ต้นเดือนหนึ่ง อิ๋งซื่อไม่ฟังคำคัดค้านของเหล่าขุนนาง พาทหารอารักขาสามร้อยกว่านายไปยังฮั่นจงเงียบๆ
กลุ่มเหล็กสีดำขี่ตรงไปยังฮั่นจงในทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ราวกับลูกศร
หิมะหนักปกคลุมหล่งซี อย่างไรตามทัศนียภาพตรงทางแยกภูเขาระหว่างชายแดนฉินสู่นั้นแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง ด้านที่อยู่ใกล้กับหล่งซีขาวโพลนไปด้วยหิมะ อีกด้านหนึ่งกลับเป็นทะเลแห่งพงไพร โดยเฉพาะบริเวณเชิงเขานั้นเขียวชอุ่มยิ่งกว่า ซ่งชูอีกำลังแบกตะกล้าไผ่ พาไป๋เริ่นเด็ดยาอยู่ที่นี่
ไป๋เริ่นตามหลังซ่งชูอีด้วยอาการเศร้าสร้อย มันเป็นหมาป่าหิมะตัวหนึ่ง ปรับตัวได้ดีกับสภาพอากาศหนาวเย็นมากกว่า ความรู้สึกอุ่นๆ ชื้นๆ เช่นนี้ แม้แต่มนุษย์เองก็ยังรู้สึกไม่สบายตัว นับประสาอะไรกับมันเล่า?
“เจ้าก็ไปเล่นที่เขาทางนั้นดีหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
ไม่รู้ว่าไป๋เริ่นฟังรู้เรื่องหรือไม่ มันเหลือบตาขึ้นมองอย่างเกียจคร้าน เขย่าหูขนปุกปุย หาก้อนหินแล้วปีนขึ้นไป
“ท่าน!” จี้ฮ่วนวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน สีหน้าร้อนรน “ท่าน สู่อ๋องส่งคนมาจับท่าน”
ซ่งชูอีเห็นว่าโสมที่ขุดพบยังมีขนาดไม่เท่านิ้วก้อยด้วยซ้ำจึงเอามันฝังดิน เงยหน้าถามว่า “เรื่องอะไร?”
“มีทหารหลายร้อยมาแล้ว บอกว่าจะเชิญท่านกลับไป ทว่าท่าทางไม่ใคร่ดีนัก” จี้ฮ่วนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่าน ถ้าอย่างไรพวกเรากลับรัฐฉินกันเถิด?”
ซ่งชูอีลุกขึ้น เงยหน้ามองท้องฟ้า ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “นี่มันปีใดเดือนใดแล้วรึ?”
“เดือนหนึ่งวันที่หนึ่ง” จี้ฮ่วนพูดจบก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันใด “หรือว่าวันนี้คือวันเกิดของท่าน?”
“มารดาของข้าจากไปเร็ว ตาแก่ในบ้านนั่นบอกว่าข้าน่าจะเกิดราวๆ วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง” ซ่งชูอีเอ่ยอย่างจนใจ
บิดาของซ่งชูอีตั้งชื่อ “ชูอี (วันที่หนึ่ง)” ให้นางเพื่อที่จะจำวันเกิดของนางได้ ทว่าหลังจากผ่านไปหลายปี ตาแก่กลับบอกว่าเขาลืมว่านางเกิดเดือนไหน ขณะที่ส่งนางให้จวงจื่อด้วยตัวเองก็เอ่ยว่า ‘จำได้ว่าเป็นฤดูหนาว น่าจะเกิดในเดือนที่หนึ่ง ข้าจึงตั้งชื่อรองให้นางว่าอิ๋นเยวี่ย (เดือนหนึ่ง) แม้ข้าจะคิดว่ามันดีที่สุดแล้ว ทว่าหากภายภาคหน้ามีชื่อที่ดียิ่งกว่าก็สามารถเปลี่ยนได้’
ขณะที่จวงจื่อเปลี่ยนชื่อรองให้ซ่งชูอีก็กล่าวคำสั่งเสียนี้ให้ฟัง ในขณะนั้นนางนึกว่าบิดาของนางเป็นตาแก่เลอะเลือน จนกระทั่งหลังจากผ่านประสบการณ์มากมายจึงได้เข้าใจว่า เพราะว่าเขาไม่ต้องการจดจำวันตายของภรรยาต่างหาก ส่วนคำว่า “อิ๋นเยวี่ย” เขาอาจจะคิดว่ามันดีจริงๆ หรือเป็นเพียงการบอกจวงจื่ออย่างนุ่มนวลว่าเขาหวังว่าบุตรสาวของตนจะมีชื่อรอง หวังว่าบุตรสาวของตนจะต่างจากคนอื่น
ที่จริงเมื่อคิดๆ ดูแล้ว บิดาของนางเป็นบุคคลที่มีภูมิปัญญาที่ซ่อนอยู่ เพราะเรียกว่าซ่อนจึงมิได้เปิดเผยออกมา ซึ่งก็หมายถึงคนฉลาดแต่กลับมิได้เปิดเผย
“บางทีข้าอาจจะเกิดในเดือนอิ๋นเยวี่ยจริงๆ” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “บังเอิญเสียจริง”
“ประเดี๋ยวกลับไปปรุงเนื้อกวางกิน” จี้ฮ่วนพูดจบก็นึกขึ้นได้ว่าตนถูกเปลี่ยนหัวข้อ “ท่าน สู่อ๋องส่งทหารหลายร้อยนายมาเชิญท่าน พวกเราจะไปหรือไม่เล่า?”
“หลายร้อยนาย พวกเรามีเพียงสี่คน จะหนีได้หรือ!” ซ่งชูอียัดตะกร้าไผ่ใส่หน้าอกของจี้ฮ่วน เดินไปยังลานไม้ไผ่เล็กๆ ที่เป็นที่พักชั่วคราว
สี่คน? จี้ฮ่วนนึกครู่หนึ่งจึงเข้าใจว่าคนที่สี่ก็คือไป๋เริ่น
จี้ฮ่วนตามไป “พี่ใหญ่ให้ข้ามาส่งข่าวก่อนและต้องการถามความประสงค์ของท่าน หากพวกมันมีเจตนาไม่ดี ก็จะให้ข้าคุ้มกันท่านจากไป”
ก้าวเดินของซ่งชูอีหยุดชะงัก ซาบซึ้งโชคของตัวเองอยู่ในใจ นางต้องสร้างกรรมดีมากเพียงใด ชาตินี้จึงสามารถพบกับจี๋อวี่ผู้จงรักภักดีเช่นนี้!
“ไม่เป็นไร คาดว่าน่าจะเป็นเพราะฉินกงรับคำเชิญมาพบสู่อ๋อง” ซ่งชูอีกล่าว
เนื่องจากสู่อ๋องวางตัวเย่อหยิ่ง การเรียกซ่งชูอีไปที่ฮั่นจง เกรงว่าจะเป็นเพียงการดูถูกถากถางฉินกงเท่านั้น ‘ดูสิ คนของรัฐฉินพวกเจ้าล้วนมาที่รัฐสู่ของพวกข้าแล้ว’
สำหรับคนจำนวนมาก มันไม่มีอะไรนอกเสียจากกลัวว่าซ่งชูอีจะไม่กล้าพบหน้าฉินกง สำหรับรัฐสู่แล้ว ซ่งชูอีเป็นเพียงคนที่สามารถพูดจาเย้าแหย่สู่อ๋องไม่กี่คำและทำให้เขาเบิกบานใจเพียงครั้งคราวเท่านั้น จึงเป็นธรรมชาติที่ทุกคนในรัฐสู่จะไม่เคารพนางเหมือนกับที่เคารพขุนนางชั้นสูง คราวนี้หากนางไม่เชื่อฟัง ผลลัพธ์ก็จะกลับตาลปัตรทันที
จะว่าไปแล้ว สู่อ๋องก็ประเมินความหน้าด้านของซ่งชูอีต่ำไป อย่าว่าแต่นางจากรัฐฉินมาชั่วคราวเพื่อทำตามแผนเลย หากนางออกมาจากรัฐฉินจริงๆ นางก็ยังมีหน้าไปพบฉินกง
ซ่งชูอีเดินเข้าไปในทะเลไผ่ขนาดใหญ่และปีนขึ้นบันไดไป หลังจากนั้นไม่นานก็เห็นว่าลานเล็กๆ ในป่าไผ่ถูกปิดล้อมโดยคนสามสี่ร้อยคน มีคนเห็นซ่งชูอีพาหมาป่าตัวใหญ่ออกมาก็ต่างทยอยกันตั้งการระวังตัว
ไป๋เริ่นเบือนหน้าอย่างหยิ่งยโส ไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้า
ซ่งชูอีตบๆ หัวของไป๋เริ่นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าจี๋อวี่ออกมาก็เอ่ยว่า “เก็บข้าวของเถิด ไปฮั่นจง”
จี๋อวี่พยักหน้า หมุนตัวกลับเข้าบ้านไป
ข้าวของให้เก็บมีไม่มาก มีเพียงเสื้อผ้าเรียบง่ายไม่กี่ชิ้นกับทองที่เหลืออยู่น้อยนิด เพียงครู่เดียวก็เสร็จสรรพแล้ว
ซ่งชูอีไปง่ายๆ เพียงนี้ ในขณะนี้นายพลที่นำคนมาจับก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ในใจคิดว่าจะต้องมีแผนการเป็นแน่ ระหว่างจึงกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาระวังตัว
ภูเขาแห่งนี้เดินทางลำบาก ทว่าระยะทางไม่ห่างจากฮั่นจงมากนัก เดินทางเพียงสองวันก็มาถึงพระราชวังของสู่อ๋องแล้ว
“เกรงว่าฉินกงเสด็จมาถึงแล้ว” จี๋อวี่กระซิบเสียงต่ำ
ซ่งชูอีมองดูรอบกาย มีม้าศึกสีดำสี่ห้าตัวอยู่ในเพิงม้าระยะไกล นางหยุดไปชั่วขณะ ชายหนุ่มในชุดแขนกว้างสีน้ำเงินเทาผู้หนึ่งเดินออกมาจากเพิงม้าตามคาด ท่าทางสะอาดสะอ้าน มีเพียงรอยเลือดหลายเส้นบนใบหน้า ดูค่อนข้างสะบักสะบอม หมาป่าภูเขาสีทองตัวหนึ่งที่เติบโตอย่างแข็งแรงยืนอยู่ที่ข้างเท้าของเขา มันมีขนาดเกือบสองฉื่อ คนหนึ่งคนและหมาป่าหนึ่งตัวนี้ก็คือจางอี๋และจินเกอ
จางอี๋เห็นซ่งชูอีแล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มและประสานมือ “หวยจิน ไม่เจอกันหลายวัน”
“พี่จางหน้าท่านไปโดนอะไรมา?” ซ่งชูอีเอ่ยปากถาม
จางอี๋ยกแขนเสื้อซับๆ มุมตา ถอนหายใจเอ่ย “ยากจะอธิบายนัก! เรื่องทางการสำคัญกว่า กลับไปแล้วจะเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียด”
“ได้” ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วถอยไปให้จางอี๋เดินไปก่อน ในใจคิดว่า ครานี้รัฐฉินขายหน้าจนสิ้นแล้ว
ท่านราชทูตสองคนเดินตามกันมา แม้ว่าคนข้างหน้าจะไม่ถึงกับน่าเวทนาทว่าดูไม่จืดเป็นอย่างยิ่ง เขาแต่งตัวดีแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ไม่ได้เป็นผู้นำกองทัพกลับมีรอยแผลเช่นนี้ ช่างน่าเจ็บใจโดยแท้ หากเหล่าขุนนางแห่งรัฐฉินทราบข่าวพวกนี้จะต้องให้พวกเขารับผลที่ตามมาเป็นแน่
เป็นไปตามคาด เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็มีเสียงหัวร่อของสู่อ๋องดังขึ้น
บ่าวรับใช้พาซ่งชูอีไปยังจวนที่พัก จัดแจงห้องหับให้นาง ซ่งชูอีรู้ว่าสู่อ๋องไม่คิดที่จะเรียกนางเข้าเฝ้าในเร็วๆ นี้ รู้สึกมีความสุขและอิสระมาก หลังจากกินหมี่ที่จี๋อวี่และจี้ฮ่วนยกมาให้ในตอนค่ำแล้วก็รีบเข้านอนพักผ่อน
ด่านเจียเหมิงใกล้จะสมบูรณ์แล้ว แผนการโจมตีสู่จะต้องถูกวางไว้ในวาระการประชุม ขณะที่ซ่งชูอีปลีกวิเวกอยู่ในป่าไผ่ก็ได้กำหนดความเคลื่อนไหวในขั้นต่อไปอย่างเงียบๆ แล้ว รอเพียงส่งมอบวัวทองคำและหญิงงามให้แก่องค์รัชทายาทรัฐสู่เท่านั้น
สู่อ๋องอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากอีกไม่กี่วันก็จะได้เห็นหญิงงามไร้ที่ติและวัวศักดิ์สิทธิ์แล้ว แม้แต่ยอมโอนอ่อนให้จางอี๋หารือถึงสถานที่และเวลานัดพบระหว่างองค์จวินแห่งสองรัฐด้วยซ้ำ
ฟ้าสางของวันรุ่งขึ้น
ภายในพระราชวังเริ่มวุ่นวายอีกครั้ง ซ่งชูอีถูกปลุกโดยผู้ส่งสาร สาวใช้มากกว่าสิบนางนำชุดจีนมาให้นางชำระร่างกายและผัดเปลี่ยน
ซ่งชูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย สู่อ๋องจะใช้นางเยาะเย้ยอิ๋งซื่อ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้ ทว่านางก็ไม่ยินยอมที่จะปล่อยให้สู่อ๋องเห็นนางของเป็นของเล่น ดังนั้นขณะที่สาวใช้กำลังจะปรนนิบัตินางเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้านั้นก็ถูกนางห้ามไว้ “ข้ามีคำพูดที่สำคัญยิ่ง รบกวนไปกราบทูลฝ่าบาทด้วย”
สาวใช้ลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านได้โปรดกล่าวมาเจ้าค่ะ”
“รบกวนไปกราบทูลฝ่าบาทว่า ความงดงามของสู่มิได้อยู่ที่อาภรณ์ รัฐสู่มิได้ประทานชุดหรูหราให้ ทว่ากระหม่อมก็จะอยู่ในรัฐสู่” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความจริงจัง
สาวใช้ฟังไม่ออกว่าคำพูดนี้ไม่มีความสำคัญอย่างไร ทว่านางเป็นหนึ่งในสาวใช้ส่วนตัวของสู่อ๋อง รู้ว่าสู่อ๋องปฏิบัติต่อซ่งชูอีไม่ธรรมดาสามัญ จึงกล่าวขึ้น “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้ ท่านได้โปรดรอสักครู่”