“มักจะมีเรื่องบางอย่างหรือคนบางคนที่ทำให้เรารู้สึกว่ารู้ทั้งรู้ว่ามันผิดแต่ก็ยังเดินหน้าต่อ นี่แหละคือพลังแห่งรัก ผมเป็นแบบนั้น จูขี้บ่นก็ด้วย มาเถอะเมียจ๋า ขอลูบๆคลำๆหน่อยนะ~”
ก็ได้ เอาเรื่องหน้าไม่อายแบบนี้พูดให้มีหลักการปรัชญาได้ ก็มีแค่นายนี่แหละอวี๋เสี่ยวเฉียง นายชนะแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนแสร้งทำเป็นขัดขืนเล็กน้อย
เรื่องที่คนนอกอย่างเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่สุ่ยเซียนกลับไม่เข้าใจ
นับตั้งแต่วินาทีที่จูเต๋อซีเข้าไปกอดเธอ เธอก็อยากจะดิ้นออก—ก็แค่คิดเท่านั้น ในความเป็นจริงแรงมือน้อยๆของเธอก็แค่ผลักเขาอย่างแผ่วเบา
สุดท้ายก็ถูกเขากอดแน่น
“ปล่อยฉันนะ”
“ผมไม่ปล่อย”
“ไม่ได้ยินที่ฉันบอกเหรอ ฉันท้องแล้ว”
“ถ้าคุณท้องจริงผมก็จะยอมเลี้ยง แต่ผมรู้ว่าคุณจงใจทำให้ผมโมโห คุณไม่ได้ท้อง”
“นายบ้าไปแล้วเหรอ เลี้ยงลูกคนอื่นเนี่ยนะ” สุ่ยเซียนมองหน้าเขาด้วยความตกใจ
“ผมไม่ได้บ้า ผมรู้จักคุณดี ผมรู้ว่าคุณไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย คุณไม่มีทางไปคบกับผู้ชายอื่นทั้งๆที่มีผมอยู่ในใจหรอก ถ้าคบกันจริงก็แสดงว่ามีความจำเป็นบางอย่าง”
“โง่หรือไง” สุ่ยเซียนอยากร้องไห้อีกแล้ว ผู้ชายคนนี้สมกับที่เป็นคนทำหน้าที่ปรับทัศนคติมาหลายปี ประโยคเดียวเอาอยู่ พูดเสียจนเธอรู้สึกทั้งอบอุ่นใจ ปวดใจ แล้วก็รู้สึกผิดต่อเขา
ไม่น่ารับปากเล่นเกมพิเรนทร์ของเชี่ยนเอ๋อเลย รู้สึกแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับเต๋อซี
“ผมไม่ได้โง่ ไอคิวของผมพอๆกับอวี๋หมิงหลาง” จูเต๋อซีช่วยเช็ดน้ำตาให้เธอพลางพูดอย่างจริงจัง
“…ขี้โม้” สุ่ยเซียนอยากขำทั้งน้ำตา พอเห็นเธอยิ้ม จูเต๋อซีจากที่เครียดๆก็ผ่อนคลายลง
“ผมไม่ได้โม้ ผมก็แค่เล่นใหญ่นิดหน่อยบนพื้นฐานของความเป็นจริง”
บรรยากาศที่เดิมกำลังตึงเครียดกลับดูสบายขึ้นเพราะคำพูดของเขาประโยคเดียว สุ่ยเซียนอยากหัวเราะออกมา แต่ก็รู้สึกว่าถ้าหัวเราะออกมาตอนนี้ดูไม่ค่อยเหมาะ เธอกำลังจริงจังกับการบอกเลิกอยู่นะ…
จู๋เต๋อซีเห็นสีหน้าเป็นกังวลของสุ่ยเซียน เขามองเธอด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับโอบกอดเธอไว้ในอ้อมอก
“คุณเป็นแบบนี้แล้วจะให้ผมวางใจได้ยังไง”
“พ่อก็บอกว่าฉันยังเด็กเกินไป ชอบแสดงความรู้สึกออกมา พ่อยังบอกอีกว่าถ้าฉันเป็นแบบเชี่ยนเอ๋อก็คงดี” บางครั้งสุ่ยเซียนเองก็กลุ้ม ทำไมตัวเองอยู่ในครอบครัวแบบนี้แต่กลับไม่มีบุคลิกของความเป็นนักธุรกิจอย่างที่ควรมี เธอพยายามมาตลอด ข้างกายเธอมีประธานเชี่ยนวัยเดียวกันที่เธอไม่มีทางทำตัวเหนือกว่าได้เลย เมื่อเทียบกันแล้วสุ่ยเซียนมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีอะไรโดดเด่น
“เขาก็คือเขา คุณก็คือคุณ ผมยอมรับว่าเขาเก่งมาก แต่ในใจผมคุณเก่งกว่า อย่าเอาตัวเองไปเทียบกับเขาสิ— พูดถึงเฉินเสี่ยวเชี่ยน เดี๋ยวผมจะไปคิดบัญชีกับอวี๋หมิงหลาง เขาปล่อยให้เมียตัวเองมาล้อเล่นกับคุณแรงแบบนี้ ทำให้คุณเสียใจ ผมต้องไปลงกับอวี๋หมิงหลางเท่านั้นถึงจะเอาคืนให้คุณได้”
จูเต๋อซีทำท่าจะไป สุ่ยเซียนอยากห้ามเขาแต่แรงเธอน้อย พอเห็นเขาคิดจะไปเอาเรื่องอวี๋หมิงหลางจริงเธอเลยรีบกอดเอวเขาเอาไว้จากทางด้านหลัง
“ห้ามไปนะ เชี่ยนเอ๋อทำเพื่อฉัน”
“เขาถูกตามใจจนเคยตัว เลยกล้าเล่นแรงๆ” จูเต๋อซีทำเป็นพูดจาดุดัน แต่เขาหยุดนิ่งตั้งแต่สุ่ยเซียนกอดเอวเขาแล้ว
“ไม่ใช่นะ เชี่ยนเอ๋อไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นส่งเดช เขาใช้วิธีที่ทำให้ฉันระบายความหวาดกลัวออกมา ทำให้ฉันกล้าเผชิญหน้ากับความไม่รู้ในจิตใจ”
หลังจากที่สุ่ยเซียนพูดออกมาแล้วตัวเธอเองยังงง สิ่งที่ปากพูดตรงกับที่สมองคิด ที่แท้จุดประสงค์ของเชี่ยนเอ๋อก็คือแบบนี้
ใช้วิธีในแบบพิเศษทำให้สุ่ยเซียนรู้หัวใจตัวเอง บีบให้เธอเห็นอารมณ์ที่เธอปล่อยวางไม่ได้ วิธีที่ใช้อาจจะสุดโต่ง แต่ได้ผลดี ถ้าไม่เจ็บจนฝังรากลึก แล้วเธอจะกล้าเผชิญหน้ากับความอ่อนแอของตัวเองได้อย่างไร
ถ้าไม่ใช้วิธีพิเศษแบบนี้ เธอจะได้รู้จักตัวตนของจูเต๋อซีเหรอ
ตอนที่สุ่ยเซียนคิดทบทวนอยู่นั้นจูเต๋อซีก็หันกลับมา จากนั้นก็เอามือเช็ดน้ำตาให้เธอที่ไหลออกมาอีกแล้ว
“ดูคุณสิ ทำไมร้องไห้อีกแล้ว”
“ห้ามไปเอาเรื่องอวี๋หมิงหลางนะ”
“ทำไมถึงไม่ให้ผมไปเอาเรื่องเขา เป็นห่วงกลัวผมสู้เขาไม่ได้เหรอ”
“เปล่าซะหน่อย…แต่ฉันก็คิดว่านายสู้เขาไม่ได้จริงๆ” ท่าทางที่น่ารักของสุ่ยเซียนตอนพูดความจริงทำให้จูเต๋อซีหัวเราะออกมา
“ขำอะไรน่ะ ฉันไม่ได้เป็นห่วงนายนะ ฉันก็แค่ ฉันก็แค่—เป็นห่วงว่าจะส่งผลต่ออนาคตของนาย ตอนนี้อวี๋หมิงหลางตำแหน่งสูงกว่านายใช่หรือเปล่า ถ้านายทำเขาก็เท่ากับทำร้ายผู้บัญชาการ นายต้องขึ้นศาลทหารนะ”
สุ่ยเซียนหาข้ออ้างไปเรื่อย
“ตอนนี้ถ้าผมไปอัดเขาไม่ต้องขึ้นศาลทหารแล้ว เพราะเขาเป็นทหาร ส่วนผมน่ะ เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา เขาปล่อยให้เมียตัวเองมารังแกแฟนผม ก็เท่ากับรังแกชาวบ้าน ผมจะเอาก้อนอิฐไปทุบหัวเขา รับรองเขาไม่กล้าทำอะไรหรอก”
“นายเพ้อเจ้ออะไรน่ะ จะเอาก้อนอิฐไปทุบเขาทำไม ถ้าไม่มีพวกเขาสองคนฉันก็เสร็จอาเหม็ดไปนานแล้ว—เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”
ดูเหมือนเธอจะได้ยินเรื่องเด็ดอะไร
ริมฝีปากเธอสั่นเล็กน้อย ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อครู่ หรือเธอจะหูแว่ว
“ตอนนี้ผมไม่ใช่ทหารแล้ว จะว่าย้ายงานก็ไม่เชิง เพราะว่าผมน่ะ ปฏิเสธงานที่เขาจัดมาให้ ตอนนี้ผมเป็นคนตกงานแล้ว คุณอยากเลี้ยงดูผมไหม”
“นาย นาย จะเป็นไปได้ไง…” สุ่ยเซียนรู้สึกมึนไปหมด
“อยู่ในค่ายทหารมาตั้งหลายปี ผมอยากลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมดูบ้าง ดูซิว่าตัวเองจะปรับตัวได้ไหม ก่อนมานี่ผมไปเจอพ่อตามาแล้ว ผมไปขอให้เขาหางานให้คนตกงานอย่างผมทำ พ่อตาทดสอบผมหนึ่งอาทิตย์รู้สึกว่าผมพอไหวก็เลยให้ผมมาเป็นผู้ช่วยคุณ ต่อไปคุณก็เป็นเจ้านายผมแล้ว เจ้านายครับ เจ้านายว่าเราไปอัดจอมวายร้ายอวี๋หมิงหลางกันดีไหมครับ”
“แน่นอนว่าไม่ได้ จะไปทำเขาได้ยังไง —ไม่ใช่สิ ทำไมบทนายจะลาออกก็ลาออกล่ะ เพราะข้อความที่ฉันส่งให้นายเหรอ” ตอนนี้สุ่ยเซียนพูดจามั่วไปหมดแล้ว
เขาชอบเป็นทหารขนาดนั้นแล้วจะยอมทิ้งได้ยังไง
“คุณส่งข้อความอะไรมาเหรอ ผมตัดสินใจจะย้ายงานตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้ว เมื่อหลายเดือนก่อนวุ่นอยู่กับการส่งมอบงาน งานบางอย่างเป็นความลับเลยเปิดอุปกรณ์สื่อสารไม่ได้ ค้างค่าโทรศัพท์ผมยังไม่รู้ตัวเลย กว่าผมจะรู้ตัวก็เกือบโดนยกเลิกเบอร์แล้ว คุณส่งข้อความอะไรมาหาผมเหรอ”
“เปล่า ไม่มีอะไร” สุ่ยเซียนไม่กล้าบอกเรื่องส่งข้อความไปบอกเลิก
งั้นก็หมายความว่าเขาตัดสินใจออกจากกองทัพตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อนแล้วเหรอ
แล้วก่อนหน้านี้หนึ่งเดือนที่เธอส่งข้อความที่ทำให้เธอเป็นทุกข์มาตั้งนาน เขาไม่ได้รับ
สมองของสุ่ยเซียนเหมือนมีเสียงประธานเชี่ยนที่มองทุกอย่างออกหมดลอยมา เดิมเรื่องไม่ได้มีอะไร เป็นเธอที่คิดไปเองคนเดียว
นั่นก็หมายความว่า เธอใช้จินตนาการของตัวเองสร้างเรื่องทั้งหมด เขาไม่ได้รับรู้ด้วยเลยทั้งนั้น ที่ต้องย้ายงานก็ทำแล้ว ต้องไปจัดการทางพ่อเธอเขาก็ทำแล้วด้วย
ความรู้สึกในตอนนี้ยากที่จะบรรยาย สับสนไปหมด ทั้งแอบดีใจทั้งรู้สึกอบอุ่นหัวใจ แต่ที่มากกว่าก็คือเป็นห่วงเขา