“ทำไมบทจะลาออกก็ลาออกเล่า ทำไมไม่ปรึกษาฉันก่อน ก่อนหน้านี้นายบอกอยากเป็นทหารไปอีกสักระยะไม่ใช่เหรอ ทำไมอยู่ๆก็ออกมา เพราะฉันเหรอ”
งั้นไม่เท่ากับเธอเป็นตัวทำลายความฝันของเขาเหรอ
“ดูคุณสิ ชอบทำเรื่องง่ายๆให้ยุ่งยาก ที่ผมบอกอยากเป็นทหารอีกสักระยะนั่นมันตอนเราเพิ่งรู้จักกันไม่ใช่เหรอ ดูจากความต้องการของครอบครัวเราสองคน พอพวกเราแน่ใจในความสัมพันธ์แล้วก็ควรให้ผมกลับมา เงื่อนไขในชีวิตคุณผมรู้ตั้งแต่แรกแล้ว พ่อคุณก็เคยมาคุยกับผม ผมเข้าใจได้”
“พ่อฉันทำแบบนั้นได้ยังไง ฉันจะกลับไปคุยกับเขา”
“มันเรื่องตั้งหลายปีก่อนแล้ว คุณจะไปคุยกับเขาตอนนี้ทำไม อีกอย่างผมก็เห็นด้วยทุกอย่าง ผมคุยกับพ่อตาไว้ว่าขอเวลาผมสองปีได้ไหม จะว่าไปผมก็เห็นแก่ตัว บอกว่าขอสองปีแต่นี่ลากมาสี่ปี ตอนนี้สุขภาพของพ่อตาก็แย่ลงไปทุกวัน ถ้าผมยังจะนั่งมองคุณเหนื่อยเพื่อครอบครัวคนเดียวได้อีกผมยังจะเป็นลูกผู้ชายไหม”
เขารู้ว่าตัวเองเลือกผู้หญิงแบบไหนมาเป็นคู่ครอง และก็รู้ว่าถ้าเลือกเธอแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ที่เขาอยู่ในกองทัพมาได้นานขนาดนี้ก็นับว่ากำไรมากพอแล้ว
“นับจากนี้ไปผมจะตัวติดกับคุณแล้ว เรื่องงานเลี้ยงต่างๆยกให้ผมได้เลย ผมมีหน้าที่ทำตามคุณมีหน้าที่บริหาร พวกเราสองคนสามีภรรยาร่วมมือกันทำธุรกิจ ถึงผมจะออกจากกองทัพแล้ว แต่เปลี่ยนสภาพแวดล้อมก็สร้างคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติได้เหมือนกัน ทำธุรกิจเพื่อเพิ่มGDPให้ประเทศ คิดๆดูหน้าที่ของผมก็ไม่น้อยไปกว่าตอนอยู่กองทัพเลยนะ”
“แต่นายไม่รู้สึกเสียดายเหรอ” สุ่ยเซียนรู้ว่าเขาผูกพันกับกองทัพมาก
“ไม่มีอะไรน่าเสียดายอีก ผมเอาเลือดเนื้อและความเลือดร้อนของผมในวัยรุ่นอุทิศให้ประเทศชาติไปแล้ว กองทัพสร้างความทรงจำดีๆให้กับผมตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา ถึงผมจะอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ผมไม่เสียใจที่ออกมา ในกองทัพมีคนเก่งๆมากมาย ขาดจูเต๋อซีไปคนก็ยังมีคนเก่งที่ขึ้นมาแทนที่ผมได้ แต่ผมรู้ว่าผู้หญิงที่ชื่อทังสุ่ยเซียนต้องการผม ถ้าผมไม่อยู่ ตรงนี้ของเธอจะว่างเปล่า ดังนั้นผมก็เลยกลับมา”
เขาเอามือวางตรงตำแหน่งหัวใจของสุ่ยเซียน น้ำตาของเธอหยดลงบนหลังมือของเขา
ซาบซึ้ง มีความสุข แล้วก็ซาบซึ้งและมีความสุข
สุ่ยเซียนจับมือเขาไว้ ไม่รู้ควรพูดอะไรถึงจะแสดงความรู้สึกในเวลานี้ของตัวเองได้
“เต๋อซี ฉันกลัวว่าฉันจะทำให้นายผิดหวัง”
เขาทุ่มเทให้กับเธอมาก ทิ้งงานที่เขารักเพื่อกลับมาช่วยเธอ กลับมาตอนที่เธอต้องการเขาที่สุด ไม่มีเรื่องไหนจะอบอุ่นใจได้เท่านี้อีกแล้ว
“ไม่เป็นไรเลย นี่เป็นสิ่งที่ผมเลือกแล้ว คุณไม่ต้องรู้สึกกดดัน คุณรู้ไหม ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้คุณกดดันตัวเองมากเกินไป”
“เหรอ”
“ตรงนี้ของคุณชอบขมวดเข้าหากัน” เขาชี้ไปที่คิ้วของเธอ สุ่ยเซียนเอามือไปลูบ เหมือนจะจริงด้วยแฮะ
“ฉันชอบกลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดีพอ ฉันรู้สึกว่าตัวเองยังห่างจากคำว่านักธุรกิจอีกเยอะเลย”
“คุณทำได้ดีมากแล้ว พ่อตาเคยคุยกับผม เขารู้สึกพอใจการทำงานของคุณในตอนนี้มาก สำหรับผู้หญิงที่อยู่ในวัยอย่างคุณ คุณทำได้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ”
นี่เป็นความจริง
สุ่ยเซียนมียีนของนักธุรกิจโดยกำเนิด บวกกับความฉลาดของตัวเธอเอง แถมยังได้ทังต้าเย่เป็นคนสอนงานให้ เสี่ยวเชี่ยนคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง ผู้หญิงที่เพิ่งจะยี่สิบต้นๆคนนี้ถึงจะยังมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง แต่กลับไม่เคยเกิดปัญหา แค่นี้ก็สุดยอดมากแล้ว
“ฉันรู้สึกว่าตัวเองยังเก่งไม่พอ อย่างน้อยก็สู้เชี่ยนเอ๋อไม่ได้เลยสักนิด ฉันรู้สึกว่าความเร็วในการเติบโตของฉันช้ากว่าความชราของพ่อ” ให้คนที่เคยผ่าตัดมะเร็งต้องมากลุ้มเรื่องงานธุรกิจของครอบครัวและเธอกลับเรียนรู้งานช้า สุ่ยเซียนรู้สึกกดดันมาก
นอกจากเสี่ยวเชี่ยน คนที่เธอจะพูดคุยระบายความในใจได้ก็มีแค่จูเต๋อซี อยู่ต่อหน้าสองคนนี้เธอไม่ต้องแสร้งทำเป็นเก่ง ปล่อยตัวเองให้เป็นเหมือนคนทั่วไปได้ ทำตัวงอแงได้
“ดูสิ คุณเอาเฉินเสี่ยวเชี่ยนมาเป็นเป้าหมายในใจอีกแล้ว ทำไมต้องเทียบกับเขาให้ได้ล่ะ”
“ฉันแค่รู้สึกว่าถ้าฉันวิเคราะห์ทุกคนได้กระจ่างอย่างเชี่ยนเอ๋อได้ บางทีฉันอาจจะทำได้ดีกว่านี้”
“เธอเป็นฉันไม่ได้ฉันใด ฉันก็เป็นเธอไม่ได้ฉันนั้น คนที่นิสัยต่างกันไม่มีเหตุผลให้นำมาเปรียบ ถ้าเธอเป็นอย่างฉันก็เอาผู้ชายอย่างจูขี้บ่นไม่อยู่หมัดหรอก ใช่ไหม จูขี้บ่น”
ไม่รู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนกลับมาตั้งแต่เมื่อไร ข้างกายเธอมีอวี๋หมิงหลางยืนอยู่ สังเกตดูดีๆหน้าด้านหนึ่งของอวี๋หมิงหลางแดงเล็กน้อย
คนหน้าไม่อายคิดจะแอ้มประธานเชี่ยนบนโขดหิน สุดท้ายประธานเชี่ยนทนไม่ไหวฟาดเข้าหน้าไปหนึ่งทีรู้เรื่อง
“ฮ่าๆ ใช่ ผมไม่กล้าเล่นกับผู้หญิงนิสัยอย่างคุณหรอก ยังไงซะผมก็หน้าไม่หนาเท่าอวี๋หมิงหลาง” จูขี้บ่นเห็นอวี๋หมิงหลางโดนตบจนหงอ ทำได้แค่เก๊กหน้าเท่ห์ทำเป็นวางมาด จูขี้บ่นเห็นแล้วสะใจ
เจอคนปราบจอมเผด็จการแล้ว เห็นตอนอยู่ในค่ายชอบทำเป็นได้ใจทรมานคนอื่นต่างๆนานา มาดูสภาพหงอตอนนี้สิ สะใจเป็นบ้า
“จากประสบการณ์การวิเคราะห์บุคลิกคนหลายปีของฉัน บุคลิกของพวกเธอสองคนเติมเต็มซึ่งกันและกัน สุ่ยเซียนมีอำนาจ จูขี้บ่นมีความสามารถ สุ่ยเซียนทำงานบริหารได้ ส่วนจูขี้บ่นเป็นฝ่ายดำเนินการ พวกเธอสองคนถ้าร่วมแรงร่วมใจแล้วไม่เกิดปัญหาก็จะรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงได้ แต่ติดอยู่หน่อย จากจุดเด่นนิสัยของพวกเธอ เวลาที่เจอแรงกดดันหรืออะไรแย่ๆ ความสัมพันธ์ของพวกเธอก็จะอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยง ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่สุ่ยเซียนส่งข้อความไปบอกเลิกไม่ยอมไปเผชิญหน้าตรงๆ จนสุดท้ายเกิดเป็นความเข้าใจผิดยกใหญ่ เกือบถูกอาเหม็ดงาบไปกินแล้ว”
คำพูดนี้วิเคราะห์ได้มืออาชีพมาก เป็นมุมมองของจิตแพทย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ สุ่ยเซียนเห็นด้วย เป็นแบบนั้นจริงๆ
มิน่าเชี่ยนเอ๋อถึงให้เธอโทรไปโกหกว่าท้อง ทั้งที่จริงๆนี่ก็เป็นวิธีรักษาแบบหนึ่ง เอาปัญหาของเธอกับเขามาขยายให้ใหญ่ขึ้น ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งต่อไปจะได้ไม่เกิดปัญหาแบบนี้อีก
“เดี๋ยวนะ—คุณส่งข้อความไปบอกเลิกผมงั้นเหรอ” จูเต๋อซีเพิ่งจะรู้ว่าตัวเอง ‘ถูกบอกเลิก’
เรื่องตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ข้อความนั่นหายไปแล้ว…ดังนั้นไม่นับ” สุ่ยเซียนร้อนตัว เธอจะไปรู้ได้ไงล่ะว่าเขาคิดลาออกนานแล้ว
“อยากคิดบัญชีก็รอกลับไปก่อนค่อยคิด ไม่ว่านายจะโกรธแค่ไหนก็ต้องเข้าใจความรู้สึกของสุ่ยเซียนด้วย จูเต๋อซีนายอย่าคิดว่านายไม่ผิดเลยนะ ถ้านายบอกสุ่ยเซียนเรื่องแผนชีวิตตั้งแต่แรก สุ่ยเซียนก็คงไม่คิดมากแบบนี้ ดังนั้นจะโทษใครไม่ได้หรอก” เสี่ยวเชี่ยนวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา
จูเต๋อซีนิ่งเงียบ เขายอมรับว่าเสี่ยวเชี่ยนพูดถูก
“สุ่ยเซียนเธอเป็นโรคเบื่ออาหาร ดังนั้นนิสัยของเธอจะชอบคิดมากเป็นพิเศษเมื่อไปถึงจุดหนึ่ง ความกังวลนี้ถ้านำไปใช้ในเรื่องการทำงานจะทำให้เธอคิดรอบคอบมากขึ้น จะช่วยให้งานก้าวหน้า แต่ห้ามนำมาใช้กับเรื่องความรักเด็กขาด จำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ดี ต่อไปถ้าพวกเธอเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก—”
ทุกคนต่างกำลังรอว่าสุดยอดจิตแพทย์คนนี้จะแนะนำอะไร พวกเขาเห็นเสี่ยวเชี่ยนผุดรอยยิ้มแบบนักธุรกิจหน้าเลือดออกมา