ถึงซ่งชิงอู๋จะเพิ่งสัมผัสกับสามีภรรยาคู่นี้ได้ไม่นาน แต่เขาดูออกว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา
ซ่งชิงอู๋เปิดประตูเตรียมจะออกไป แล้วเขาก็เห็นอาเหม็ดยืนถือช่อดอกไม้อยู่หน้าประตู
“เบบี๋ ผมมา—เอ๊ะ ทำไมนายมาอยู่ที่นี่” พอเห็นซ่งชิงอู๋อาเหม็ดก็ทำหน้าช็อคหนัก แถมยังถอยหลังไปหลายก้าว
นี่มันซ่งชิงอู๋จอมโหด จอมเจ้าเล่ห์ มือขวาของพี่ชายเขาไม่ใช่เหรอ
“ผมมีเรื่องมาปรึกษาหมอเฉิน ไม่เจอกันนานนะครับคุณชายน้อย” ซ่งชิงอู๋มองดอกไม้สีแดงสดในมืออาเหม็ด จากนั้นแววตาก็หม่นลง
“นายมาหาสามีฉันประลองหมัดมวยเหรอ วันนี้เขาอยู่บ้านพอดี” เสี่ยวเชี่ยนยิ้มตาหยีพลางพูด
อาเหม็ดถอยหลังออกไปอีก เขายังจำได้ที่ตอนนั้นตัวเองแสร้งทำเป็นเท่ห์แล้วถูกอวี๋หมิงหลางกระชากหน้ากากอย่างไร
“ชะ ช่างเถอะ ผมกลับก่อนดีกว่า ไว้ค่อยโทรหานะ” อาเหม็ดยัดดอกไม้ให้เสี่ยวเชี่ยน ในใจนึกสงสัย ทหารสมัยนี้มีเวลาว่างเยอะขนาดนี้เลยเหรอ
เสี่ยวเชี่ยนยัดดอกไม้ให้ซ่งชิงอู๋ที่ตอนนี้สีหน้าดูแย่มาก แล้วกระซิบพูดแบบที่ได้ยินกันสองคน
“นัดเขาไปกินเหล้าสิ ถ้าวันนี้ได้ผล พรุ่งนี้ก็พาเขากลับไปเลย”
“ผมจะเอาเหตุผลอะไรมาพาเขากลับ”
“เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เล่นดอกไม้ไฟในพื้นที่ชุมชน”
“ยังมีอีกเหตุผลที่ร้ายแรงกว่า ต้องการทำลายชีวิตคู่ของทหาร อันนี้หนักสุด ถ้าเป็นที่นี่อาจต้องขึ้นศาลทหาร” อวี๋หมิงหลางเดินมาพลางแกว่งมีด พอเห็นแสงที่สะท้อนจากคมมีด ซ่งชิงอู๋ก็เข้าใจแล้ว
ถ้ากินได้แล้วยังต้องการเหตุผลอะไรอีก สำหรับMแล้ว ไม่มีเหตุผลอาจจะดีกว่า
“ทางที่ดีคุณภาวนาไว้เถอะให้สิ่งที่คุณพูดเป็นจริงทั้งหมด”
ซ่งชิงอู๋พูดจบก็รีบวิ่งตามเข้าลิฟท์
เสี่ยวเชี่ยนปิดประตู จากนั้นก็นั่งบนโซฟารินชาให้ตัวเอง
จากมุมมองของเธอ เคสของซ่งชิงอู๋กับอาเหม็ดใกล้จบแล้ว แต่เธอรู้ว่าลิฟท์ที่กำลังลงไป มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของสองคนนั้น
“ห้าปี” อวี๋หมิงหลางแซวเสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนยกแก้วชาขึ้นมาจิบดุจนางพญา “มันเป็นการล้างสมองทางอ้อม คล้ายกับการสาปแช่งเรื่องการอยู่ไฟ ในห้าปีนี้เขาอาจเกิดเรื่องขึ้นหรืออาจไม่เกิด แต่ถ้ามีอะไรให้เขาเอะใจเล็กน้อยเขาไม่มีทางกล้ามาวุ่นวายแน่ ไม่งั้นธุรกิจใหญ่แบบพวกเขามีเหรอจะยอมหยุดง่ายๆ”
“ดังนั้น…คุณก็เลยใช้วิธีแบบดูดวงหลอกเจ้าพ่อค้าอาวุธสงคราม” ในที่สุดอวี๋หมิงหลางก็เข้าใจแล้ว ทักษะการหลอกต้มคนของเมียเขานับวันจะยิ่งคล่องขึ้นเรื่อยๆ
“จะใช้วิธีไหนหลอกไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือได้ผลเป็นพอ แน่นอนว่าวิธีแบบนี้เหมาะแค่กับสภาพแวดล้อมและกลุ่มคนแบบจำเพาะเจาะจง เยาวชนห้ามลอกเลียนแบบ หากเลียนแบบได้ถูกลุงทหารหาญของประเทศเราจับแน่”
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้าจริงจังพลางดันหน้าอวี๋หมิงหลางที่ยื่นเข้ามาออก
“ตัวมีแต่กลิ่นเนื้อแพะ รีบไปเสียบให้เสร็จๆเลยไป ทำปาร์ตี้ตอนเย็นล่าช้าฉันจะจับนายย่างแทนแพะ”
“ผมแค่รู้สึกว่าคุณต้องอธิบายกับผมหน่อยว่าอะไรคือSแบบหลบซ่อน”
อย่าคิดว่าเขาอยู่ข้างนอกแล้วจะไม่ได้ยินบทสนทนาภายในห้อง ที่เห็นว่าเงียบสงบล้วนแสร้งทำทั้งนั้น เมียเขาอยู่กับบุคคลอันตรายจะให้เขานั่งอยู่เฉยไม่สนใจได้ยังไง
ที่แสดงออกว่าไม่สนใจก็เพราะว่าระหว่างมาที่บ้านเขาตกลงกับเสี่ยวเชี่ยนเอาไว้ ในความเป็นจริงอวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนต่างพยายามทำเป็นนิ่งให้ได้มากที่สุด แสร้งทำเป็นไม่แคร์ ทั้งๆที่เกร็งกันสุดๆ
ตอนนี้ซ่งชิงอู๋ติดเบ็ดแล้ว ทั้งสองคนจึงโล่งอก
“อะแฮ่ม นั่นฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อยเพื่อให้การรักษาเป็นผล” เสี่ยวเชี่ยนเริ่มสายตาหลุกหลิก
“จริงเหรอ”
เขามองเธออย่างสงสัย เสี่ยวเชี่ยนแสร้งทำเป็นพยักหน้าจริงจัง
“ก็ได้ ผมไปหั่นเนื้อแพะต่อละ” จะได้ถือโอกาสโทรรายงานความคืบหน้าให้ผู้บัญชาการทราบด้วย
เสี่ยวเชี่ยนแอบยิ้ม ปรากฏว่าอยู่ๆเขาก็หันหลังกลับมาเห็นสีหน้าได้ใจของเสี่ยวเชี่ยน
“ไว้ครั้งหน้าพวกเราลองกันบ้างเป็นไง”
“ไปเลย นายไม่ได้เป็นเยอะเหมือนซ่งชิงอู๋ ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ต้องใช้อุปกรณ์”
“อ่อ…ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ก็ได้เหรอ” ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาอีกแล้ว
“ไปๆๆ รีบไปเลย” เสี่ยวเชี่ยนคว้าหมอนอิงเขวี้ยงใส่
ดูท่าภารกิจที่ยากแสนยากของอวี๋หมิงหลางจะถูกพวกเขาสองสามีภรรยาจัดการได้แน่แล้ว วิธีที่ใช้อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่มันก็สำเร็จ
ภารกิจสำเร็จแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนเสี่ยวเชี่ยนจะไม่ได้รู้สึกดีใจเท่าไร
นับตั้งแต่ซ่งชิงอู๋ปรากฏตัว รับรู้ได้ถึงอันตราย เสี่ยวเชี่ยนคิดหาแผนรับมือจนถึงลงมือจัดการได้สำเร็จ เธออยู่ในสภาวะที่พร้อมสู้เสมอ แต่เวลานี้เรื่องเสร็จสิ้นแล้วในใจเสี่ยวเชี่ยนกลับรู้สึกว่างเปล่า
หลังจากที่หยอกล้อกับอวี๋หมิงหลางแล้ว ความว่างเปล่าในจิตใจก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
เธอแน่ใจว่าการวิเคราะห์ของตัวเองไม่ผิดพลาด ผลลัพธ์แบบนี้ไม่ว่าจะต่อประเทศหรือต่อซ่งชิงอู๋ล้วนส่งผลดีหมด ถ้าตัดเรื่องนิสัยของซ่งชิงอู๋ไป เอาแค่เรื่องที่เขามาหาเธอเพื่อขจัดข้องสงสัย เธอก็ได้ให้คำตอบไปแล้ว ในมุมมองของจิตแพทย์อย่างเธอก็ทำได้ไม่มีที่ติอะไร
ในมือยังมีกลิ่นดอกกุหลาบหลงเหลืออยู่ เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงอาเหม็ด
อาเหม็ดไม่ใช่คนดีเรื่องนี้แน่ใจได้ เขามีความคิดไม่ดีทั้งต่อเธอและสุ่ยเซียนซึ่งเรื่องนี้ก็แน่ใจได้เหมือนกัน การที่เธอวางแผนเล่นงานอาเหม็ดก็ย่อมเป็นสิ่งสมควรแล้ว แต่ทำไมในใจถึงรู้สึกอึดอัดแบบนี้
เสี่ยวเชี่ยนนั่งเหม่ออยู่ตรงโซฟาสักพัก รู้สึกอารมณ์ขุ่นมัวอยากเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ แต่กลับเห็นมีคนแย่งอ่างล้างมืออยู่ก่อนแล้ว อวี๋หมิงหลางกำลังจริงจังกับการล้างมือ
เพิ่งหั่นเนื้อแพะเสร็จ มือมีแต่กลิ่นแพะ ต้องล้างอยู่หลายรอบถึงจะสะอาด เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาตั้งใจล้างมากทำให้ความอยากในการล้างมือของเธอลดน้อยลง
“ผมเคยเล่าให้คุณฟังตอนที่ผมยิงคนครั้งแรกไหม” อวี๋หมิงหลางล้างมือพลางถามเธอ
“จำได้ว่าตอนที่เพิ่งรู้จักกันนายเคยบอกว่านายถูกพาไปดูนักโทษถูกยิงประหาร กลับมากินเต้าหู้แล้วก็อ้วก ต่อมาก็ดีขึ้น”
“นั่นผมดูคนอื่นยิง ตอนผมยิงเองครั้งแรกเป็นเรื่องหลังจากที่ผมเข้าหน่วยรบพิเศษได้สองเดือน หน่วยผมเข้าป่าไปล้อมจับนักโทษที่หนีคดีฆ่าคนที่เป็นคดีใหญ่มาก นักโทษคนนั้นจับเด็กผู้หญิงเป็นตัวประกันด้วย”
“เรื่องนี้นายไม่เคยเล่า”
อวี๋หมิงหลางสะบัดน้ำบนมือ “ไป ผมจะเล่าประวัติความขายหน้าให้ฟัง”
อวี๋หมิงหลางเป็นวีรบุรุษที่สร้างตำนานไว้มากมาย เสี่ยวเชี่ยนรู้จักเขาตั้งแต่ชาติก่อนมาจนถึงชาตินี้ที่ได้ทำความรู้จักเขามากขึ้น เขามีแต่เรื่องที่ประสบความสำเร็จ ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องขายหน้า ดังนั้นเธอจึงตั้งใจฟังมาก
“ก่อนหน้านั้นก็มีไปทำภารกิจหลายครั้ง แต่ไม่ได้ยิงใคร อันที่จริงตอนนั้นผมก็แอบรู้สึกว่าตัวเองโชคดีนะ ถ้าเป็นแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆไม่ต้องยิงใครก็ดี คุณว่าผมแย่ไหม”
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า เธอเข้าใจความรู้สึกของเขา ถ้าเขาชอบระเบิดหัวคนสิผิดปกติ คนปกติไม่คิดอยากยิงใครหรอก
“แต่ทุกคนต้องมีครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้น ผมก็ด้วย วันนั้นน่ะ ผมกับสมาชิกในทีมไล่ล่านักโทษเข้าไปในภูเขา นักโทษคนนั้นฆ่าครอบครัวหนึ่งไปห้าคนแถมยังจับเด็กผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องด้วยไป ทีมผมหาเขาเจอก่อน เขายกมีดขึ้นมาจะฟันคอเด็กคนนั้น ผมเลยยิง”
“ตอนนั้นรู้สึกยังไง”