชูอีข่มความรู้สึกเกรี้ยวกราดเอาไว้ กล่าวอย่างใจเย็น “นั่นเป็นเพราะว่าฮองเฮายังไม่ได้รู้จักกระหม่อมอย่างลึกซึ้ง”
เดิมทีฮองเฮาล้วนเป็นคนเสาะหาหญิงงามให้สู่อ๋อง ในเวลานั้นสู่อ๋องยังนึกถึงความดีอยู่บ้าง ทว่านับตั้งแต่ซ่งชูอีขโมยชามข้าวของฮองเฮาไป บัดนี้สู่อ๋องก็มิได้ย่างกรายเข้ามาในห้องฮองเฮาร่วมครึ่งปีแล้ว นางจะไม่เกลียดชังได้เยี่ยงไร?
เนื่องด้วยความประจบสอพลอโดยตั้งใจและมิได้ตั้งใจของซ่งชูอี ทั้งสองคนจึง “สนทนากันอย่างมีความสุข” องค์รัชทายาทรู้สึกว่าในที่สุดก็ได้พบสหายรู้ใจหลังจากผ่านมาหลายปี ต้องการลากซ่งชูอีไปดูการก่อสร้างถนนไม้กระดานให้ได้
เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย ซ่งชูอีพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปฏิเสธ ทันทีที่นางออกไปจากตรงนี้ นกพิราบก็บินออกจากค่ายทันที
ซ่งชูอีเงยหน้ามองนกพิราบที่บินผ่านศีรษะไป ริมฝีปากทำมุมยิ้มที่เล็กที่สุด
สู่อ๋องไม่เคยเชื่อใจนางอย่างแท้จริง นางก็รู้ว่ามีคนเฝ้ามองมาโดยตลอด อย่างไรก็ดีนางก็มั่นใจว่าแผนการของตัวเองกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่งเพราะการเฝ้ามองเช่นนี้
บทสนทนาระหว่างซ่งชูอีและองค์รัชทายาทล้วนเป็นเรื่องตลกขบขัน ไม่มีคำใดที่กล่าวถึงการเมืองของฉินสู่เลย นับประสาอะไรกับการเมืองของรัฐสู่ ทว่านางก็ได้ทำสิ่งที่นางควรทำแล้ว องค์รัชทายาทต้องการจะทำให้สู่อ๋องพึงพอใจจึงกลัวที่จะทำเรื่องนี้พัง อีกทั้งเส้นทางบนภูเขามีความลำบาก ทางไม้กระดานก็มีความสำคัญสูงสุด หากต้องการรับประกันว่าจะไม่เกิดเรื่อง จะต้องสร้างถนนไม้กระดานให้แข็งแรงที่สุด
ถนนไม้กระดานแข็งแรง การรื้อถอนก็เป็นเรื่องยากเข็ญแล้ว
เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ หากจะทำอะไรเพิ่มเติมก็จะเป็นสิ่งที่มากเกินความจำเป็น ซ่งชูอีเพียงหาช่องว่างส่งมอบภาพวาดภูมิประเทศรัฐสู่ในมือให้กับซือหม่าชั่ว แล้วตนก็จากไปกับไป๋เริ่น จี๋อวี่และจี้ฮ่วน
ปลายเดือนเจ็ด
สงครามของปาฉู่สองรัฐหยุดชะงัก สุดท้ายก็จบลงด้วยการล่าถอยของรัฐฉู่
แม้ว่าสงครามครั้งนี้จะยังคงเป็นความล้มเหลวสำหรับรัฐฉู่ ทว่าการบุกโจมตีดินแดนปาครั้งแรกก็เป็นกำลังใจให้กับผู้คนทุกระดับในรัฐฉู่ อีกทั้งรัฐฉู่ก็ได้สร้างคนรุ่นใหม่จากสงครามครั้งนี้ หลงกู่ปู้วั่งสะดุดตาที่สุดในบรรดาพวกเขาและได้รับความชื่นชมจากท่านแม่ทัพสยงเว่ยค่อนข้างมาก
เป็นไปตามการคาดการณ์ของซ่งชูอี ตำแหน่งรองแม่ทัพของหลงกู่ปู้วั่งนั้นมั่นคงแล้ว
กองทัพของรัฐฉู่มีหลายแสน ตำแหน่งรองแม่ทัพไม่นับว่าสูงนัก ทว่าเขาสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ในวัยสิบแปดก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเด็กหนุ่มผู้มีความสามารถไม่กี่คนนับตั้งแต่ก่อตั้งรัฐฉู่
ส่วนสงครามระหว่างฉินและหานมิได้เกิดเป็นสงครามใหญ่โตเนื่องด้วยการไกล่เกลี่ยของจางอี๋ รัฐฉินสูญเสียทรัพย์สินเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่การแสดงความอ่อนแอต่อรัฐข้างเคียงบ่อยครั้งเช่นนี้ก็ค่อยๆ ขจัดความระวังตัวของสู่อ๋องออกไป
กลางเดือนสิบสอง
สู่อ๋องเยี่ยมชมด่านเจียเหมิง รัฐสู่ที่หิมะตกน้อยมากบัดนี้มีหิมะโปรยปราย สู่อ๋องเกิดความคิดขึ้นมาฉับพลัน มีราชโองการให้ล่าคนหนึ่งหมื่นคน จากนั้นก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้กับอิ๋งซื่อ
นครเสียนหยางในช่วงกลางฤดูหนาวถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตกหนัก ทว่าท้องพระโรงในพระราชวังเสียนหยานกลับลุกเป็นไฟเพราะจดหมายฉบับหนึ่งจากสู่อ๋อง
กลุ่มขุนนางด้านล่างท้องพระโรงมีหลากหลายอารมณ์ บ้างโกรธเกรี้ยว บ้างเป็นกังวล ราวกับหม้อเกี๊ยวที่กำลังเดือดพล่าน การถกเถียงเป็นไปอย่างคึกคัก
อิ๋งซื่อในชุดจีนสีดำบนพระที่นั่งหลักนั่งนิ่งราวกับรูปปั้น รอจนพวกเขาถกเถียงกันเหนื่อยได้ที่แล้วจึงขยับไหวร่างกายเล็กน้อย “ชิงทุกท่านเห็นว่าควรจะตอบสนองเช่นไร?”
“สู่อ๋องที่อาศัยอยู่ในรูนั่นหยิ่งผยองและหยาบคายเพียงนี้ หากฝ่าบาทไปแล้ว ต้าฉินจะเอาหน้าไว้ที่ไหน!” มีคนพูดขึ้นด้วยความโมโห
ทันทีที่สิ้นวาจาก็มีเสียงสะท้อนมากมาย ชั่วขณะหนึ่งแขนเสื้อลอยอยู่ในท้องพระโรงพรึ่บพรั่บ พวกเขาค้อมคำนับลงและกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน “ขอฝ่าบาททรงพิจารณา”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่บรรดาขุนนางไม่พอใจ เนื้อหาทั่วไปในจดหมายจากสู่อ๋องคือ ‘ข้าจะจัดการฝึกซ้อมทหารครั้งหนึ่งเพื่อเป็นการสรรเสริญ หากเจ้ามีความสนใจก็มาดูได้ ข้าจะหาเวลามาพบเจ้า’
ทว่าก็มีคนคัดค้าน “วาจาปลุกระดมเพียงนี้จะไม่ไปได้เยี่ยงไร?! หากไม่แยแสเลย ต้าฉินจะมีหน้าเช่นนั้นหรือ? กระหม่อมยินดีที่จะนำกองทัพไปเหยียบรัฐสู่ให้เรียบ!”
ไม่มีใครเต็มใจที่จะพูดต่อจากวาจาอันยิ่งใหญ่นี้เนิ่นนาน
“ทุกท่านเลิกประชุมไปหารือกันก่อน กว่าเหรินก็จะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครา พรุ่งนี้ค่อยหารือกันระหว่างประชุมราชสำนัก” อิ๋งซื่อลุกขึ้น
ทุกคนลุกขึ้นน้อมส่ง
ครั้นออกจากท้องพระโรง อิ๋งซื่อก็สั่งให้คนไปเชิญกงซุนเหยี่ยนและจางอี๋เข้ามาในหออักษร
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ทั้งสองคนค้อมคำนับโดยพร้อมเพรียงกัน
อิ๋งซื่อกำลังมองกระดานหมาก ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น “ทั้งสองท่านไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่ง”
หลังจากกงซุนเหยี่ยนกับจางอี๋นั่งลงแล้ว อิ๋งซื่อเอ่ยขึ้น “ซีโส่วกับจางจื่อเห็นกระดานหมากนี้แล้ว จะแก้เยี่ยงไร?”
กงซุนเหยี่ยนหลุบตามอง “เสือร้ายในกรง หนทางเดียวคือทลายกรงจึงจะออกมาได้”
“มีวิธีทลายเยี่ยงไร?” อิ๋งซื่อเอ่ยถาม
“ถนนไม้กระดานดูเหมือนใกล้สมบูรณ์แล้ว สู่อ๋องก็ปลุกเร้าเพียงนี้ เป็นโอกาสฟ้าประทาน ฝ่าบาทก็ทนแบกความอัปยศอดสูไปหาเขาสักครา ทำให้เขาสับสน ขณะเดียวกันเมื่อฝ่าบาทออกเดินทางจำต้องมีขบวนทหารคุ้มกัน ก็สามารถใช้ข้ออ้างนี้เพื่อซ่อนการเดินทัพ” กงซุนเหยี่ยนกล่าวด้วยความเด็ดขาด
กงซุนเหยี่ยนไม่รู้ว่ามีคนชื่อซ่งชูอีอยู่ ดังนั้นก็ไม่รู้ว่านี่มิใช่โอกาสฟ้าประทาน แต่เป็นฝีมือของใครบางคนสร้างขึ้น
อย่างไรก็ดีคำพูดของเขานี้ทำให้อิ๋งซื่อเชื่อมั่นในความสามารถของซ่งชูอีเพิ่มมากขึ้น
อิ๋งซื่อเห็นว่าจางอี๋ที่อยู่ข้างๆ เอามือสอดไว้ในแขนเสื้อจ้องมองกระดานหมากครู่ใหญ่ไม่พูดจา จึงเอ่ยขึ้น “จางจื่อเงียบงัน หรือว่ามีความเห็นอื่น?”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่ซีโส่วกล่าวตรงกับที่กระหม่อมต้องการจะพูด” จางอี๋ลังเลครู่หนึ่งก็พูดต่อ “เพียงแต่เมื่อมองกระดานหมากนี้อย่างละเอียดแล้ว หมากเดินสะเปะสะปะ ดูไม่เหมือนการเดินหมากที่ถูกต้อง หรือว่าฝ่าบาทจงใจทดสอบพวกกระหม่อม?”
ใบหน้าเย็นเยียบของอิ๋งซื่อมีประกายรอยยิ้มวูบผ่านจางๆ
กงซุนเหยี่ยนครุ่นคิดพลันเอ่ยขึ้น “จางจื่อสายตาดีนัก ทว่าท่านก็น่าจะรู้ว่าจิตใจของฝ่าบาทมิได้อยู่ที่นี่”
“ใช่แล้ว จิตใจมิได้อยู่ที่นี่ ซีโส่วคิดว่าสู่อ๋องก็เดินหมากเช่นนี้แต่มาหาคำตอบอื่นๆ จากฝ่าบาทหรือไม่?” จางอี๋ยิ้มเอ่ย
แน่นอน! รัฐฉินแสดงความอ่อนแอต่อรัฐเพื่อนบ้านไม่หยุดหย่อน ไม่แน่ว่าสู่อ๋องจงใจฉวยโอกาสนี้หยั่งเชิงเพื่อรอดูว่ารัฐฉินจะมีความเคลื่อนไหวที่ต่างออกไปเยี่ยงไร