ก้าวหน้าไวจัง แบบนี้แอบเร้าใจ…แต่ไม่ใช่
เขาแค่โน้มตัวมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ หลิวเหมยเองก็บอกไม่ถูกว่าผิดหวังหรือโชคดีที่ไม่มีดับเบิ้ลจูบแรก อันที่จริงเธอยังไม่ได้เตรียมใจเลย แต่ดูเหมือนแค่จูบก็ไม่เห็นเป็นไร…
“พี่มีเงิน”
“อ่อ” มัวแต่คิดเรื่องดับเบิ้ลจูบ ใครจะมีอารมณ์สนเรื่องมีหรือไม่มีเงิน
“ค่าตอบแทนที่พี่ได้เยอะพอประมาณ ปกติพี่ก็ไม่มีรายจ่ายอะไรมากมายเลยพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง เชี่ยนเอ๋อบอกว่าเอาเงินเก็บฝากไว้ในธนาคารเป็นเงินที่ตาย เขาเลยให้พี่เอาเงินไปลงทุนพวกหุ้น พี่เองก็มีบ้านของตัวเองในเมืองQ พี่อยู่กับพ่อจนชินแล้วเลยปล่อยบ้านหลังนั้นให้คนเช่าไป ถ้าขายทิ้งก็พอซื้อรถ เธอชอบรถจี๊ปงั้นเราก็ซื้อรถจี๊ป”
เขาจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ชายที่เลี้ยงภรรยาได้ไม่ปล่อยให้ภรรยาลำบากแน่นอน
“พี่มาพูดเรื่องพวกนี้กับฉันทำไม…” หลิวเหมยรู้สึกเขินเล็กน้อย เขาจริงจังเกินไป เล่นเอาเธอไม่รู้จะตอบยังไงดี เธอไม่เคยคุยกับแฟนเรื่องทรัพย์สินมาก่อน แต่ก็รู้สึกโอเคดีนะ~
ทันใดนั้นหลิวเหมยก็นึกบางอย่างออก
“พี่อยากจะบอกฉันว่าหลังแต่งงานพี่อยากอยู่กับพ่อแม่” นี่มันแผนเดียวกับหม่าลุ่ยเลยไม่ใช่เหรอ
“ไม่ใช่ ถ้าพี่แต่งงานยังไงก็ต้องแยกออกมาอยู่เอง พ่อพี่เพิ่งแต่งงานใหม่ได้ไม่นานพี่เองก็อยากให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเอง คนสองรุ่นอยู่ด้วยกันยังไงก็ย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้าง พี่ไม่อยากให้เธอรู้สึกกดดันเกินไป”
“ฉันไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร…” หัวใจเธอเต้นแรงมาก ทำไมรู้สึกว่าคำพูดนี้หวานจัง
คุยเรื่องหลักเสร็จแล้วต่อไปก็ทำเรื่องใหญ่บ้าง
“พี่ไม่อยากให้เธอมองคนอื่นอย่างอิจฉาเวลาอยู่กับพี่ สิ่งที่เธอต้องการ พี่ก็ให้ได้” ฟู่กุ้ยโน้มตัวเข้าไปจูบปากเธอ
ดังนั้นไม่ต้องอิจฉาสองคู่ที่อยู่ริมทะเลนั่น เรื่องที่สองคู่นั่นกำลังจะทำตอนนี้หรืออีกเดี๋ยวกำลังจะทำเขาก็ทำได้เหมือนกัน
หลังจากที่ผละออกจากปากฟู่กุ้ยแล้ว สมองของหลิวเหมยก็ว่างเปล่าไปพักใหญ่ๆ คล้ายกับมีขนนกสีขาวที่เบาบางกำลังลอยอยู่ในอากาศจำนวนมาก ร่างกายเบาหวิว ความรู้สึกดีใจและมีความสุขโอบล้อมตัวเธอเอาไว้
บางทีพี่สะใภ้อาจพูดถูก จะมีความสุขไหมไม่ได้เกี่ยวกับว่าพยายามแค่ไหน แต่ต้องดูว่าจะหาคนที่ใช่เจอหรือเปล่า
เธอคิดว่าเธอเจอแล้ว
ฟู่กุ้ยศึกษาเรื่องระบบประสาทมานาน เขาตั้งข้อสงสัยเรื่องจูบในละครหรือพวกวรรณกรรมมาตลอด มันก็แค่การเอาเนื้อตรงปากมาเสียดสีกัน มันทำให้รู้สึกดีได้ขนาดที่ชายหญิงเคลิบเคลิ้ม จูบกันอย่างดูดดื่มถึงขนาดไม่ยอมแยกกันเลยเหรอ…
ในฐานะที่เป็นดอกเตอร์ที่จริงจังกับทุกเรื่อง นายฟู่กุ้ยคิดว่าการจูบเป็นอะไรที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ในน้ำลายมีแบคทีเรียรวมถึงเชื้อโรคอื่นๆ การจูบทำให้เชื้อโรคนั้นแพร่ไปสู่อีกฝ่าย ยิ่งถ้าไปเจอคนมีกลิ่นปากไม่ชอบแปรงฟันล่ะก็ น่าขยะแขยงที่สุด
แต่หลังจากที่ตัวเองได้ลองถึงได้พบว่าความรู้สึกนี้มันดีกว่าที่คิดไว้มาก ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมในวรรณกรรมหรือนิยายต่างๆต้องมีฉากจูบ ความรู้สึกที่เกิดจากร่างกายแผ่ซ่านไปถึงจิตวิญญาณนี้มันยากที่จะอธิบายได้ด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ แต่ฟู่กุ้ยได้ใช้ความรู้ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากคิดแล้ว เขาคิดว่าวินาทีที่ริมฝีปากสัมผัสกัน โดปามีนในสมองจะถูกหลั่งออกมา สารที่เป็นสื่อกลางในเส้นประสาทและฮอร์โมนจะมีระดับสูงขึ้น ทำให้อะดรีนาลีนสูบฉีด หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก รู้สึกตื่นเต้น…
“พี่อยากลองอีกครั้งได้ไหม” อะดรีนาลีนพุ่งสูงคือความรู้สึกแบบนี้ ฟู่กุ้ยยังอยากลองอีกครั้ง
“คนบ้า อยากลองก็ลองสิไม่เห็นต้องถามเลย 0.02”
“ทำไมเรียกพี่0.02”
“เพราะพี่เป็น0.02ของฉัน”
ก็ได้ เพราะอะไรไม่สำคัญหรอก ขอแค่เธอมีความสุขก็พอ จะ0.02ก็ช่างมัน ตอนนี้ฟู่กุ้ยแค่อยากทดสอบความรู้สึกที่หาไม่ได้ในห้องทดลองอีกครั้ง วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าแค่ไหน ก็ปรุงความรักออกมาไม่ได้หรอก
ห่างไม่ไกลออกไป เสี่ยวเชี่ยนปีนขึ้นไปบนโขดหินที่สูงสี่เมตรได้สำเร็จด้วยความช่วยเหลือของอวี๋หมิงหลาง ทั้งสองคนนั่งดื่มเบียร์กินเนื้อย่างอยู่บนนั้น ฟังเสียงเกลียวคลื่นพลางมองสุ่ยเซียนกับจูขี้บ่นกอดกัน อวี๋หมิงหลางโอบเสี่ยวเชี่ยนเอาไว้ช่วยบังลมทะเลให้เธอ เสี่ยวเชี่ยนเอาตัวพิงหน้าอกเขา ทิ้งน้ำหนักลงอย่างสบาย
“ข้ามไปไม่ได้ก็อยู่ที่0.02ตลอดไป ข้ามไปได้ก็คือความสุขชั่วคราว ความกลัดกลุ้มของมนุษย์จริงๆแล้วล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้น จูเต๋อซีเป็นคนฉลาด เขาเลือกเดินถูกไปอีกก้าว”
0.02 เป็นเรื่องที่เสี่ยวเชี่ยนเคยยกขึ้นมาพูดจรรโลงจิตใจให้สุ่ยเซียนกับหลิวเหมยฟัง การเจอคนที่ใช่ ข้ามระยะห่าง0.02ไปได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะสมบูรณ์เสมอไป ยังต้องเจอเรื่องราวอีกมากมายในอนาคต ขอแค่ก้าวไปเผชิญอย่างไม่ย่อท้อ สถานการณ์ย่อมดีกว่าที่เคยเป็นมา
“ผมแค่ปวดหัวอีกเดี๋ยวถ้าเขาตามมาอัดผมจะทำไงดี” อวี๋หมิงหลางสังหรณ์ใจ เดี๋ยวพอคู่นั้นกอดกันเสร็จก็ถึงคราวที่เขาอาจโดนคิดบัญชี
“สนทำไม อีกเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้นไม่มีใครรู้ โลกหมุนไปเรื่อยๆ แต่ละคนมีอารมณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน เมื่อวานเลิกกัน วันนี้คืนดีกัน แต่อนาคตไม่รู้ทัศนคติจะเปลี่ยนไปเมื่อไร ไม่แน่อาจเลิกกันอีกก็ได้ ไม่ต้องไปคาดเดาเรื่องในอนาคตอีกสิบปีข้างหน้า ทำทุกวันให้ดีชีวิตก็ไปได้ไกลอีกหน่อย”
“คนเขาเพิ่งจะคืนดีกัน คุณพูดแบบนี้มันเหมาะเหรอ”
“ทำไมจะไม่เหมาะ จิตแพทย์คือคนที่ใช้การไม่เปลี่ยนแปลงไปแก้ไขโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ตอนที่พวกเขาเลิกกันฉันบอกพวกเขาว่าอย่าเสียใจอย่าสิ้นหวัง ตอนพวกเขาคืนดีกันฉันก็บอกพวกเขาว่าอย่าได้ใจอย่าประมาท อนาคตใช่ว่าจะรักกันจนแก่เฒ่า ยังมีปัญหายากๆให้ต้องเจอ เดินหน้าอย่างมีสติถึงจะดูแลคนที่อยู่รอบตัวได้”
นี่ก็คือท่าทีที่จิตแพทย์มีต่อครอบครัวและเพื่อน และหลิวเหมยกับสุ่ยเซียนก็คือครอบครัวของเธอ
สายลมยามเย็นพัดเส้นผมของเธอมาปรกหน้า อวี๋หมิงหลางมองแล้วก็เคลิ้ม ผู้หญิงที่เขารักมากคนนี้ยืนอยู่บนที่สูงคอยปกป้องคนที่เธอแคร์อยู่เสมอ ในสายตาเธอไม่มีเรื่องไหนที่จัดการไม่ได้ เขาชอบที่เธอเป็นแบบนี้
“คุณรู้แต่แรกแล้วเหรอว่าจูขี้บ่นต้องมา”
“ฉันเคยวิเคราะห์จุดเด่นนิสัยของสุ่ยเซียนกับจูขี้บ่น สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า จูขี้บ่นยอมลาออกจากกองทัพมาช่วยสุ่ยเซียน เสี่ยวเฉียง สเติร์นเบิร์กนักจิตวิทยาชื่อดังได้เสนอแนวคิดทฤษฎีสามเหลี่ยมความรัก ความรักประกอบขึ้นด้วยองค์ประกอบสามด้านคือ ข้อผูกมัด ความหลงใหล ความผูกพัน ไม่มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ มีแต่ชีวิตที่เหมาะสม การมีชีวิตอยู่ก็คือการทำโจทย์อัตนัย เลือกชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเอง แล้วปล่อยวางชีวิตที่ไม่เหมาะกับตัวเอง”
เสี่ยวเชี่ยนชอบที่จะสอดแทรกแนวคิดลงในบทสรุปตอนท้ายของแต่ละเคส เธออยากแบ่งปันประสบการณ์ที่เธอได้รับกับเขา
“ก็ไม่ใช่โจทย์อัตนัยเสมอไป มีโจทย์แบบปรนัยด้วย”
“หืม”
“ไหนคุณลองวิเคราะห์ซิว่า การทำเรื่องไม่ดีในที่สาธารณะมันถูกหรือผิด” มือของเขาเริ่มอยู่ไม่สุข
“…นายยังมียางอายอยู่ไหม ผิดแน่นอน”
“ผมขอเลือกไร้ยางอาย แล้วก็ขอแสดงความยินดีด้วยคุณตอบถูก พฤติกรรมแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ผิด อาจทำเด็กน้อยเสียคนได้ ต้องขึ้นเรทฉ.ฉิ่ง” เขาพูดพลางเอามือล้วงเข้าไปในเสื้อเธอ
“รู้ว่าไม่ดีแล้วยังจะทำ” เสี่ยวเชี่ยนหมดคำจะพูด เธอคุยเรื่องปรัชญาชีวิตกับเขา แต่ในสมองของตาบ้านี่กลับคิดเรื่องผลิตลูกงั้นเหรอ