“ฉันจะถามกลับว่า ผู้ชายคนนี้มีค่าให้รั้งไว้ไหม ถ้ามีการใช้ความรุนแรงหลายครั้งแล้วก็แสดงว่าอีกฝ่ายขาดการยับยั้งชั่งใจ มีนิสัยหัวรุนแรง ผู้ชายแบบนี้ไม่ว่าจะรักหรือไม่ก็ไม่มีค่าให้รั้งไว้อีก ในขณะที่ช่วยให้ผู้ขอรับคำปรึกษาเรียกความมั่นใจกลับคืนมา ฉันก็จะแนะนำให้เขาใช้กฎหมายช่วยแก้ปัญหา…แต่ฉันกับเขาไม่ใช่เหตุการณ์ในลักษณะนี้ ครั้งแรกที่เขาลงมือพวกเรายังรักกันอยู่”
เสี่ยวเชี่ยน หึ ออกมา “ผู้หญิงที่ถูกทำร้ายทุกคนล้วนใช้คำปลอบใจที่เป็นเหมือนตลกร้ายเหล่านี้หลอกตัวเอง ฉันยอมรับว่าหลายคู่ที่เกิดการใช้ความรุนแรงยังมีความรักให้กันอยู่ แต่ความรักแบบนี้ควรจะมีดีไหม? เธอเป็นถึงดอกเตอร์ แต่กลับพาชีวิตตัวเองมาถึงจุดนี้ นี่เธอไม่รู้จริงๆเหรอว่าสาเหตุของปัญหามันอยู่ที่ไหน?”
“ฉันโชคไม่ค่อยดี…”
“เพ้อเจ้อ ลูกศิษย์ฉันชะตาเล่นตลกยิ่งกว่าเธออีก แต่เขากลับรับมือกับปัญหาการใช้ความรุนแรงภายในบ้านได้อย่างดี คำพูดของเขาไม่กี่คำทำให้ฉันมั่นใจว่าประสบการณ์รับมือกับการใช้ความรุนแรงในครอบครัวของเขามีมากกว่าเธอเยอะ ส่วนการแสดงออกอย่างไร้ความสามารถในเรื่องนี้ของเธอก็เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ที่เธอล้มเหลวในวันนี้ เพราะเธอขาดคำพูดเหล่านี้”
“คำพูดอะไร?”
“เรียกความมั่นใจกลับคืนมา หลิวเสี่ยวฮวา คุณค่าของตัวเธอคืออะไร? เรียนสูงเป็นศิษย์อาจารย์ดังแต่กลับจองหอง หาแฟนที่ฐานะดีเพื่อมาเป็นทาสเขางั้นเหรอ? โง่”
“ฉัน…”
“ถ้าเธอคิดแค่อยากจะอุทิศตัวเพื่อความรัก ถ้าอย่างนั้นเธอจะลำบากเรียนมาตั้งหลายปีไปเพื่ออะไร? พ่อแม่เลี้ยงเธอมาตั้งนานเพื่อมานั่งมองเธอใช้ชีวิตขมขื่นด้วยเปลือกที่สวยหรูอยู่ในเมืองอย่างนั้นเหรอ? ฉันไม่อยากพูดถึงพ่อแม่เธอแล้ว เอาแค่อาจารย์ของพวกเราแล้วกัน มีเรื่องไหนบ้างที่เธอทำไปแล้วไม่ผิดต่ออาจารย์?”
พอพูดถึงเถ้าแก่ใหญ่ หลิวเสี่ยวฮวาก็ยังไม่ยอมแพ้
“เขาดูถูกฉันมาตลอด”
“เขาดูถูกเธอแต่รับเธอไว้เนี่ยนะ? ถ้าเขาดูถูกเธอจะสั่งให้ฉันคอยดูแลเธอเหรอ? ถ้าไม่มีเถ้าแก่ใหญ่เธอคิดว่าฉันจะมายืนอยู่ตรงนี้มองคนไม่ได้เรื่องอย่างเธอ ตามเช็ดล้างเรื่องที่เธอก่อไหม? เถ้าแก่ใหญ่หัวใจไม่ดีมาตลอด ถ้าเขารู้เรื่องของเธอครั้งนี้ เธอว่าเขาจะสบายใจไหมล่ะ? เธอไปตามหาดูได้เลยนะ เถ้าแก่ใหญ่ที่ไหนจะดูแลลูกศิษย์ตัวเองดีขนาดนี้ ที่เขาไม่ให้เธอรับเคสแบบนี้ไม่ใช่ดูถูกความสามารถของเธอ แต่เพราะไม่อยากให้เธอก้าวกระโดดไปเจอกับจุดหักเหของชีวิต ลูกศิษย์ที่เขาดูแลมาหลายปีอยู่ๆเขาต้องมาเสียไป เธอว่าเขาจะเสียใจไหมล่ะ?”
คำพูดนี้จริงทุกอย่าง หลิวเสี่ยวฮวานึกถึงสีหน้าเข้มงวดของเถ้าแก่ใหญ่แล้วก็รู้สึกว่าครั้งนี้เธอทำให้อาจารย์ผิดหวังมาก เธอนั่งเอามือปิดหน้าอยู่บนเตียง ในใจรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป
คนเรามักต้องรอให้ถึงจุดที่ล้มเหลวก่อนถึงจะคิดได้ คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้เธอกระจ่างทุกอย่าง
“ฉันจะไม่แนะนำเธออย่างละเอียดหรอกนะ แค่จะบอกกับเธอว่า ถ้าเธอไม่อยากเป็นคนไร้ค่าไปตลอดชีวิต ไม่อยากให้อาจารย์กับคนในครอบครัวเธอผิดหวัง เธอก็รีบลุกขึ้นมาหาวิธีจัดการปัญหาซะ เธออยากรักษาคนไข้ อยากรักษาชีวิตคู่เอาไว้ พวกนี้ล้วนอยู่บนพื้นฐานของการเรียกความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมา ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องคิดไม่ใช่หย่าหรือไม่หย่า และก็ไม่ใช่การหนีข้อผิดพลาดในหน้าที่การงาน เธอต้องหาตัวตนของตัวเองให้เจอก่อน ขอแค่เธอเรียกความมั่นใจกลับมาได้ ก็จะสามารถหาวิธีปัญหาที่เหมาะสมได้”
“ความมั่นใจของฉันคืออะไร…เฉินเสี่ยวเชี่ยน ฉันในสายตาเธอเป็นยังไง ไร้ความสามารถ ไร้ค่าใช่ไหม?”
“อยากฟังความจริงเหรอ?”
“อยาก” มาถึงขนาดนี้แล้ว เสี่ยวฮวารู้สึกว่าต่อให้เป็นคำพูดที่แรงกว่านี้เธอก็รับฟังได้
“เธอจิตใจคับแคบ ทำตัวอวดดี เดินยังไม่มั่นคงก็อยากวิ่งแล้ว แต่เธอกลับไม่รู้ว่าวงการของนักจิตวิทยามีแค่วุฒิการศึกษาน่ะไม่พอหรอก ไม่ว่าใครก็ตามรวมถึงฉันด้วยล้วนต้องผ่านประสบการณ์การรักษาเป็นจำนวนมาก แถมยังต้องเจออาจารย์เก่งๆด้วย ประสบการณ์ที่มากมายจะหล่อหลอมให้เราเป็นนักจิตวิทยาที่ดี เรื่องนี้ไม่ว่าวงการไหนก็เหมือนกัน”
นักจิตวิทยาที่ดีไม่เพียงแต่ต้องมีวุฒิการศึกษาสูง ยังต้องมีประสบการณ์แพทย์คลินิกจำนวนมากที่ช่วยขัดเกลา ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่มีประสบการณ์การรักษามากมายจากในชาติก่อน แล้วเธอจะเก่งอย่างทุกวันนี้ได้ยังไง?
“ใช่ ฉันเป็นคนที่ล้มเหลวแบบนี้นี่แหละ…” เสี่ยวฮวาหมดอาลัยตายอยาก เสี่ยวเชี่ยนพูดถูก แต่ทำไมก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ตัวเลย?
“เธอพูดผิดแล้ว เธอไม่ใช่คนที่ล้มเหลว เธอแค่รีบร้อนอยากประสบความสำเร็จ บางทีการมาของฉันคงทำให้เธอรู้สึกกดดันมาก จิตใจของเธอถึงได้บิดเบี้ยว อยากจะพิสูจน์ตัวเอง แต่เธอคงไม่เห็นตอนฉันพยายามกับตอนที่ฉันลำบากหรอกใช่ไหม?”
“เธอพยายามแล้วเหรอ? ฉันเห็นเธอดูสบายๆกับทุกเรื่อง เธอมักจะได้ในสิ่งที่คนอื่นพยายามกันแทบตายก็ยังไม่ได้มา”
“เธอไม่เห็นตอนที่ฉันพยายาม ฉันก็เคยนอนไม่หลับหลายคืนเพราะคำพูดใส่ร้ายลับหลังฉัน ตอนที่พวกเธอเม้าท์ซุบซิบกันฉันยังนั่งศึกษาแนวคิดของซิกมันด์ ฟรอยด์กับฟรันซ์ เบรนทาโนอยู่เลยด้วยซ้ำ เธอเคยเห็นฉันนั่งเพ้อเจ้อไร้สาระกับใครหรือเปล่าล่ะ? ในช่วงเวลาสี่ปีกว่าตั้งแต่ฉันเข้าเรียนมาจนถึงตอนนี้ ฉันไม่เคยดูละครเลยสักครั้ง เข้าโรงภาพยนตร์ก็นับครั้งได้ เธอแน่ใจนะว่าชีวิตฉันสบายขนาดนั้น?”
คนเรามักคอยจ้องแต่จะจับผิดคนอื่น เอาข้อดีของคนอื่นมาเทียบกับข้อเสียของตัวเอง
ชีวิตของเสี่ยวเชี่ยนเมื่อเทียบกับนักศึกษาคนอื่นแล้ว จืดชืดและไร้รสชาติมากจริงๆ
จะมีก็แค่ตอนที่อยู่กับเพื่อนสนิทหรือเสี่ยวเฉียงเท่านั้นที่เธอจะได้ผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับชาติที่แล้ว เมื่อชาติก่อนเธอขยันยิ่งกว่าตอนนี้ ประสบการณ์ที่สั่งสมมาในสองชาติถึงได้ทำให้เธอประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ความพยายามของเธอคนนอกจะเห็นได้อย่างไร
“หลิวเสี่ยวฮวา นิสัยของเธอไม่ต้องถึงมือฉันวิจารณ์หรอก จากมุมมองส่วนตัวฉันไม่ชอบคนแบบนี้อยู่แล้ว และฉันก็ไม่มีทางเป็นเพื่อนกับคนอย่างเธอด้วย แต่ถ้ามองในมุมวิชาการของเธอ ฉันคิดว่าความสามารถเธอก็ไม่ได้ขี้เหร่ มีพื้นฐานที่ดีอย่างที่นักจิตวิทยาควรมี ฉันยอมรับในความขยันเรื่องการเรียนของเธอนะ”
นึกไม่ถึงเลยว่าเฉินเสี่ยวเชี่ยนที่เอายาหม่องน้ำมาแกล้งเธอจะพูดแบบนี้ออกมา เสี่ยวฮวาอึ้งจนลืมร้องไห้
“เธอ ทำไมพูดแบบนี้ออกมา?” เฉินเสี่ยวเชี่ยนควรจะด่าแล้วก็เยาะเย้ยเธอไม่ใช่เหรอ?
“นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างฉันกับเธอ ฉันเป็นพวกว่าไปตามความจริง ซึ่งมันเป็นตัวกำหนดว่าฉันจะเป็นบอสในภายภาคหน้า ส่วนเธอมากสุดก็เป็นได้แค่ คนเก่งที่ทำงานให้บอส”
ไม่ถูกคนอิจฉาสิแปลก ไม่ว่าจะชาติที่แล้วหรือชาตินี้ ข่าวซุบซิบมีอยู่รอบตัวเสี่ยวเชี่ยนตลอด
รวมถึงเรื่องหลังจากที่เธอมีทีมงานและออฟฟิศเป็นของตัวเองแล้ว คนพวกนั้นก็ยังไม่ได้ลดละการนินทาเธอ
ถ้าเธอไล่โกรธทุกคน จับผิดทุกคน เธอนั่นแหละจะเหนื่อยตาย
การบริหารคนไม่ใช่การไล่บี้คนที่ต่อต้าน แต่เป็นการดึงความสามารถของคนๆนั้นมาใช้ให้เต็มที่ นำคุณค่าในตัวแต่ละคนมาสร้างให้เกิดผลกำไรสูงสุด เสี่ยวเชี่ยนเจอคนนิสัยแบบเสี่ยวฮวามาเยอะ ชินนานแล้ว
“ถึงเถ้าแก่ใหญ่จะมีจิตใจดุจแม่พระ แต่คนที่เขาเลือกแล้วอย่างน้อยๆก็เป็นหนึ่งในร้อยที่คัดสรรมา ถ้าตัวเธอไม่มีประกายแม้แต่น้อย เขาไม่รับเธอไว้หรอก ถึงการรักษาครั้งนี้จะเกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อย แต่เธอก็ควรรู้ว่าต่อไปควรทำไง”