การเจรจาระหว่างฉินสู่ใช้เวลาสั้นๆ เพียงสองเค่อ ทว่าบวกกับระยะเวลาเดินทางไปกลับนั้นยาวนานมาก ทหารม้าที่รัฐฉินส่งไปโจมตีหวังเฉิงอย่างฉับพลันเมื่อคืนนั้นได้ออกเดินทางไปเกือบสิบชั่วยามแล้ว
ครั้นซ่งชูอีกลับถึงค่ายกองทัพฉินก็ไปที่ค่ายผู้บัญชาการทันที
ซือหม่าชั่วเห็นผ้าพันแผลบนศีรษะของนางก็ตกใจเล็กน้อย “ทหารสู่ลงมือกับท่านหรือ?”
“อืม” ซ่งชูอีพยักหน้า
ซือหม่าชั่วเห็นใบหน้าของนางขาวซีดอดที่จะโมโหไม่ได้ เอ่ยอย่างเย็นชา “จะต้องลงโทษทหารคุ้มกันพวกนั้นตามระเบียบเสียแล้ว! แม้แต่ท่านที่ปรึกษาก็ปกป้องไม่ได้ จะมีพวกเขาไว้ทำอะไร!”
“ช้าก่อน” ซ่งชูอีห้ามปรามมิให้ซือหม่าชั่วออกคำสั่ง “วันนี้ถูอู้ลี่มาเจรจาด้วยตัวเอง คนธรรมดาจะสู้ฝีมือของเขาได้หรือ?”
“ถูอู้ลี่?” ตอนนี้ซือหม่าชั่วจึงนึกขึ้นได้ว่าซ่งชูอียังคงยืนอยู่ตลอดเวลา รีบกล่าวขึ้น “ท่านรีบนั่งลงก่อน เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลัง ให้ท่านหมอมารักษาท่านก่อน บาดแผลบนศีรษะมิใช่เรื่องเล็กเลย”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ” ซ่งชูอีรู้สึกเวียนศีรษะอยู่บ้าง จึงนั่งลงพร้อมเอามือค้ำโต๊ะ
คนที่เหวี่ยงดาบใส่นางในชาติที่แล้วคือท่านแม่ทัพรัฐฉิน ท่านแม่ทัพคนนั้นมิได้มีเจตนาทำร้ายนาง เพียงกรีดผิวหนังตรงคิ้วแตกเท่านั้น ครั้งนี้ถูอู้ลี่มิได้แสดงความปรานีต่อนางเลย ซ่งชูอีมีความรู้ทางการแพทย์อยู่บ้าง รู้ว่าจุดอิ้นถังที่หว่างคิ้วเป็นหนึ่งในจุดแปลกประหลาดนอกเส้นลมปราณ เลือดลมจะไหลเข้าจุดนี้ทุกวันยามอิ๋น การบาดเจ็บที่จุดอิ้นถังจึงมิใช่เรื่องตลกเลย คราวนี้เพื่อดูแลสถานการณ์โดยรวม นางจึงยอมทนชั่วคราว ครั้นรัฐสู่แตกแล้ว จะไม่มีทางให้ถูอู้ลี่ได้อยู่อย่างสุขสบายแน่!
ไม่นาน หัวหน้าหมอก็พาเด็กปรุงยาสองคนเข้ามาด้วยความเร่งรีบ ประสานมือคำนับซือหม่าชั่วและซ่งชูอี “คารวะท่านแม่ทัพ คารวะท่านที่ปรึกษา”
“ดูบาดแผลของท่านที่ปรึกษาทีว่ามีปัญหาหรือไม่” ซือหม่าชั่วเอ่ย
“ขอรับ” หัวหน้าหมอตอบ เดินเข้าไปคลายผ้าสีขาวที่พันรอบศีรษะของนางช้าๆ ตรวจบาดแผลอย่างละเอียด สีหน้าอดที่จะเปลี่ยนไปเล็กน้อยมิได้ “ท่านรู้สึกเวียนหัวบ้างหรือไม่?”
“นิดหน่อย” ซ่งชูอีเอ่ย
หัวหน้าหมอทำความสะอาดบาดแผลใหม่อีกรอบ หลังจากพันแผลเรียบร้อยแล้วก็จับชีพจรอย่างละเอียด ตรึกตรองอย่างรอบคอบครู่หนึ่งก่อนที่จะเขียนสูตรยา
ชีพจรของผู้ชายมั่งคงแข็งแรงในขณะที่ของผู้หญิงค่อนข้างอ่อนแอ เพราะร่างกายของทุกคนแตกต่างกัน นี่จึงไม่ใช่เกณฑ์ที่จะในการตัดสินว่าผู้ป่วยเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ดังนั้นท่านหมอส่วนใหญ่จึงไม่สามารถระบุได้ว่าผู้ป่วยเป็นชายหรือหญิงตามสภาพชีพจร ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้เลือดลมของซ่งชูอีได้รับบาดเจ็บ หากชีพจรจะเต้นอ่อนไปบ้างก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้
เนื่องจากซ่งชูอีเข้าใจในข้อนี้จึงวางใจให้ท่านหมอวินิจฉัยอาการ ตราบใดที่ไม่ต้องถอดเสื้อเพื่อตรวจนางก็จะไม่หลุดไต๋ใดๆ
ซือหม่าชั่วเห็นว่าหัวหน้าหมอระมัดระวังเพียงนี้จึงเอ่ยถาม “มีสิ่งใดผิดปกติหรือ?”
หัวหน้าหมอมิกล้าปิดบัง “ขออภัยที่ข้าน้อยกล่าวตามตรง ท่านที่ปรึกษาบาดเจ็บตรงจุดอิ้นถัง จุดนี้ก็คือจุดชี่ไห่ของมนุษย์ เลือดลมล้วนไหลเวียนอยู่ที่นี่ อาจทำให้ลมปราณแตกซ่าน เริ่มจากเวียนศีรษะรุนแรง เจ็บปวดจนทนไม่ไหว สูญเสียการมองเห็นและเสียชีวิตภายในห้าวัน”
แม้ว่าซือหม่าชั่วจะสามารถสงบสติอารมณ์ได้ดีอยู่เสมอ ทว่าในเวลานี้สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงมืดมน “เช่นนั้นท่านหวยจิน…”
หมอในค่ายทหารส่วนใหญ่เก่งเรื่องรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก หัวหน้าหมอก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่กล้าสรุปตามอำเภอใจ “บาดแผลของท่านที่ปรึกษาลึกมาก ข้าน้อยมิอาจสรุปผลลัพธ์ได้ในครั้งเดียว หลายวันนี้ขอให้รักษาตัวให้ดี ห้ามคิดมากหรือเป็นกังวลใจ ผ่านห้าวันไปได้ ชีวิตของเขาก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
ชาติที่แล้วซ่งชูอีได้รับบาดเจ็บก็เพียงทำความสะอาดและพันแผลง่ายๆ เท่านั้น หลังจากนั้นนางก็มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังจริงๆ บัดนี้นึกดูแล้วก็เพราะว่าบัดนั้นเลือดลมได้รับบาดเจ็บ ร่างกายอ่อนแอเสมอมา สุดท้ายก็ทนความหนาวเหน็บและเปียกชื้นในคุกไม่ไหว ในเวลานั้นนางเข้าใจเป็นอย่างดีว่าต่อให้มิได้กินยาพิษตัวเองก็คงมีชีวิตเหลืออยู่อีกไม่กี่วัน
“ข้าจะรายงานสถานการณ์ของกองทัพสู่กับท่านแม่ทัพก่อนและจะไปพักผ่อนในภายหลัง” ซ่งชูอีมีชีวิตอีกครั้งด้วยความยากลำบาก จะต้องหวงแหนชีวิตน้อยๆ ของตัวเองให้ดี
ซือหม่าชั่วก็เห็นด้วย จึงสั่งให้หัวหน้าหมอไปต้มยาด้วยตนเอง และปล่อยให้ซ่งชูอีอยู่คุยกับเขาในกระโจม
การคุยงานใช้เพียงเวลาหนึ่งถ้วยชา หลังจากคุยเสร็จแล้ว ซือหม่าชั่วก็สั่งให้คนส่งนางกลับไปพักผ่อนที่กระโจมทันที
ซ่งชูอีรู้สึกอ่อนล้าเป็นที่สุด หลังจากทำความสะอาดร่างกายแล้วก็นอนลงบนเตียง ทันทีที่นอนลง ฟ้าดินหมุนคว้างชั่วขณะราวกับคลื่นลูกใหญ่ นางขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ความเจ็บแปลบที่คิ้วตรงเข้าไปในสมอง มันเจ็บปวดเสียจนหน้าผากของนางมีเส้นเอ็นปูดนูนขึ้นมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดมันก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ บัดนี้แผ่นหลังเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อแล้ว ทว่านางก็ขี้คร้านจะไปทำความสะอดาอีกรอบจึงผล็อยหลับไป
ครั้งนี้กองทัพที่นำโดยซย่าเฉวียนคือหนึ่งในบรรดาทหารม้าที่ถูกส่งไปโจมตีหวังเฉิงอย่างฉับพลัน เจ้าอี่โหลวกับจี๋อวี่ก็เป็นรองแม่ทัพที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของซย่าเฉวียนจึงติดตามไปด้วย ข้างกายของนางตอนนี้มีเพียงไป๋เริ่นสัตว์ป่าขนปุยที่ใครให้อาหารก็ติดตามคนนั้นโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ
ซ่งชูอีหลับไปยาวนานมากๆ โดยไม่ฝัน ตื่นขึ้นมาระหว่างนั้นครั้งหนึ่ง เปลือกตาหนักอึ้งจนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
“จี้ฮ่วนขอพบขอรับ!” เสียงกังวานดังอยู่นอกกระโจม
ซ่งชูอีได้ยินเสียงของจางอี๋เลือนราง “เข้ามาเถิด”
“ท่านที่ปรึกษา ท่านหวยจินเป็นเยี่ยงไรบ้าง ยังไม่ตื่นหรือ?” เสียงของจี้ฮ่วนร้อนรนเล็กน้อย
จางอี๋ทอดถอนใจ “หัวหน้าหมอบอกว่าซ่งหวยจินใช้งานสมองมากเกินไปจนร่างกายแทบจะว่างเปล่า คราวนี้เลือดลมยังได้รับบาดเจ็บอีก การหลับไปในสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน”
การนอนหลับเป็นการรักษาตัวที่ดีที่สุด เมื่อคนเราไม่สามารถฝืนต่อไปได้ก็จะง่วงนอนโดยธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นการป้องกันและซ่อมแซมตัวเองอีกประเภทหนึ่งด้วย
“พี่ใหญ่ ฮ่วน” ครั้นซ่งชูอีเปล่งเสียงก็พบว่าตัวเองอ่อนแอเกินไป
จางอี๋กับจี้ฮ่วนที่อยู่ห้องด้านนอกได้ยินเสียงแล้วก็เดินเข้ามาทันที จี้ฮ่วนเอ่ยด้วยความยินดี “ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว!”
“ข้านอนไปนานแค่ไหน?” ซ่งชูอีลืมตาและพบว่าเห็นเพียงเงาเลือนรางเบื้องหน้า สามารถแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้อย่างคลุมเครือ
เพราะว่าซ่งชูอีหันไปทางจางอี๋ได้อย่างแม่นยำ สีหน้ามิได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งสองคนจึงมิได้พบว่านางมีความผิดปกติใด “ไม่นาน หลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเพราะจี้ฮ่วนเป็นกังวลมากเกินไป”
จี้ฮ่วนไอแห้งทีหนึ่ง เอ่ยขึ้น “นายทหารผู้คุ้มกันท่านในการเจรจาวันนั้นได้ยินว่าท่านหมดสติไปยังไม่ฟื้น และดูเหมือนจะบาดเจ็บหนักจึงได้แต่โทษตัวเอง แต่เนื่องจากกฎข้อบังคับจึงไม่สามารถมาเยี่ยมได้ พวกเขารู้ว่าข้าใกล้ชิดกับท่าน จึงจะมาถามทุกๆ สองถึงสามชั่วยาม”
เมื่อครู่ร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด แต่ในเวลานี้กลับเฉไฉ ซ่งชูอีอดที่จะยิ้มมิได้ ในพริบตาเดียวก็เห็นเมฆหมอกสีขาวกระโดดลอยขึ้นไปบนเตียงอย่างรวดเร็วและซุกอยู่ที่มือนาง
มันคือไป๋เริ่น…
“การต่อสู้เป็นเยี่ยงไรบ้าง?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“หากคำนวณกันตามเวลา บัดนี้กองทหารม้าโจมตีฉับพลันน่าจะไปถึงหวังเฉิงแล้ว ในเวลานี้ทั้งกองทัพกำลังเตรียมการ รอเพียงข่าวเท่านั้น” จางอี๋พูดจบก็เสริมขึ้น “เรื่องต่อจากนั้นก็ยกให้พี่ชายเถิด เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ อย่าใช้พลังมากจนเกินไป วันเวลาแห่งการแย่งชิงใต้หล้ายังอีกยาวไกล จงใช้เวลาที่มีอย่างคุ้มค่า”
“รู้แล้ว ข้าจะนอนต่ออีกหน่อย” ซ่งชูอีลูบๆ ขนของไป๋เริ่นแล้วนอนลงอีกครั้ง
จางอี๋เพิ่งจะรู้สึกว่าอารมณ์ของซ่งชูอีไม่ปกติ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าซีดขาวของนางก็ไม่ถามให้มากความอีก จึงออกไปข้างนอกกับจี้ฮ่วน สั่งให้คนต้มโจ๊กอ่อนๆ แล้วนำมาส่งให้ซ่งชูอี
วิสัยทัศน์ไม่ชัดเจนเป็นระเบิดครั้งใหญ่สำหรับซ่งชูอี แต่สิ่งที่ทำให้นางรับไม่ได้ยิ่งกว่านั้นคือความเชื่อมโยงระหว่างอดีตและปัจจุบัน นางมิได้เป็นกุนซือในหยางเฉิงแต่หว่างคิ้วก็ยังคงเจ็บปวดเหมือนชาติที่แล้ว นางมิได้อยู่กับหมิ่นฉือแต่ก็จะยังสิ้นท่าอย่างน่าอนาจบนกำแพงเมืองเหมือนชาติที่แล้วหรือเปล่า?