ทันทีที่ชาวฉินผู้คุ้นชินกับสภาพอากาศแห้งแล้งในหล่งซีเข้าสู่หุบเขาที่เปียกชื้นก็รู้สึกเหนียวตัวและอึดอัดมาก ทว่าหลังจากได้ปรับตัวระหว่างเดินทัพ บวกกับห่อยาลดความชื้นที่เตรียมไว้ล่วงหน้าก็ไม่มีใครล้มป่วยเพราะสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมเลย
ซ่งชูอีลงมาจากประตูด่าน ก็เห็นจางอี๋ยืนอยู่ข้างล่างบันไดพอดี หัวเราะเอ่ย “พี่ก็ไม่ได้นอนหรือ?”
จางอี๋ถามโดยมิได้ตอบ “มองอยู่ตั้งนานแล้ว เจ้ามองเห็นสิ่งใดบ้าง?”
“ข้าเพียงขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์เท่านั้น” ซ่งชูอียิ้ม เห็นว่าหูของไป๋เริ่นสั่นกะทันหัน ทั้งตัวแน่นตึงและตื่นตัว นางก็หยุดเดินทันที เอนตัวลงไปฟังที่พื้น
ไม่ช้า มุมริมฝีปากก็อดไม่ได้ที่จะงอขึ้น “กองหนุนของรัฐสู่มาถึงแล้ว”
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังค่ายผู้บัญชาการกับจางอี๋โดยไม่รีรอ
สู่อ๋องก็เคยนำกองทัพต่อสู้ในสนามรบมาไม่น้อย คุ้นเคยกับการนำทัพเป็นอย่างดี เขาเลือกสถานที่ที่ใกล้กับด่านเจียเหมิงและอาศัยภูมิประเทศตั้งค่ายอยู่ด้านหลังภูเขาอวิ๋นซาน ใช้เวลาเพียงสองชั่วยามในการข้ามหุบเขาอวิ๋นซานจากสถานที่แห่งนั้น ระยะโจมตีด้านหน้าก็ใกล้กว่า อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาอวิ๋นซานเป็นอุปสรรคจึงเป็นเรื่องยากสำหรับสายลับของกองทัพฉินที่จะสังเกตสถานการณ์ที่แท้จริงในค่ายทหารสู่
จะต้องพูดว่าสู่อ๋องรู้จักใช้ภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ยิ่ง ทว่าเขาประมาทเกินไปเนื่องจากความรีบร้อน ขณะที่ผู้คนจำนวนมากเคลื่อนไหว แรงสั่นสะเทือนของพื้นดินก็จะหักหลังทหารสู่
“ท่านแม่ทัพซือหม่า การเตรียมการเป็นเยี่ยงไรบ้าง?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
ซือหม่าชั่วกำลังดูแผนที่ ครั้นได้ยินเสียงของซ่งชูอีก็เงยหน้าขึ้น “บัดนี้กองทัพมากกว่าเจ็ดหมื่นนายของข้า เตรียมการเรียบร้อยแล้ว รอเพียงกองกำลังที่เหลือมาจนครบก็สามารถเริ่มการโจมตีได้”
“เกรงว่าจะรอจนพวกเราโจมตีก่อนไม่ไหว” ซ่งชูอีเอ่ย “กองหนุนของรัฐสู่มาถึงแล้ว”
ซือหม่าชั่วขมวดคิ้ว “ตามแผนของพวกท่านทั้งสอง พวกเราจะป้องกันด่านเจียเหมิง หรือว่า…”
“จะเสียด่านเจียเหมิงไปมิได้ แต่ก็ต้องสังหารทหารสู่” ซ่งชูอีเดินไปหน้าแผนที่ ยื่นมือวาดผ่านหุบเขาอวิ๋นซานไปทางทิศเหนือ “ในบริเวณใกล้เคียงด่านเจียเหมิงนอกจากหุบเขาอวิ๋นซานแล้ว ก็มีเพียงเส้นทางเล็กๆ สายนั้นที่จะสามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกองทัพของเราได้ แต่ต่อให้เร่งเดินทัพก็ยังต้องใช้เวลาถึงเก้าวัน ตรงนั้นมีทางน้ำ น้ำลึกและไหลเชี่ยว หากทั้งกองทัพผ่านทางนั้นเกรงว่าจะต้องเสียเวลาไปอีกสิบกว่าวัน ท่านทั้งสองคิดว่าสู่อ๋องจะเลือกอ้อมทางนั้นเพื่อลอบโจมตีพวกเราอย่างฉับพลันหรือไม่?”
จางอี๋กับซือหม่าชั่วส่ายหน้า หากมาจากที่นั่นก็ต้องละทิ้ง “ค่ายหลัก” ถึงตอนนั้นก็จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ขาดแคลนอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างไม่ต้องสงสัย ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือทันทีที่นครหลวงของรัฐถูกยึกครอง เหล่าทหารจะต้องเสียขวัญกำลังใจอย่างแน่นอน การเผชิญหน้าระหว่างกองทัพทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของบ้านเมืองเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าที่จะเห็นเป็นเรื่องตลก
“ส่วนที่เหลือก็มีเพียงหุบเขาอวิ๋นซานและการเผชิญหน้ากับด่านเจียเหมิง ตามความเห็นของข้า เป็นไปได้มากว่าสู่อ๋องจะเลือกลอบโจมตีจากหุบเขาอวิ๋นซาน” ซ่งชูอีเอ่ย
จางอี๋พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “สู่อ๋องเลือกที่จะตั้งค่ายหลังภูเขาหวิ๋นซาน เกรงว่าก็เพราะตั้งใจเช่นนี้”
ซือหม่าชั่วกล่าว “กองกำลังเสริมของรัฐสู่เพิ่งถอยออกมาจากสนามรบกับรัฐปา บวกกับต้องเร่งเดินทัพมายังด่านเจียเหมิง จะต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นแน่ คิดว่าคงไม่มีความเคลื่อนไหวในวันสองวันนี้”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ตามที่ข้ารู้จักสู่อ๋อง เดิมทีเขาตั้งใจที่จะพยายามป้องกันด่านเจียเหมิง เตรียมที่จะตัดเสบียงของพวกเรา ทำให้พวกเราต้องถอยร่นโดยไม่มีการต่อสู้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะล้ำหน้าไปอีกก้าวและยึดด่านเจียเหมิงไว้ได้แล้ว ที่นี่มีภูมิประเทศที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นในด่านหรือว่านอกด่าน ล้วนง่ายต่อการป้องกันยากต่อการโจมตี ความเป็นไปได้ที่เขาจะโจมตีซึ่งหน้านั้นน้อยมาก”
“เช่นนี้ก็แสดงว่ามีเพียงหุบเขาอวิ๋นซาน?” ซือหม่าชั่วกล่าว ปรับกลยุทธ์การต่อสู้ในใจอย่างรวดเร็ว
“แม้ว่าภูมิประเทศจะสู่อ๋องเลือกไว้นั้นดี ทว่าสำหรับพวกเราแล้วไม่ยิ่งเป็นเรื่องดีหรอกหรือ?” ซ่งชูอีเลิกคิ้ว รอยยิ้มตรงมุมปากค่อยๆ ขยายกว้างขึ้น
สายตาของทั้งสองคนหยุดอยู่บนแผนที่ ชัดแจ้งในใจนัก กลยุทธ์ทั่วไปได้รับการสรุปอยู่ในใจของซือหม่าชั่วแล้ว
แม้ว่าภูมิประเทศด้านหลังอวิ๋นซานจะถูกซ่อนไว้ ทว่าภูมิประเทศก็ทะลุผ่านได้เพียงสองด้านคล้ายกับหุบเขาอวิ๋นซาน หากในช่วงนี้สู่อ๋องไม่ตัดสินใจที่จะโจมตีก่อน เช่นนั้น หลังจากรอจนกระทั่งกองทัพฉินหนึ่งแสนสามหมื่นนายมาถึงครบแล้ว ก็สามารถตีปีกปิดล้อมฆ่ากองทัพสู่จากหุบเขาอวิ๋นซานและประตูด่านเจียเหมิงได้
ก่อนจะถึงเวลานั้น ก็สามารถสั่งให้คนสามหมื่นคนซุ่มโจมตีในหุบเขาอวิ๋นซานล่วงหน้าได้ ทันทีที่กองทัพสู่ผ่านหุบเขา ก็จะถูกสกัดเพื่อฆ่าทันที หากทหารสู่คิดที่จะทุ่มเทกำลังทั้งหมดไปกับการโจมตีซึ่งหน้า ก็ให้กองทัพซุ่มโจมตีผ่านหุบเขาอวิ๋นซานไปเงียบๆ และสกัดกั้นกองทัพซู่จากด้านหลัง
นี่เป็นกลยุทธ์สุดท้ายที่ซ่งชูอีมอบให้ ทั้งสามศึกษาอย่างรอบคอบและพบว่าเป็นไปได้ ซือหม่าชั่วจึงรวมตัวเหล่านายพลอีกครั้งทันทีเพื่อจัดเตรียมการออกรบรอบใหม่
ทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จสิ้น ครั้นถึงเวลาเที่ยงของวันที่สอง ทหารฉินก็มีถึงหนึ่งแสนนายแล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางการเตรียมการและการจัดตารางเวลาที่ตึงเครียด เมื่อใกล้ค่ำ หมอกสีเทาก็ค่อยๆ ปกคลุมภูเขาสูงตระหง่านรอบๆ ด่านเจียเหมิง ไฟสว่างในค่ายของกองทัพฉินเหมือนจะถูกปกคลุมด้วยผ้าไหมหนาๆ มีเพียงแสงสลัวลอดผ่าน
ธงสีดำขนาดใหญ่ของกองทัพฉินถูกซ่อนไว้ในความมืดมิดที่เต็มไปด้วยหมอกควัน
ฟิ้ว!
เสียงแหวกว่ายอากาศดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงอู้อี้ของลูกศรที่ปักเข้าไปในไม้ มันคือลูกศรหน้าไม้ที่ยิงเข้าไปในเสาธงของธงขนาดใหญ่! ขนของหางลูกศรส่งเสียงสั่นวิ้งๆ
“ทหารสู่โจมตี! ทหารทุกนายเตรียมรบ…”
เมื่อเสียงตะโกนที่ประตูด่านดังขึ้น ทหารทั้งค่ายก็รีบหยิบอาวุธขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
กองทัพสู่ในด่านเจียเหมิงซ่อนเร้นตัวเองอยู่ในหมอกหนา ลอบฆ่าอยู่เงียบๆ
“ทหารทุกนายเตรียมรบ!”
“ทหารทุกนายเตรียมรบ!”
ในค่ายส่งเสียงเป็นระลอก ดังหลายครั้งทว่าไม่วุ่นวาย เห็นได้ชัดว่ามิได้ลุกลี้ลุกลนกับการโจมตีฉับพลันของกองทัพสู่
เพียงพริบตาที่ประตูด่านก็มีลูกศรร่วงลงมาราวกับฝูงตั๊กแตน พุ่งเข้ามาอย่างหนาแน่นราวกับสายฝนกระหน่ำ ทันใดนั้นเสียงกลองสงครามสีดำก็ดังขึ้นเหนือประตูด่าน โล่เหล็กสีดำทรงสูงถูกสร้างเป็นกำแพงอย่างรวดเร็ว มือธนูเริ่มต่อสู้กลับทันทีจากช่องว่างเล็กๆ ด้านล่าง
ภายใต้สถานภาพย่ำแย่เช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างมองกันไม่เห็น อาศัยเพียงลูกศรที่ท่วมท้นท้องฟ้าเท่านั้น
“อีกฝ่ายมีเท่าใด?” จางเหลียวแม่ทัพที่รับผิดชอบในการปกป้องเมืองขึ้นไปบนหอคอยทันที
“มองไม่เห็นขอรับ ตอนนี้ดูแล้วมีอย่างน้อยสองหมื่นนาย!” รองแม่ทัพตอบ หากสามารถยิงฝนธนูหนาแน่นเพียงนี้ จำนวนจะต้องมีไม่น้อย
จางเหลียวมองไปยังฝูงชนที่เคลื่อนไหวเลือนรางอยู่ด้านล่าง พลันออกคำสั่งให้ป้องกันนครอย่างเข้มงวด กำแพงนครดินแดนปาสู่มิได้สูงใหญ่มั่นคงเหมือนในจงหยวน ด่านเจียเหมิงถูกสร้างขึ้นตามภูมิประเทศที่สูงชัน หอคอยนั้นเรียบง่ายมาก เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพสู่ที่เก่งในการต่อสู้บนภูเขา การป้องกันด่านเจียเหมิงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
“พยายามขับไล่กองทัพสู่ออกไป” เสียงเรียบๆ ดังขึ้นข้างกายจางเหลียว เขาตกใจเล็กน้อย เมื่อครู่เขาเฝ้ามองฉากการต่อสู้จนเหม่อลอยเกินไป จึงมิได้รู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้
จางเหลียวหันไปมอง ก็เห็นสีหน้าเรียบเฉยของซ่งชูอีเหมือนกับน้ำเสียงนั้น ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ขอรับ!”
จางเหลียวจากไปไม่นาน เสียงกลองสงครามก็ดังรัว เสียงแตรดังก้องไปทั่วหุบเขา เสียงนั้นสะท้อนกลับมาอีกครั้งซึ่งกระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของทหารฉิน ชุดลูกธนูที่แข็งแกร่งเข้าร่วมการต่อสู้ ฝนลูกศรนั้นมากกว่าเมื่อครู่เป็นสองเท่า เสียงแหวกว่ายผ่านอากาศยิ่งดังแสบแก้วหู เสียงกรีดร้องจากด้านล่างของหอคอยดังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
กองทัพได้รวมตัวกันที่ด่านเจียเหมิงแล้ว พร้อมโจมตีซึ่งหน้าได้ตลอดเวลา
กลิ่นคาวเลือดทำให้ไป๋เริ่นส่ายหางไปมาอย่างตื่นเต้น ซ่งชูอียื่นมือออกมาลูบหัวของมัน เพื่อให้มันสบายใจ
การต่อสู้ครั้งแรกใช้เวลาไม่นาน เพียงครึ่งชั่วยามกองทัพสู่ก็ถอยกลับไปแล้ว ราวกับว่ามันเป็นเพียงการทดลองเท่านั้น
ซ่งชูอีพาไป๋เริ่นลงไปจากหอคอย กลับไปยังค่ายผู้บัญชาการ
จางอี๋กำลังเดินหมากกับตัวเอง ซือหม่าชั่วคาดคะเนสถานการณ์การสู้รบอยู่บนแผนที่ครั้งแล้วครั้งเล่า จินเกอนอนหมอบอยู่ข้างเท้าจางอี๋ แสดงอาการถ่อมตัวที่หาได้ยาก
“หวยจิน สู้กันครั้งแรกเป็นเยี่ยงไรบ้าง?” จางอี๋เอ่ยถาม
“รู้แล้วยังแสร้งถาม” ซ่งชูอียิ้มพลางนั่งลงตรงข้ามเขา เอื้อมมือเดินหมากด้วย
ไป๋เริ่นกับจินเกอเห็นหน้ากันก็รู้สึกไม่ชอบใจ ทว่าครั้งนี้มิได้ก่อความวุ่นวาย ต่างหมอบอยู่ตรงนั้นและต่างคนต่างเล่นอย่างว่าง่าย
“ท่านแม่ทัพ หัวหน้ากองซือหม่าขอพบขอรับ!” เสียงรายงานข้างนอกดังขึ้น
ซือหม่าชั่วหมุนตัวไป โยนกิ่งไผ่ในมือลงไปบนโต๊ะ “เข้ามา”
สิ้นวาจา หัวหน้ากองซือหม่ากับชายในชุดดำคนหนึ่งก้าวเข้ามา “ท่านแม่ทัพ สายลับกลับมาแล้ว”
“รายงานมา” ซือหม่าชั่วยืดตัวตรง
ซ่งชูอีกับจางอี๋ก็เบี่ยงเบนความสนใจไปเช่นกัน
ชายเสื้อดำผู้นั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยสืบเจอว่ากองทัพสู่ที่อยู่หลังอวิ๋นซานมีเพียงทหารม้าสี่หมื่นนายเท่านั้น ดูเหมือนสู่อ๋องยังไม่ไปไหน”
“เยี่ยม” ซือหม่าชั่วโบกมือให้ทั้งสองออกไป แล้วหมุนตัวถามซ่งชูอีกับจางอี๋ “ท่านทั้งสองคิดว่า สู่อ๋องยังคงอยู่ข้างหลังเพื่อปฏิบัติหน้าที่กองทหารเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?”
“พูดยาก” จางอี๋ขมวดคิ้ว
ก็มีความเป็นไปได้ที่กองทัพสู่จะโจมตีหลอกๆ เพื่อทำให้ศัตรูเข้าใจผิด และสู่อ๋องก็ได้สั่งให้กองทัพเตรียมอ้อมไปทางหุบเขาอวิ๋นซานแล้ว ทว่านี่เป็นเพียงความคิดของจางอี๋เท่านั้น ไม่แน่ว่าสู่อ๋องอาจคิดว่าการอยู่ข้างหลังปลอดภัยกว่าก็ได้?
“การระมัดระวังเป็นเรื่องดี แม้จะกล่าวไม่ได้ว่าการจัดการทหารของข้าจะปลอดภัยเสียทีเดียว แต่แน่นอนว่าโอกาสชนะก็เป็นไปได้สูง บวกกับทหารม้าอีกสี่หมื่นนายที่ยึดครองจุดยุทธศาสตร์ที่เอื้ออำนวยของด่านเจียเหมิง ไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนเกินไป” ซ่งชูอีมองซือหม่าชั่วอย่างสงบ “ท่านแม่ทัพมั่นคงเสมอมา การต่อสู้ครั้งนี้ต้องชนะอย่างแน่นอน”
ซ่งชูอีกล่าวได้อย่างสละสลวยมาก ทว่าซือหม่าชั่วก็ตอบสนองในทันที พลันคิดว่านับตั้งแต่ที่ตัวเองเข้าปาสู่ก็ระมัดระวังเกินไปจริงๆ ไม่มีอะไรผิดกับการเดินทัพอย่างระมัดระวัง ทว่าหากต้องการโจมตีปาสู่ให้แตกในคราเดียว ลำพังเพียงความระมัดระวังอย่างเดียวไม่เพียงพอ
“ขอบคุณซ่งจื่อที่เตือนสติ” ซือหม่าชั่วประสานมือเอ่ย
ซ่งชูอีโบกๆ มือ “ข้าเพียงกล่าวความจริงเท่านั้น”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่มืดมนของซือหม่าชั่ว ‘ซ่งจื่อผู้นี้ กระทำการใดก็เป็นที่นิยมชมชอบ แม้แต่การเตือนสติว่าเขาระมัดระวังตัวเองจนเกินไปก็ไม่เคยทำเขาเสียหน้าเลย’
แม้ว่าซือเหล่าชั่วจะเป็นคนที่อดทนต่อการถูกตำหนิได้ แต่ว่าใครจะไม่อยากรู้สึกสบายใจบ้างเล่า?
“วู้…”
ทันใดนั้นเสียงเสียงแตรก็ดังขึ้นนอกกระโจมอีกครั้ง…กองทัพสู่โจมตีเป็นครั้งที่สองแล้ว!
แม้ทั้งสามคนจะรู้ว่านี่อาจเป็นการล่อลวงของกองทัพสู่อีกครั้ง ทว่าก็ไม่กล้าประมาท รอสถานการณ์ทางทหารในกระโจมตลอดเวลา
จนกระทั่งเวลายามสอง กองทัพสู่ก็โจมตีทั้งหมดสามครั้ง ความแข็งแกร่งนั้นมีมากขึ้นทุกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถสั่นคลอนการป้องกันที่แข็งแกร่งของกองทัพฉินได้
ไม่รู้ว่าซ่งชูอีฟุบหลับอยู่บนหลังไป๋เริ่นตั้งแต่เมื่อไร จางอี๋เห็นว่าขณะที่นางนอนก็ยังทำลายขนบนตัวของไป๋เริ่นด้วยความซุกซน เขาส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา หาผ้าห่มห่มผ้าให้นาง
“โลกของซ่งจื่อนั้นช่างไกลเกินเอื้อมจริงๆ!” ซือหม่าชั่วกล่าวกระซิบ
ในความเป็นจริงแล้ว การที่ซ่งชูอีสามารถหลับสนิทได้ไม่ใช่เพราะสภาพจิตใจที่ดี ครึ่งปีมานี้นางเดินทางอยู่ในรัฐปาสู่ เหนื่อยทั้งกายและใจ อีกทั้งยังต้องวางแผนจนสมองแทบระเบิด กุมสถานการณ์โดยรวมไว้ในมือ ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแล้วเหมือนมีอิสระที่สามารถหงายมือเป็นก้อนเมฆและคว่ำฝ่ามือเป็นสายฝน ในความเป็นจริงกลับเป็นผลเสียต่อร่างกายมากจนทนไม่ไหว!