กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 237 ตัดนิ้วสาบาน

บทที่ 237 ตัดนิ้วสาบาน

 พวกข้า…  เสียงนี้แก่ชราทว่าไม่ดังมาก แต่มันกลับดึงดูดความสนใจของทุกคนไปชั่วขณะ

ชายชราในชุดธรรมดาผู้หนึ่งค้ำไม้เท้าลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก พลางเดินไปยังที่นั่งทางขวามือของซ่งชูอีพลางเอ่ย  แม้ไม่มีหลักฐานที่จับต้องได้มายืนยันว่า  ทฤษฎีโค่นรัฐ  นั้นเป็นผลงานของเจ้าพ่อหนุ่มเช่นเจ้า ทว่าเบาะแสภายนอกทั้งหมดล้วนชี้มาที่เจ้า เพื่อช่วยโลกจากการความทุกข์ยากจำต้องระมัดระวังให้มาก ขอเพียงเจ้ากล้าตัดนิ้วสาบาน ข้าผู้อาวุโสก็จะเชื่อเจ้า 

 เซียงจื่อ!  ชูหลี่จี๋อดไม่ไหวลุกขึ้นมา  ร่างกายเป็นสิ่งที่บุพการีมอบให้ จะทำร้ายส่งเดชได้เยี่ยงไร คำขอของเซียงจื่อนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ? 

 สาบานด้วยสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เขาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง มันเกินไปตรงไหน?  เซียงจื่อก้าวเท้าขึ้นไปบนเวที คุกเข่าลงนั่งทางขวามือ  นอกเหนือจากเรื่องนี้  ทฤษฎีโค่นรัฐ  ของสำนักเต๋าทำให้ชายชราเยี่ยงข้าประหลาดใจจริงๆ ข้าเต็มใจที่จะอภิปรายกับพ่อหนุ่มด้วยหลักคำสอนสำนักนิติธรรม ไม่ทราบว่าผู้ใดสอนพ่อหนุ่มศิษย์สำนักเต๋าให้มีพรสวรรค์น่าทึ่งเช่นนี้? 

เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มน้อยๆ หันไปมองชายวัยกลางคนในชุดสีเขียวที่นั่งอยู่ทางทิศใต้  จวงจื่อ? 

คิดไม่ถึงว่าจวงจื่อจะอยู่ที่นี่ด้วย! เขาเกลียดการเข้าร่วมงานประชุมประเภทนี้ที่สุดมิใช่หรือ?

ซ่งชูอีแอบตกใจ มือที่วางอยู่ข้างหน้าตักกำแน่นเล็กน้อย นางรู้แล้วว่าโลกนี้มิใช่โลกเดิมของนาง กล่าวได้ว่าปัญหาอาจารย์ในสำนักเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่สุดของนาง วันนี้นางตกอยู่ในสถานะน่าสงสัย หากถูกไล่ต้อนให้พูดทุกสิ่งทุกอย่าง…คนที่นั่งอยู่ในที่นี้มิใช่ตะเกียงที่ไร้น้ำมันเลย

สายตาของจวงจื่อมองไปยังใบหน้าของซ่งชูอีที่ถูกแถบผ้าสีดำปกคลุมไปครึ่งหนึ่ง นึกถึง  ฝันผีเสื้อ  ที่นางเอ่ยถึงขณะที่อยู่ในรัฐสู่ ก็หันมองเซียงจื่อ  มาดูกันว่าจะแพ้หรือชนะเถิด 

 อะไรกัน จวงจื่อมิใช่ผู้เฉยเมยต่อทางโลกหรอกหรือ? กลับสนใจเรื่องแพ้ชนะด้วยหรือ?  เซียงจื่อมองเขาพร้อมอมยิ้มเอ่ย

จวงจื่อสอดมือไว้ในแขนเสื้ออย่างเกียจคร้าน ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย  มีไม่มีดำรงอยู่ซึ่งกัน ยากง่ายเกิดความสำเร็จต่อกัน ยาวสั้นก่อเป็นรูปร่างแก่กัน สูงต่ำเพื่อให้สมดุลย์กัน ซุ่มเสียงสะท้อนกันและกัน หน้าหลังเพื่อให้ตามกัน ลัทธิเต๋าว่าด้วยเรื่องสมดุลย์ของธรรมชาติ เซียงจื่อไม่เข้าใจเต๋า เหตุใดไม่ท่องลำน้ำภูเขากับข้าสักสองสามวันเพื่อเข้าใจในข้อมูลเชิงลึกเล่า เพราะอะไรต้องแข่งกับคนรุ่นลูกหลานด้วย? 

คำพูดนี้มิได้ไว้หน้าเซียงจื่อเลยแม้แต่น้อย!

ทุกคนรู้เพียงว่าจวงจื่อท่องพเนจรไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก ทว่าไม่ค่อยมีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นเหมือนดาบคมกริบ ฝีปากกล้าที่มิเคยสนใจหลักครองตนในสังคมจะพูดสิ่งที่น่าฟังได้เยี่ยงไร?

 ข้าอายุมากไม่เข้าใจจริงๆ  แม้ว่าน้ำเสียงของเซียงจื่อไม่ได้โมโห ทว่าแววตาราวกับต้องการจะเจาะทะลุผ่านร่างของจวงจื่อ  ทว่าอุตส่าห์เจอคนสำนักเต๋าที่เข้าตาทั้งที ย่อมอยากขอคำแนะนำเป็นธรรมดา 

ความหมายในคำพูดนี้ก็คือเห็นจวงจื่อแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ

 เช่นนั้นก็เชิญตามสบาย  จวงจื่อยิ้มอย่างสงบนิ่ง

วาจาเหนือกว่า ทว่าเซียงจื่อกลับขมวดคิ้ว ก่อนจะรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว คำถามเมื่อครู่ถูกจวงจื่อข้ามไปอย่างง่ายดาย บัดนี้เมื่อพูดคุยกันจนขั้นนี้แล้วก็ไม่มีอะไรต้องถามอีก

ซ่งชูอีหันไปทางขวา ค้อมตัวเล็กน้อย  ได้โปรดท่านอาวุโสชี้แนะ 

 การโต้เถียงไม่คำนึงถึงผู้เรียนรู้ก่อนหลัง  เซียงจื่อประสานมือน้อยๆ แล้วเริ่มถาม  ในคำพูด  ทฤษฎีโค่นรัฐ  ของเจ้า มนุษย์มีความปรารถนา เนิ่นนานก็จะเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายนานับประการ หลักคำสอนของสำนักเต๋าที่ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองทำให้ผู้คนวางเฉย มิกลายเป็นการทำลายความปรารถนาหรอกหรือ? มิไร้มนุษยธรรมหรอกหรือ? 

กระแสหลักคำสอนในปัจจุบันล้วนกล่าวถึง  ความปรารถนา  สำหรับความปรารถนาที่ไม่ดีนั้น เจ้าสำนักส่วนใหญ่จะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อยับยั้ง แต่ไม่มีสำนักใดสนับสนุนการทำลายความปรารถนาของผู้คน

เซียงจื่อมิได้ออกมาเสนอหน้าอย่างไร้เหตุผล เพียงแต่ต้องการกู้สถานการณ์ที่ตกต่ำของสำนักนิติธรรมกลับคืนมา

ในโลกปัจจุบัน เหตุผลที่ร้อยสำนักโต้แย้งกันเป็นเพราะว่าแต่ละสำนักล้วนต้องการพิสูจน์ว่าทฤษฎีของตนต่างหากที่ทันสมัยที่สุดและเป็นประโยชน์ที่สุด ฉะนั้นการที่เซียงจื่อยิงคำถาม จุดประสงค์หลักก็ดำเนินการโจมตีช่องโหว่ใน  ทฤษฎีโค่นรัฐ  และพิสูจน์ว่า  ทฤษฎีโค่นรัฐ  ไม่มีทางปกครองโลกได้

หลังจากที่หักล้างซ่งชูอีได้แล้ว เขาก็สามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ว่าเพียงสำนักนิติธรรมกก็เพียงพอแล้วสำหรับผลประโยชน์ทุกประเภท แล้วก็จะบรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมสำนักนิติธรรม ตราบใดที่ได้รับการยอมรับจากองค์จวินก็จะถูกเรียกใช้ สำนักนิติธรรมจึงจะสามารถยืนหยัดได้อีกครั้ง

คราวนี้เรื่องของซ่งชูอีก่อให้เกิดโกลาหลและเป็นที่รู้กันทั่ว รัฐฉินเองก็แข็งแกร่งขึ้นมาได้จากความช่วยเหลือของสำนักนิติธรรม แน่นอนว่ารู้ประโยชน์ของสำนักนิติธรรมอย่างล้ำลึก เพราะเซียงจื่อมองเห็นโอกาสนี้จึงได้ออกโรงด้วยตัวเอง

 เซียงจื่อกล่าวเกินไปแล้ว  ซ่งชูอียืดตัวตรง  สำนักเต๋าสนับสนุนเสมอว่าทุกสิ่งควรเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่เคยก่อกำเนิดสิ่งใดและไม่มีวันเข่นฆ่าอะไร ทฤษฎีการทำลายล้างเพียงให้ความรู้แก่ราษฎรด้วยหลักคำสอนของสำนักเต๋าเท่านั้น ชาวเต๋าเพราะเข้าใจว่าวิถีเต๋าเป็นไปตามธรรมชาติ ปฏิบัติตามโชคชะตา ปล่อยวางทุกสิ่ง ข้ามิได้บีบบังคับให้คนทำลายความปรารถนา และจะกล่าวว่า  บีบคอ  พวกเขาได้เยี่ยงไร? 

 ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะรับประกันได้เยี่ยงไรก็ผู้คนสามารถยอมรับความคิดเห็นของเจ้าได้? ทฤษฎีการทำลายล้างกล่าวว่าการปกครองบ้านเมืองนั้นไร้ประโยชน์?  เซียงจื่อชี้ไปที่รากเหง้า แต่เขาก็ตระหนักด้วยว่าเต๋าสามารถพลิกแพลงได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การที่จะหักล้างจนซ่งชูอีพูดไม่ออกนั้นเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงเปลี่ยนกลยุทธ์ พลางหักล้างพลางใช้สำนักนิติธรรมมาเปรียบเทียบ ซึ่งสามารถบรรลุเป้าหมายเช่นเดียวกัน  ผู้คนมีความปรารถนาจึงทำผิดกฎหมาย สิ่งที่เรียกว่าไร้กฎหมายไม่อาจเรียกว่าบ้านเมืองได้ สำนักนิติธรรมของข้ามุ่งเน้นไปที่กฎหมาย ทักษะ และศักยภาพ บ้านเมืองมั่งคั่งกองทัพแข็งแกร่ง กฎหมายร้ายแรงและการปฏิรูปสามารถเห็นผลได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ขอถามว่าจะเห็นผลของ  ทฤษฎีโค่นรัฐ  ได้เยี่ยงไร? 

ซ่งชูอีมิได้คิดจะโต้เถียงให้ชนะทว่าก็แพ้ไม่ได้ นางหันหน้าเล็กน้อยเอ่ยว่า  เช่นนั้นการที่สำนักขงจื้อปกครองบ้านเมืองไร้ประโยชน์หรือ? จริยธรรม ความชอบธรรม ความเมตตา คุณธรรมปลูกฝังราษฎร สามารถเห็นผลได้หรือไม่? ทฏษฎีการโค่นรัฐมิใช่วิถีที่ใช้ในการปกครองประเทศ ทว่าเป็นแนวคิดที่นำผู้คนไปสู่สันติภาพและความเมตตากรุณา ดังนั้นหวยจินจึงไม่สามารถตอบคำถามของเซียงจื่อได้ 

จุดเริ่มต้นก็แตกต่างกันอยู่แล้ว มิใช่วิถีทางเดียวกัน ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่เปรียบเทียบได้ ยากที่จะใช้ความรู้ด้านสำนักนิติธรรมมาล้มล้าง  ทฤษฎีโค่นรัฐ  ได้ ต่อให้เซียงจื่อสามารถหักล้างซ่งชูอีได้สำเร็จก็ยากที่จะพิสูจน์ว่าหลักคำสอนของสำนักนิติธรรมแข็งกล้ากว่า

มาถึงขั้นนี้แล้ว เป้าหมายของเซียงจื่อก็บรรลุไปแล้วส่วนหนึ่ง ด้วยตำแหน่งสถานะของเขา หากพัวพันต่อไปอีกก็จะดูไร้เกียรติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ประสานมือเอ่ย  เพราะข้าผู้อาวุโสหวาดระแวงมากเกินไป ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ 

 เซียงจื่อกล่าวเกินไปแล้ว  ซ่งชูอีคำนับกลับ

เซียงจื่อลุกขึ้นกลับไปนั่งที่เดิม

นี่คือการแข่งขันและแลกเปลี่ยนทางวิชาการอย่างแท้จริง ต่อให้เสียเปรียบหรือถกแพ้ ก็จะไม่มีใครหัวเราะเยาะด้วยความรังเกียจ ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนส่วนใหญ่ในที่นี้ต่างไม่รู้ถึงแก่นแท้ของของ  ทฤษฎีโค่นรัฐ  ก่อนหน้านี้

 ข้าน้อยอู๋จี้จากสำนักขงจื้อ  หลังจากเซียงจื่อนั่งลงแล้ว แถวหลังของสำนักขงจื้อก็มีคนลุกขึ้นยืน  ได้ยินว่าท่านซ่งมุ่งเน้นไปที่การโค่นปาสู่ อีกทั้งยังวางแผนทำให้รัฐสู่ปั่นป่วน…ในเมื่อท่านมุ่งเน้นไปที่หลักคำสอนของสำนักเต๋า เหตุใดจึงทำเรื่องโค่นรัฐเยี่ยงนี้ได้? 

ซ่งชูอีเอ่ย  ว่ากันว่า…ก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ฉินกงอยู่ที่นี่ ท่านสามารถถามให้ชัดเจนได้ 

อิ๋งซื่อชิงเอ่ยปากก่อน  ความวุ่นวายในปาสู่ดำเนินมาเกือบร้อยปีแล้ว ระยะหลังนี้ก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นการกระทำของซ่งจื่อหรือ? ต้าฉินของข้าสงบความวุ่นวายของเจี๋ยโจ้ว[1] ท่านกล่าวเช่นนี้ กำลังสงสัยว่ารัฐฉินของข้ามีแผนการอื่นในใจรึ? 

ไม่เพียงแต่อธิบายแต่ยังสวนกลับจนหงายท้อง

อู๋จี้ไร้คำพูดไปชั่วขณะหนึ่ง

ศิษย์ใหญ่แห่งสำนักม่อที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือเอ่ยขึ้น  กลับไปที่ประเด็นเดิม ข้ารู้สึกว่าเซียงจื่อมีความเห็นที่ดีมาก พวกข้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแนวคิดกบฏที่มาจากหกรัฐในซานตงเป็นฝีมือของซ่งหวยจิน ทว่าซ่งหวยจินก็ไม่มีหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ว่าไม่ใช่ฝีมือของตัวเองเช่นกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็อธิบายให้ใต้หล้าใต้เข้าใจเถิด? 

[1] เจี๋ยโจ้ว ตามตำนานเล่าว่า เจี๋ย ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์เซี่ย และ โจ้ว เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซางต่างก็เป็นเผด็จการที่ปกครองโดยการกดขี่ข่มเหง

 

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing

นิยายแปลรักย้อนยุคสุดเข้มข้นแนวกลยุทธ์สงคราม! อีกหนึ่งผลงานจากผู้เขียน ‘นิติเวชหญิงแห่งต้าถัง’

‘ซ่งชูอี’ อาจมิใช่สาวงาม หากเป็นกุนซือหญิงผู้กุมชะตาชีวิตคนทั้งเมือง

นางเสาะหาสันติสุขท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีของเจ็ดมหานครรัฐ

ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาด นางสามารถเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง

ทว่าก็ยังพลั้งพลาดมอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้คนที่มิคู่ควร

และสิ้นลมอย่างน่าอนาถในวันที่นครถูกโจมตี!

แต่เหมือนสวรรค์มีตาให้โอกาสนางได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตอีกครั้งในวัยสิบห้า

ลิขิตให้นางได้พบกับเจ้าอี่โหลว องค์ชายหนุ่มตกอับกลางป่า ก่อนจะพลัดพรากให้จากกัน

ท่ามกลางไฟสงครามที่แสนสับสนวุ่นวายและการต่อสู้พลิกชะตาที่เคยล้มเหลว

ทั้งนางและเขา…ก็กลับได้มาพบกันอีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท