ภายในร้านอาหาร ทุกๆคนกำลังขยับไปตามเสียงร้องของหลิงเหยา และมีเพียงแต่คนในตระกูลหวางเท่านี้ ที่ทำท่าราวกับกินแมลงเข้าไป
มีเสียงปรบมือดังสนั่น เสียงร้องและการเต้นรำที่สนุกสนาน
ทุกคนมีรอยยิ้มที่สนุกสนานปรากฏบนใบหน้า
ติงฉี่ซานนั้นมีความสุขราวกับเด็กน้อย เขย่าแขนของเขาตามจังหวะ แกว่งไปมาอย่างมีความสุขกับหลิงเหยา
ติงเมิ่งเหยนปกปิดใบหน้าของเธอและอยู่ให้ห่างจากเขา เธอละอายใจที่พ่อนั้นไร้เดียงสาขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องอย่าให้ใครจำได้เชียว
เวลาของเพลงไม่ว่าจะยาวหรือสั้น ก็มักจะจบลงในสามหรือสี่นาทีเสมอ
ทุกคนในตอนนี้รู้สึกไม่สบายใจ หวังว่าหลิงเหยาจะอยู่ได้นานขึ้น
หลิงเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆ “เอ่อ ฉันขออยู่ต่ออีกหน่อยได้ไหมคะ ฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเลยค่ะ ทุกๆคนต้องถามเพื่อนที่แสนดีของฉันแล้วล่ะ–คุณเจียงชื่อ”
ตามนิ้วที่ชี้ไปของหลิงเหยา ทุกๆสายตาจับจ้องมาที่เจียงชื่อ
อย่างไรก็ตาม เจียงชื่อได้ยิ้มและพูดว่า “อันที่จริงผมก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินหรอกนะครับ ต้องเป็นพ่อตาถึงจะถูก พ่อครับ ท่านคิดว่าจะให้หลิงเหยาอยู่ต่อได้พูดคุยกับทุกคน หรือว่าวันนี้จะพอแค่นี้ดี?”
ทันใดนั้น ติงฉี่ซานก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
เขาสูงส่งราวกับจักรพรรดิ ทุกคนมองมาที่เขาด้วยสายตาที่คาดหวังและขอร้องให้เขา‘แสดงความเมตตา’ติงฉี่ซานนั้นมีความสุขท่วมล้นหัวใจ
หลังจากใช้เวลามาเกือบครึ่งค่อนชีวิต เขาได้รับความสนุกสนานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“คุณหลิงเหยา ในเมื่อทุกคนมีความกระตือรือร้นขนาดนี้ คุณก็ควรจะอยู่ต่ออีกหน่อยเถอะ!”
“ใช่แล้วล่ะ ปกติพวกเราก็ไม่ได้มีโอกาสมาเจอแบบนี้ จะดีมากเลยครับถ้าได้แจกลายเซ็นให้กับทุกๆคน”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ก็ต่างดีใจจนแทบบ้า
พวกเขาต้องการลายเซ็นของหลิงเหยามานานแล้ว และพวกเขาไม่เคยมีโอกาสแบบนี้มาก่อน แต่วันนี้พวกเขาจะได้รับลายเซ็นจากความช่วยเหลือของติงฉี่ซาน โชคดีแค่ไหนกันเนี่ย?
หลิงเหยายิ้มและพยักหน้า “ในเมื่อผู้เฒ่ามีคำขอเช่นนี้ ผมก็ไม่กล้าที่จะขัดข้องค่ะ คนที่ต้องการลายเซ็น เชิญมายืนต่อแถวได้เลยนะคะ”
“โอ้~~”
“ผู้เฒ่านี่เยี่ยมยอดจริงๆครับ!”
“ขอบคุณผู้เฒ่าที่ทำให้เรานะครับ!”
ทุกๆคน‘ขอบคุณ’ติงฉี่ซาน และไปต่อแถวรอรับลายเซ็นของหลิงเหยา
ติงฉี่ซ่านนั้นดูดีใจเหลือเกิน
เขาเหลือบมองไปที่สวีชง พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลานชายของฉัน นายพูดว่าอะไรก่อนหน้านี้นะ มันยากที่จะได้ลายเซ็นของหลิงเหยางั้นเหรอ?”
เส้นเลือดบนใบหน้าของสวีชงนั้นกระตุกอย่างแรง
ก่อนหน้านี้ เขาภูมิใจนักหนาที่ได้ลายเซ็นของหลิงเหยา แต่ตอนนี้แต่ละคนได้คนละอัน แผ่นดิสก์ในมือของเขานั้นไร้ความหมายในทันที
อย่างแรกเลยคือติงฉี่ซานนั้นไม่ได้ต้องการแผ่นดิสก์ของสวีชง สองก็คือแม้จะไม่ได้ทำลายแผ่นดิสก์ของเขา แต่ก็สามารถทำให้มันกลายเป็นสิ่งไร้ค่าได้
ต้องบอกว่า ในบางมุมเอง ติงฉี่ซานเองก็ไม่ได้ดีซะทีเดียว
เขาจับเคราของเขาและพูดอย่างร่าเริง “หลานชาย ถ้าอยากได้ลายเซ็นของหลิงเหยา แล้วรู้สึกว่ามันลำบาก ยากที่จะเป็นไปได้ ก็ไม่เป็นไรนะ ก็มาหาเจียงชื่อได้เลย เขาน่ะ แม้ว่าเงินเดือนจะไม่ได้มากมาย แต่ก็จริงใจไม่เคยโกหก ไม่เอาของปลอมๆมาหลอกคน ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะไม่ได้รับบุญคุณเล็กๆน้อยๆนี่ก็ไม่แสดงออกมา”
“เมื่อนายมาหาเจียงชื่อ เขาจะช่วยนายอย่างเต็มที่เลย อนาคตไม่ต้องพกแผ่นดิสก์มาอวดแล้วนะ มันดูระบุไม่ได้”
สวีชงนั้นพูดไม่ออก
ใบหน้าของเขานั้นแดงก่ำ เขาต้องการที่ตอบโต้กลับไป แต่ทำอย่างไรเขาก็หาข้อแก้ตัวมาตอบโต้กลับไม่ได้เลย
ในที่สุด เขาก็กระทืบพื้นดินอย่างขมขื่น หันศีรษะและเบือนหน้าหนี
ติงฉี่ซานพูดกับหวางจื้อหรงอีกว่า “จื้อหรงอ่า อาหารมื้อนี้นี่มันสนุกจริงๆเลย ไม่เพียงแต่เราสองพี่น้องที่ได้มาติดต่อกันแล้ว แต่เรายังได้บัตรสมาชิกของสโมสรตระกูลเย่ แถมยังได้เจอดาราดังอย่างหลิงเหยาด้วย วันนี้มันช่างคุ้มค่า คุ้มค่าจริง!ในอนาคต เรามากินข้าวแบบนี้กันอีกเยอะๆนะ วิธีนี้จะได้ส่งเสริมความสัมพันธ์ของครอบครัวเราเอาไว้ได้”
หวางจื้อหรงไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจของเขากลับด่าสาปแช่งติงฉี่ซานอยู่
เอาอีกเยอะๆงั้นเหรอ?