“เมื่อกี้นายยังพูดอยู่ว่าเมียนายไม่ร้าย เป็นไง กระจ่างหรือยังล่ะ” จูเต๋อซีหอบของวิ่งด้วยความเร็วสูง
“นายทำฉันซวยไปด้วยไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี นี่ถ้าฉันไม่เลือกคบเพื่อนผิด ดึกดื่นป่านนี้ฉันยังต้องมาวิ่งแบบนี้เหรอ”
สุ่ยเซียนหันไปมองผู้ชายสองคนที่วิ่งอยู่หลังรถแล้วรายงานสถานการณ์ให้เสี่ยวเชี่ยนทราบ
“ฉันเห็นสองคนนั้นยังเถียงกันได้ แสดงว่าพลังเหลือเฟือ”
“ได้ จะเอาให้เข็ด นั่งดีๆนะ ฉันจะเร่งความเร็ว~” เสี่ยวเชี่ยนเหยียบคันเร่ง ลมยามเย็นพัดโชยเข้ามาผ่านหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ คล้ายกับว่าได้หอบเสียงทะเลาะของสองคนนั้นมาด้วย
คู่รักที่เดินผิดทางได้ถูกเสี่ยวเชี่ยนลากกลับมาในทางที่ถูกต้อง เธอมองสุ่ยเซียน จากนั้นก็พูดออกมาจากใจ
“ตอนที่เธอเพิ่งกลับมาฉันก็ลังเลนะว่าจะช่วยเธอตัดสัมพันธ์ครั้งนี้ให้ขาดดี หรือปล่อยให้เธอมีหวังในความรักดี อย่างแรกจะช่วยให้เธอเติบโตไวขึ้น เธอจะเจ็บปวดชั่วคราว แต่หากเธอเดินออกมาได้ เธอจะกลายเป็นคนอย่างที่พ่อเธอต้องการได้ไวขึ้น”
“งั้นทำไมเธอถึงเลือกทำให้ฉันกับจูขี้บ่นสมหวังล่ะ” สุ่ยเซียนไม่สงสัยในคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนเลยแม้แต่น้อย คำไหนที่ประธานเชี่ยนพูดออกมาย่อมทำได้
“ถ้าฉันเป็นแค่จิตแพทย์ของเธอ ฉันจะเลือกบีบให้เธอเติบโต”
ก็เหมือนกับสุ่ยเซียนในชาติก่อนที่ได้แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ตอนที่พ่อป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย สุ่ยเซียนไม่ใช่คนไร้ความสามารถ แต่ความสามารถของเธอต้องถูกบีบคั้นออกมา แต่สุ่ยเซียนคนนั้นโดดเดี่ยวเกินไป
เสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางลืมสุ่ยเซียนในชาติก่อนได้เลย นอกจากเธอแล้วสุ่ยเซียนก็เหมือนไม่มีเพื่อนคนไหนอีก ถึงสุ่ยเซียนจะไม่ยอมรับว่าเสี่ยวเชี่ยนเป็นเพื่อน มองเป็นแค่จิตแพทย์คนหนึ่ง แต่เสี่ยวเชี่ยนคิดดูดีๆแล้ว ท่าทีของสุ่ยเซียนที่มีต่อเธอในชาติก่อนมันคือเพื่อนกันชัดๆ
“จากมุมมองของคนเป็นพี่สาว ฉันยอมเลือกให้ชีวิตเธอสมบูรณ์ขึ้นมาอีกหน่อย ให้เธอได้ลิ้มลองความรักที่เธอชอบ ให้ข้างกายเธอมีคนคอยเคียงข้าง ชีวิตแบบนี้อาจทำให้เธอเติบโตช้าหน่อย แต่ข้างกายเธอจะมีจูขี้บ่น มีฉัน หรือแม้แต่อวี๋หมิงหลางที่ช่วยเธอได้ยามจำเป็น แบบนั้นเธอก็จะไม่เหนื่อยมาก”
“เชี่ยนเอ๋อ พูดแบบนี้ฉันจะร้องอีกแล้วนะ”
“เด็กโง่ ร้องอะไรกัน ลืมแล้วเหรอ ตอนที่เธอมาฉันบอกกับเธอแล้ว ยามที่คนข้างกายเธอเสียหลักกันไปหมด ยามที่เธอไม่มีใครให้พึ่งพิงอีกแล้ว จำไว้ว่ายังมีพี่คนนี้อยู่อีกคน ฉันจะคอยอยู่ข้างหลังเธอเสมอ แต่ประเด็นคือจูขี้บ่นที่วิ่งตามรถอยู่ข้างหลังเอาชนะมันหมดแล้ว”
…
ชีวิตที่ตึงเครียดของเสี่ยวเชี่ยนได้ผ่อนคลายลงแล้ว
ทางการทหารส่งข่าวมาว่า ซ่งชิงอู๋พาอาเหม็ดกลับไปแล้ว ดูท่าทางคงไม่กลับมาอีกในช่วงนี้
เบื้องบนชื่นชมเป็นอย่างมากกับปฏิบัติการในครั้งนี้ของเสี่ยวเชี่ยน ถึงขนาดที่ผู้บัญชาการคนที่วิดีโอคอลรับปากไว้ว่า หน้าร้อนจะไปร่วมแสดงความยินดีในงานแต่งของเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางในนามส่วนตัว
เสี่ยวเชี่ยนแอบคิดแผนชั่วร้ายเอาไว้ จัดการเรื่องซ่งชิงอู๋ได้ยังไงเธอก็ต้องร้องขออะไรกับผู้บัญชาการหน่อย พอเจอผู้บัญชาการเธอก็ขอจริง แต่นี่เป็นเรื่องในภายหลัง
สุ่ยเซียนไปกับจูขี้บ่นแล้ว เธอนำเอกสารถือหุ้นตระกูลทังมาให้เสี่ยวเชี่ยน แล้วได้บทเรียนก่อนแต่งงานจากเสี่ยวเชี่ยนกลับไป บทเรียนนี้เพียงพอที่จะทำให้สุ่ยเซียนได้รับประโยชน์ไปตลอดชีวิต
ความรักของหลิวเหมยกับฟู่กุ้ยดำเนินต่อไปอย่างร้อนแรง ทุกวันจะคุยกันจนดึกดื่น หลิวเหมยกับฉิวฉิววางแผนเปิดโรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวร่วมกัน เดิมเสี่ยวเชี่ยนคิดจะช่วยเสนอความคิดเห็น แต่พอมีฟู่กุ้ยแล้วเธอก็ไม่มีบทบาทอีกต่อไป ฟู่กุ้ยอยากย้ายงานมา แต่ทำเรื่องย้ายต้องใช้เวลา ระหว่างนี้เขาจะมาหาทุกเสาร์อาทิตย์เพื่อช่วยหลิวเหมยจัดการเรื่องต่างๆ
นี่ก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้หม่าลุ่ยไม่อยากให้หลิวเหมยทำธุรกิจ กลัวว่าเธอจะเอาเงินมาลงทุนแล้วไม่ซื้อบ้าน แต่พอเป็นฟู่กุ้ยทุกอย่างก็กลับตาลปัตร
หลิวเหมยเพิ่งรู้ว่าที่ฟู่กุ้ยซื้อบ้านในตอนนั้นก็เพื่อตัวเธอ ในใจเธอเกิดความรู้สึกที่หลากหลาย ถ้าจะบอกว่าการที่หลิวเหมยอยากแต่งงานก่อนหน้านี้ก็เหมือนแค่หาหมั่นโถวมากินแก้หิว งั้นการปรากฏตัวของฟู่กุ้ยก็เหมือนกับอาหารมื้อใหญ่ของสามเหล่าทัพ ไม่เพียงแต่จะอิ่มท้องยังเป็นของดีเสียด้วย
ฟู่กุ้ยบอกไว้อย่างชัดเจนว่าคบกันก็เพื่อเป้าหมายแต่งงาน ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายก็เจอกันแล้ว บ้านฟู่กุ้ยก็ซื้อแล้วหลิวเหมยไม่ต้องซื้อ หลิวเหมยไปตั้งใจเปิดโรงเรียนได้เต็มที่ ถ้าประธานเชี่ยนไม่ห้ามไว้ฟู่กุ้ยคงร่วมลงทุนด้วย ประธานเชี่ยนรู้สึกว่าหลิวเหมยกับฉิวฉิวสร้างกิจการของตัวเองเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือสำเร็จสองคนนี้ก็ได้ลองสักครั้ง ถ้าฟู่กุ้ยเข้ามาเอี่ยวด้วยจะวุ่นวาย
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังห้ามความตั้งใจของฟู่กุ้ยไม่ได้ เขาแทบเหมาทำทุกอย่าง ช่วยหาสถานที่ ต่อรองราคา หาทีมตกแต่ง ฉิวฉิวกับหลิวเหมยแทบไม่ต้องเปลืองแรง เสี่ยวเชี่ยนเห็นมีคนอยากช่วยเต็มที่ก็เลยไม่เข้าไปยุ่งด้วย หันไปตั้งใจทำบ้านใหม่ของตัวเองดีกว่า
เธอวุ่นอยู่กับบ้านของเธอ อวี๋หมิงหลางทำงานของตัวเองไปช่วยอะไรไม่ได้ หลังจากที่อาเหม็ดถูกซ่งชิงอู๋พากลับไปแล้ว ภารกิจของอวี๋หมิงหลางก็จบลง
เวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆเขาโทรมาหาเสี่ยวเชี่ยนแค่ครั้งเดียว ส่วนเวลาอื่นไม่รู้ว่ายุ่งอะไร ล้วนเป็นความลับทั้งนั้น
เขาไปทำงานอยู่ข้างนอก เธอก็วุ่นอยู่กับบ้าน ถ้ามีเรียนก็ไปเรียน วันไหนไม่มีเรียนก็มาคุมคนตกแต่งบ้าน ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปสิบวัน
ยังไม่ทันจะเข้าหน้าร้อนอย่างเป็นทางการอากาศก็ร้อนจนแทบทนไม่ไหว
เสี่ยวเชี่ยนแทบอยากจะนอนตากแอร์อยู่แต่ในบ้าน แต่ในความเป็นจริงเธอต้องไปมหาวิทยาลัย
เดี๋ยวก็จะปิดเทอมแล้ว เถ้าแก่ใหญ่หาที่ฝึกงานให้ลูกศิษย์ที่บ้านอยู่ในเมืองนี้ไว้แล้ว มีแค่ประธานเชี่ยนคนเดียวที่ไม่ต้อง
ซึ่งก็ทำให้คนอื่นๆคิดกันไปต่างๆนานา หรือเฉินเสี่ยวเชี่ยนลูกรักของเถ้าแก่ใหญ่จะตกกระป๋องแล้ว
พวกเขาไม่รู้หรอกว่า เถ้าแก่ใหญ่รู้ว่าปิดเทอมภาคฤดูร้อนเสี่ยวเชี่ยนจะกลับไปแต่งงาน เลยไม่อยากให้เรื่องงานไปรบกวนเวลา ช่วงหลายปีมานี้เสี่ยวเชี่ยนขยันแค่ไหนล้วนอยู่ในสายตาเถ้าแก่ใหญ่ ปิดเทอมนี้จึงให้เสี่ยวเชี่ยนได้ผ่อนคลายบ้าง
เถ้าแก่ใหญ่กับเสี่ยวเชี่ยนไม่พูดอะไร คนอื่นก็ไม่มีใครรู้ ตอนนี้เถ้าแก่ใหญ่จัดแจงหางานให้ลูกศิษย์ที่ต้องดูแลหมดแล้ว เหลือแค่ประธานเชี่ยนกับรุ่นพี่สาวแสบก้นเท่านั้น บรรยากาศแบบนี้ดูจะแปลกๆ
“ประธานเชี่ยนไปกินข้าวด้วยกันไหม” อาข่าเข้ามาหาเสี่ยวเชี่ยนหลังเลิกเรียน ช่วงหลายวันมานี้เธอค่อนข้างอึดอัดมาก พอทนไม่ไหววันนี้จึงติดต่อไปถามบอสว่าเอาไงดี บอสตอบกลับมาแค่สั้นๆ
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางกลับมาจากทะเลก็รู้แล้วว่าอาข่าถูกคนสั่งให้มาตามดูเสี่ยวเชี่ยน อาข่าเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองถูกจับได้แล้วก็ตอนที่บอสบอก
เธอได้แต่รอให้เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางมาคิดบัญชี และก็คิดไว้แล้วว่าจะยอมรับผิดกับเสี่ยวเชี่ยนยังไง
แต่นึกไม่ถึงว่าเสี่ยวเชี่ยนจะนิ่ง เล่นสงครามจิตวิทยากับเธอ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น
และเพราะประธานเชี่ยนมีท่าทีนิ่งเฉยแบบนี้ทำให้อาข่ารู้สึกกระวนกระวาย ช่วยไม่ได้ ต้องขอความช่วยเหลือจากบอส ซึ่งบอสก็เสนอมาว่า
ให้ยอมรับผิด
ตอนที่อาข่าเห็นข้อความนี้เกือบคิดไปแล้วว่าตำแหน่งนักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติของบอสเธอนั้นได้มาจากการใช้เงินซื้อมา