เสี่ยวฮวาร้องไห้หนัก เถียงกลับอย่างคนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ “ใช่ ฉันมันไม่ได้เรื่อง ฉันมันไร้ค่า ฉันทำชีวิตตัวเองเละเทะไปหมด ตอนนี้เธอพอใจหรือยังล่ะ เธอจะมายุ่งกับฉันทำไม ฉันต้องการให้เธอมายุ่งเหรอ”
พอเห็นเสี่ยวฮวาร้องไห้เหมือนคนสติแตก ประธานเชี่ยนก็แสดงออกตรงๆ
เธอลุกขึ้นเดินไปหาเสี่ยวฮวา แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่เกี่ยวกับฉัน…แต่เธอกล้าพูดไหมว่าไม่เกี่ยวกับอาจารย์?”
สิ่งที่ไม่สอดคล้องกับน้ำเสียงนุ่มนวลของประธานเชี่ยนก็คือท่าทางของเธอ เธอง้างมือตบหลิวเสี่ยวฮวา
หลิวเสี่ยวฮวาถูกตบหน้าหัน เธอหันกลับไปด้วยความโกรธ
“เธอกล้าตบฉัน”
“ฉันตบแทนอาจารย์ เธอทำแบบนี้กับอาจารย์ที่ดีกับเธอมาหลายปีเหรอ? ฉันตบเธอ เธอทำอย่างกับหมาโดนเหยียบหาง แล้วทีผู้ชายคนนั้นตบเธอทำอะไรอยู่?”
“เขาก็เขา เธอก็เธอ เธอไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน มีสิทธิ์อะไร…โอ๊ย”
เสี่ยวฮวาเอามือจับหน้า เพราะเสี่ยวเชี่ยนตบเธออีกครั้ง
“ฉันตบเธอเพราะสิ่งที่เธอเรียนมาหลายปีนี้มันไม่ได้ช่วยเธอเลย เขาสนิทกับเธอก็เลยตบได้งั้นเหรอ? ความรู้เธอถูกเชื้อโรคกินหมดแล้วหรือไง? บอกฉันมา ถ้าเจอเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงภายในบ้านครั้งแรกเธอควรแนะนำผู้ขอรับคำปรึกษายังไง?”
“พยายามสู้กลับสุดชีวิต ให้เขารู้ถึงผลของการกระทำ…แต่มันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนกันตรงไหน? อย่ามาพูดเรื่องที่ว่าฉันเป็นคนนอกจะรู้อะไร รอบตัวเธอมีรุ่นพี่รุ่นน้องตั้งมากมาย ไม่มีใครแนะนำเธอสักคนเลยเหรอ? แล้วปกติคบกันทำไม? พูดจาให้ร้ายฉัน บ่นถึงความลำเอียงของเถ้าแก่ใหญ่ แต่พอเกิดเรื่องขึ้น เธอลองแหกตาดูซิว่าใครบ้างที่มาช่วยเธอ? เหมยเจียวเจียวนั่นดีกับเธอเหรอ? ถ้าเขาดีกับเธอจริงๆแล้วจะเรียกฉันมาทำไม?”
ในบรรดาพี่น้องที่เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันไม่ได้มีแค่ประธานเชี่ยนที่มีความสามารถแก้ปัญหาได้ แต่ในเวลาที่เสี่ยวฮวาอ่อนแอเพื่อนที่สนิทกับเสี่ยวฮวาที่สุดกลับนำเรื่องนี้ไปบอกประธานเชี่ยนคนที่เสี่ยวฮวาไม่ชอบ พอมาคิดดูดีๆการทำแบบนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
คนบางคนอยากจัดการคู่ปรับให้ราบคาบจะแย่ ใครกล้าพูดบ้างว่าเหมยเจียวเจียวไม่คิดแบบนั้น อยากให้ประธานเชี่ยนกำจัดเสี่ยวฮวาจนอยู่ไม่ได้อีก? ส่วนตัวเองก็แค่นั่งรอดูผลลัพธ์
เสี่ยวเชี่ยนเป็นศิษย์รักของเถ้าแก่ใหญ่เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี เหมยเจียวเจียวคงคิดว่าประธานเชี่ยนจะเอาเรื่องนี้ไปบอกเถ้าแก่ใหญ่ เสี่ยวฮวาจะได้โดนเล่นงาน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าประธานเชี่ยนจะมาด้วยตัวเอง
คำพูดนี้เสียดแทงใจของเสี่ยวฮวามาก สีหน้าเธอหม่นลง แต่ประธานเชี่ยนก็ยังไม่ปล่อยเธอ
“ถึงนิสัยเธอจะน่ารังเกียจ การที่เธอโดนตบคาดว่าคงเป็นเพราะคำพูดของเธอไปยั่วโมโหผู้ชายคนนั้นเข้า แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่ทำตัวน่าตบขนาดไหนก็ไม่สมควรให้ผู้ชายตบ เขาตบเธอแต่เธออยู่เฉยๆ ไม่รู้สึกผิดต่อพ่อแม่บ้างเหรอ?”
“เกี่ยวอะไรกับพ่อแม่…”
“พ่อแม่เลี้ยงเธอให้เรียนมาถึงดอกเตอร์ เพื่อให้เธอมาถูกตบอย่างนั้นเหรอ? ตอนที่เธอยอมถูกผู้ชายคนนั้นข่มเหง เคยนึกถึงความรู้สึกของพ่อแม่บ้างไหม? พวกเขารักเธอมากขนาดไหน ฟูมฟักเธอจากทารกที่ไม่เป็นอะไรเลยมาจนมีวันนี้ ครอบครัวเธออาจฐานะไม่ดี แต่ในใจของพวกเขาเธอเป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียว แต่เธอกลับเหยียบย่ำความรักที่พวกเขามีให้ ไปเอาอกเอาใจผู้ชายคนอื่น”
แค่คำพูดไม่กี่คำแต่ทำเสี่ยวฮวาร้องไห้จนพูดไม่ออก
เธอนึกถึงวัยเด็ก พ่อจับเธอนั่งตรงที่นั่งเสริมด้านหน้าของจักรยานคันเก่า ปั่นฝ่าลมพายุไปส่งเธอที่โรงเรียน นึกถึงแม่ที่คีบไข่ในกับข้าวที่มีอยู่เพียงชิ้นเดียวให้เธอกิน
“เธอต่อสู้อยู่ข้างนอกคิดว่าได้เจอครอบครัวของตัวเองแล้ว แล้วเธอเคยกลับไปดูพวกเขาไหม ตอนที่เธอถูกตบ เคยถามความรู้สึกของพ่อแม่ไหม เธอคิดว่าถ้าพ่อแม่รู้ว่าลูกสุดที่รักของพวกเขาถูกทำร้ายเหมือนเป็นกระสอบทรายใบหนึ่งพวกเขาจะรู้สึกยังไง?”
“หยุดพูดได้แล้ว หยุด…” เสี่ยวฮวาร้องไห้หมดสภาพ
ไม่ว่าเวลาไหนประธานเชี่ยนก็ยังคงเป็นประธานเชี่ยน คำพูดแค่ไม่กี่ประโยคก็สามารถแทงถึงจุดอ่อนภายในใจได้
เสี่ยวฮวานิสัยไม่ดี ตัวเธอมีนิสัยแย่ๆหลายอย่างมารวมกัน
เธอขี้อิจฉา ขี้นินทา ชอบหาพรรคหาพวก เธออิจฉาริษยาเสี่ยวเชี่ยนมาก ขณะเดียวกันก็อยากพยายามแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของตัวเอง
อยากยืนหยัดอยู่ให้ได้ในเมืองใหญ่ อยากพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเองเป็นคนเก่งมีความสามารถ
ก่อนที่เสี่ยวเชี่ยนจะปรากฏตัวเธอเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเพียงหนึ่งเดียวของเถ้าแก่ใหญ่ การเรียนโดดเด่น พยายามจะดันตัวเองไปให้สูง
แต่พอเสี่ยวเชี่ยนปรากฏตัว เธอก็ตกกระป๋อง
คนที่ได้นั่งข้างเถ้าแก่ใหญ่คือเสี่ยวเชี่ยนเสมอ เถ้าแก่ใหญ่ชอบหันไปซุบซิบกับเสี่ยวเชี่ยนบ่อยๆ
ก่อเกิดเป็นความอิจฉาริษยาขึ้นในจิตใจ เธอจึงเที่ยวพูดจาใส่ร้ายเสี่ยวเชี่ยนไปทั่ว โดยเฉพาะหลังจากที่ถูกเสี่ยวเชี่ยนเอาคืนด้วยยาหม่องน้ำครั้งนั้น เธอก็ยิ่งเกลียดเสี่ยวเชี่ยนหนักขึ้น
แต่ยามที่เธอถึงจุดตกต่ำในชีวิต ไม่มี‘เพื่อนสนิท’ ของเธอออกหน้ามาช่วยเลยสักคน คนที่ตบหน้าเธอสองครั้งทำให้เธอได้สติเรื่องพ่อแม่กลับเป็นเสี่ยวเชี่ยน
“ฉันก็แค่อยากเตือนเธอ แล้วก็เตือนผู้หญิงทุกคนที่ถูกใช้ความรุนแรงในครอบครัวว่า ร่างกายนี้พ่อแม่ให้มา ทุกคนได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ พ่อแม่เลี้ยงมาด้วยความยากลำบากไม่ใช่เพื่อให้โตมากลายเป็นเครื่องมือรองรับอารมณ์ของใคร ความอดทนไม่ได้แลกมาซึ่งรักแท้ ถ้าเกิดการใช้ความรุนแรงก่อนแต่งงาน วิธีจัดการที่ดีที่สุดก็คือเลิกกัน ไม่มีอะไรให้ต้องคิดอีก”
ถ้าก่อนแต่งงานผู้ชายมีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรง คนๆนั้นก็ไม่มีค่าให้ทุ่มเทความรู้สึก
คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับผู้ขอรับคำปรึกษาเรื่องนี้ก็คือ บอกเลิก
อย่ามาพูดเรื่องใช้ความรักเพื่อเอาชนะ คนบางคนชอบใช้กำลังกับคนที่อ่อนแอจนติดเป็นสันดาน ความรักทำให้คนเหล่านี้ดีขึ้นมาไม่ได้หรอก ถ้ามีแรงทำแบบนั้นไม่สู้ไปหาผู้ชายใหม่ที่ดีกว่า ทำไมจะต้องลำบากเอาห่วงมาผูกคอตัวเอง
ถ้าเป็นการใช้ความรุนแรงหลังแต่งงาน วิธีจัดการจะซับซ้อนขึ้น มีลูกหรือเปล่า แบ่งทรัพย์สินยังไง จะถูกอีกฝ่ายทำร้ายร่างกายต่อเนื่องหรือไม่ ผู้ให้คำปรึกษาจะแนะนำว่าสมควรหย่าหรือไม่ตามสถานการณ์ โดยยึดหลักการที่ผู้ขอรับคำปรึกษาจะสูญเสียและบาดเจ็บน้อยที่สุด
ถ้าเป็นก่อนแต่งงานก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูดมาก ทางเดียวเลยคือเลิก
“แต่พวกเราจดทะเบียนกันแล้ว…”
ถึงจะไม่ได้จัดงานแต่ง แต่เสี่ยวฮวาจดทะเบียนสมรสกับผู้ชายคนนี้แล้ว นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเป็นทุกข์
เพราะช่วงนี้ความสัมพันธ์ไม่ค่อยราบรื่น เสี่ยวฮวาจึงเอาอารมณ์ไปลงกับงาน ก่อให้เกิดเหตุการณ์ผู้ป่วยภาวะบุคลิกผิดปกติชนิดก้ำกึ่งฆ่าตัวตาย เรื่องพวกนี้พอประเดประดังเข้ามาเธอจึงเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
ถ้ามองจากมุมมองของเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวฮวาที่เห็นแก่ตัว จิตใจคับแคบ ขี้อิจฉาริษยา ทำตัวจองหอง ไม่ใช่คนที่น่าคบเลยสักนิด
แต่ถ้ามองโดยรวม เสี่ยวฮวาก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเลย เธอพยายามพิสูจน์ตัวเอง เธออยากรักษาผู้ป่วยรายนั้นด้วยใจจริง ถึงความสามารถของเธอในตอนนี้จะยังทำให้บรรลุเป้าหมายไม่ได้ก็ตาม การที่ผู้ป่วยคิดฆ่าตัวตายได้ทำให้จิตใจเธอบอบช้ำอย่างหนัก
ก่อนเสี่ยวเชี่ยนจะมาถึง เสี่ยวฮวาเสียใจจนอยากออกจากวงการนี้เลยด้วยซ้ำ
เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะจะเป็นจิตแพทย์
ตบสองทีของเสี่ยวเชี่ยนมาได้จังหวะพอดีมาก
“มีการใช้ความรุนแรงหลังจดทะเบียนกันแล้วเธอบอกฉันมาซิว่า ถ้าเธอเป็นผู้ให้คำปรึกษาแล้วมีคนมาขอคำแนะนำเธอจะตอบว่ายังไง?”