“ถ้าเป็นเธอ…เธอจะทำไง? คนไข้ภาวะบุคลิกผิดปกติชนิดก้ำกึ่งทำให้ฉันหมดกำลังใจ เดิมเขาก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือกับฉัน…”
“ไม่ให้ความร่วมมือก็เป็นเรื่องปกติ จุดเด่นของภาวะบุคลิกผิดปกติชนิดก้ำกึ่งก็คืออารมณ์ไม่มั่นคง มักจะชอบใช้วิธีเช่นฆ่าตัวตายมาขมขู่คนที่ตัวเองคิดว่าสำคัญ นี่มันก็เป็นลักษณะเด่นในการวินิจฉัยอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? การที่เขาฆ่าตัวตายเพื่อข่มขู่เธอก็แสดงให้เห็นว่าเธอสำคัญสำหรับเขามาก ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำก็คือทำให้เขามีสภาวะอารมณ์ที่ปกติ ทำให้เขารู้ว่าเธอให้ความสำคัญกับเขา พิสูจน์ให้เขาเห็นจนกว่าเขาจะมั่นใจว่าเธอให้ความสำคัญกับเขาจริงๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลายาวนาน ในช่วงระยะเวลานี้ ไม่เพียงแต่อาการเขาจะดีขึ้น เธอยังได้ค่อยๆเรียกความมั่นใจกลับคืนมาด้วย มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ?”
จิตแพทย์เป็นอาชีพที่ลำบากมาก
โดยเฉพาะยามที่พวกเขาต้องเจอผู้ป่วยภาวะบุคลิกผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้จะมองว่าจิตแพทย์เป็นคนสำคัญสำหรับพวกเขา สภาพอารมณ์ที่ขัดแย้งภายในจิตใจจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือถึงขนาดที่ว่าผู้ป่วยภาวะบุคลิกผิดปกติชนิดก้ำกึ่งจะใช้ความตายมาข่มขู่จิตแพทย์ที่รักษาตัวเองบ่อยๆ
“ยามที่คนบนโลกนี้ไม่เข้าใจคนไข้ของเรา เธอก็คือคนเดียวที่จะช่วยเขาได้ ในระหว่างนี้เธอจะต้องรักษาสภาพจิตใจให้เป็นกลาง มีจิตใจที่เข้มแข็ง หลิวเสี่ยวฮวา เธอไปรักษาคนไข้คนนั้นต่อเถอะ ไปพิสูจน์ให้เถ้าแก่ใหญ่เห็นว่าเขาคิดไม่ผิดที่รับเธอเป็นศิษย์ ไปเรียกความมั่นใจของเธอกลับมา ค้นหาคุณค่าของตัวเอง ถึงตอนนั้นเธอก็จะมองอะไรชัดเจนขึ้น อำนาจในการหย่าจะอยู่ในมือเธอ”
เสี่ยวเชี่ยนพูดจบก็จับสายกระเป๋าแล้วยืนขึ้นเตรียมตัวกลับ
หลิวเสี่ยวฮวาคิดได้เพราะคำพูดเสี่ยวเชี่ยน
บุคลิกของเสี่ยวเชี่ยนในเวลานี้น่าเกรงขามยิ่งกว่าเถ้าแก่ใหญ่ ในที่สุดเสี่ยวฮวาก็เข้าใจถึงความหมายที่คนเรียก ‘ประธานเชี่ยนแล้ว’
ไม่ใช่เพราะเสี่ยวเชี่ยนมีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลัง
และก็ไม่ใช่เพราะเธอเป็นจอมเทพที่ได้รับรางวัลมากที่สุดตั้งแต่มหาวิทยาลัยก่อตั้งมา
แต่เป็นเพราะตัวเธอเองที่คู่ควรกับคำว่า ‘ประธาน’
เสี่ยวเชี่ยนใช้ความสามารถของตัวเองพิสูจน์ความเก่ง และได้ทำให้ศัตรูที่เคยอิจฉาไม่ชอบหน้าเธอศิโรราบได้
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน…ขอบใจนะ” เสี่ยวฮวาพูดเสียงอ่อน
เสี่ยวเชี่ยนจบเธอ ด่าเธอ แต่เสี่ยวเชี่ยนก็เป็นคนที่ฉุดเธอออกมาจากทางมืดมน
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันไม่ได้ทำเพื่อเธอ”
เธอทำเพื่อศาสตราจารย์หลิว ถ้าเสี่ยวฮวาเลิกเป็นจิตแพทย์เพราะสะเทือนใจเรื่องนี้ คนที่จะเสียใจที่สุดก็คือศาสตราจารย์หลิว
ยามที่คนเราหลงทาง บางทีคำพูดกับการกระทำบางอย่างก็ช่วยเปลี่ยนชีวิตคนๆหนึ่งได้
เสี่ยวฮวาไม่รู้ว่าถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่มาเธอจะเป็นอย่างไร แต่เธอรู้ว่าเพราะคำพูดที่เฉียบคมของเสี่ยวเชี่ยนเมื่อครู่ทำให้เกิดแรงผลักดันต่อตัวเธอ
เสี่ยวเชี่ยนเดินไปที่ประตู พอเปิดประตูก็เห็นหลิวเหมยกับฉิวฉิวยืนถือไม้เบสบอลอยู่
“ไหนอะพี่ ให้ซัดใคร?” หลิวเหมยพอเข้าไปในบ้านก็รีบถามทันที
“สารเลวคงหนีไปแล้วล่ะ” เสี่ยวเชี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“รบกวนพวกเธอแล้ว…งั้นก็เข้ามากินน้ำก่อนไหม” เสี่ยวฮวาพอเห็นลูกน้องของเสี่ยวเชี่ยนก็เป็นกังวลเล็กน้อย
“ไม่ต้องหรอก ขอให้ฉลาดขึ้นเป็นพอ ครั้งหน้าถ้ามันกล้าลงมืออีกเอามันให้ตายเลยนะ สู้ให้สุดแรงเกิดเลย การที่คนเรียนจิตวิทยายอมให้ถูกใช้ความรุนแรงในครอบครัวมันคือความอัปยศ สะกดจิตเป็นไหม? ถ้าเป็นก็สะกดจิตมัน เอาให้มันร้องเสียงหมาเสียงแมวออกมาแล้วอัดเสียงไว้ไปเปิดให้เพื่อนๆมันฟัง ใช้ยานอนหลับเป็นไหม? วางยาแล้วจับมันมัดซะ จากนั้นจะเทียนจะแส้ก็ตามสบาย ให้มันทำแบบทดสอบจิตวิทยาเป็นไหม? ทำเสร็จก็วิเคราะห์ว่ามันเป็นคนยังไง แล้วก็ขยี้จุดอ่อนมันอย่าให้เหลือซาก”
คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนเล่นเอาลูกน้องสองคนถึงกลับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ น่ากลัวเหลือเกิน
จะมีเรื่องกับใครก็อย่ามีเรื่องกับจิตแพทย์ สามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องใช้มีด
“หลักการมีเพียงอย่างเดียว ความอ่อนโยนและความอดทนมีแต่จะทำให้การใช้ความรุนแรงในครอบครัวยืดเยื้อ ถ้าเธอไม่อยากไปจากมัน ก็ทำให้มันว่านอนสอนง่ายซะ ให้มันรู้ว่าอย่ามาหาเรื่องเธอ มนุษย์เป็นสัตว์ที่เก่งแต่กับคนอ่อนแอ เข้าใจไหม?”
“งั้นถ้าฉันทำแบบนั้นแล้วเขายัง…”
“งั้นก็แสดงว่าเขาเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง รีบหย่าก่อนที่พวกเธอจะมีลูกไม่ดีกว่าเหรอ? ต่อไปคำถามโง่ๆแบบนี้ไม่ต้องมาถามฉันนะ”
เสี่ยวเชี่ยนโบกมือแล้วพาลูกน้องสองคนออกจากบ้านเสี่ยวฮวา ก่อนไปเสี่ยวเชี่ยนมีทิ้งท้ายคำพูดโดยไม่หันไปมอง ซึ่งทำให้เสี่ยวฮวาน้ำตาร่วง
“พึงระลึกไว้เสมอว่าเธอเป็นศิษย์ของเถ้าแก่ใหญ่ ถ้าชีวิตเธอไม่ดีก็เท่ากับตบหน้าเถ้าแก่ใหญ่ ฉันไม่อยากมีรุ่นพี่ที่ทำขายหน้า คิดเอาเองแล้วกัน”
เฉินเสี่ยวเชี่ยน ภูเขาลูกใหญ่ที่หนักแน่นมั่นคง บุคคลในตำนานที่เป็นเหมือนเสาหลัก นี่คือความรู้สึกของเสี่ยวฮวาในเวลานี้ขณะมองส่งเสี่ยวเชี่ยนเดินลับไป
และก่อนหน้านี้เธอทำตัวเป็นศัตรูกับเสี่ยวเชี่ยนอย่างไม่รู้จักกลัวตาย…เสี่ยวฮวาร้องไห้ตัวโยน เธอเพิ่งจะรู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองโง่แค่ไหน
พอออกจากบ้านเสี่ยวฮวามาแล้วหลิวเหมยก็มองไม้เบสบอลในมือ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
“ฉันเพิ่งค้นพบว่าปากของพี่สะใภ้โหดกว่าไม้เบสบอลอีก
ไม้เบสบอลก็แค่ตีแล้วเจ็บภายนอก แต่คำพูดที่ออกจากปากเสี่ยวเชี่ยนอาจทำให้คนจดจำไปตลอดชีวิต อารมณ์ของเสี่ยวฮวาตอนนี้ที่ถูกเสี่ยวเชี่ยนพูดให้คิดเป็นอย่างไรบ้างไม่มีใครรู้ แต่คิดดูก็รู้ว่าคงไม่ดีแน่ ประธานเชี่ยนลงมือขั้นโหดสุดก็เพื่อให้คนจดจำเธอไปตลอดชีวิตจนไม่กล้ามาหาเรื่องเธออีก
หลิวเหมยถามด้วยความอยากรู้
“พี่สะใภ้ พี่ไม่ถูกกับเขาไม่ใช่เหรอ?”
เธอยังจำเรื่องที่คราวก่อนเสี่ยวฮวาจะให้คนเข้ามาทำร้ายเสี่ยวเชี่ยนได้อยู่
“รอถึงวันที่เธอเข้าใจว่าโลกนี้ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวรเธอก็จะเข้าใจสัจธรรมนี้เอง”
“สัจธรรมอะไรเหรอคะ?”
“ยามที่รอบตัวคนๆหนึ่งเต็มไปด้วยคนแปลกประหลาดและคนเก่ง มีความเป็นไปได้สูงที่คนๆนั้นก็เป็นคนที่เก่งด้วยเหมือนกัน คนที่มีอีคิวอย่างแท้จริงจะคอยสร้างสมดุลให้กับความสัมพันธ์รอบตัวเสมอ คนเก่งจะถูกสยบ คนไม่เก่งจะถูกเก็บ สุดท้ายมีแค่คนที่ไร้ความสามารถเท่านั้นถึงที่จะว่าคนรอบตัวเองเก่งหมด วันๆจึงเอาแต่หดหัวอยู่ในบ้าน เที่ยวนินทาลับหลังคนที่เก่งกว่าไปทั่ว”
“ฟังดูมีเหตุผล…แต่ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ พี่สะใภ้ พูดให้เข้าใจง่ายหน่อยได้ไหมอะ?”
“เอาง่ายๆก็คือ เธอคิดว่าถ้าไม่มีเถ้าแก่ใหญ่แล้วพี่จะมาสนเรื่องไร้สาระแบบนี้เหรอ? ไป เดี๋ยวพาไปกินของอร่อย”
ชีวิตก็คือการที่ปัญหาต่างๆเข้ามาผูกอยู่ด้วยกัน มีความสามารถแก้ปัญหาได้ ชีวิตก็จะสบายขึ้นหน่อย
“พูดถึงเรื่องของอร่อย แถวโรงเรียนของพวกเรามีร้านก๋วยเตี๋ยวมาเปิด อร่อยที่สุดในจักรวาลเลยนะพี่สะใภ้ ไม่ต้องไปไหนหรอกไปร้านนั้นกันเถอะ เดี๋ยวซื้ออย่างอื่นไปกินแกล้มด้วย”
หลิวเหมยเป็นนักกิน ตะลุยกินได้หมดไม่ว่าจะถูกหรือแพง ถ้าเสี่ยวเชี่ยนพาไปจะต้องไปกินของแพงแน่นอน แต่อากาศร้อนๆแบบนี้บางครั้งร้านข้างทางก็เจ๋งไม่แพ้ไปกว่าร้านหรูๆเลยด้วยซ้ำ
“ก็ได้ พี่จะได้ไปดูด้วยว่าโรงเรียนพวกเธอตกแต่งไปถึงไหนแล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนตอบตกลง ขณะที่ทั้งสามคนกำลังจะเดินไป อยู่ๆฉิวฉิวที่เงียบอยู่นานก็ทำเสียงจึ๊ๆ