“หืม?”
“พูดตามตรงเลยนะครับ ต่อให้เป็นผมก็ยังต้องละอายใจเลยครับ หลังจากที่เผชิญหน้ากันมาหลายครั้งนี้ ผมเชื่อว่าประธานซุนก็คงดูออกเหมือนกันว่า แผนที่โป๋สิ้นหงวางไว้ รวมถึงแผนก่อนหน้านี้ของผม มันถือว่าเป็นแผนที่ดีแล้วนะครับ แต่เจียงชื่อกลับพลิกสถาณการ์ณที่เลวร้ายให้กลับมาเป็นดีได้ มันไม่เพียงแต่ไม่สูญเสียงอะไรเลย แต่นับวันมันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เล่นเอาพวกเราไม่รู้จะทำยังไงต่อแล้วครับ”
หลังจากหยุดไปสักพัก ซีเหมินจุ้นก็พูดต่อว่า “ดังนั้นผมคิดดูดีๆ แล้ว ทั้งบริษัทเทียนติ่งของเรา ไม่มีใครที่จะรับมือเจียงชื่อได้จริงแล้วครับ”
“และผมยังรู้สึกว่า อันที่จริงแล้วเจียงชื่อสามารถถอนรากถอนโคนเราได้ แต่มันไม่อยากทำเท่านั้น มันแค่ต้องการทรมานพวกเราไปเรื่อยๆ”
“ว่าไงนะ?” ซุนหย่งเจินถึงกับตะลึง “นี่คุณพูดตลกอะไรอยู่?”
ซีเหมินจุ้นยิ้มอย่างขมขื่น “ถึงแม้ความคิดนี้อาจดูไร้สาระ แต่นับวันผมยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นอย่างที่คิด มันก็เหมือนกับแมวจับหนูครับ แมวไม่ได้จับเพื่อกิน แต่เพียงแค่จะเล่นหนูเท่านั้น เจียงชื่อมันก็คงอยากให้เราสัมผัสถึงการที่ถูกคนล้อเล่นเหมือนกัน มันอยากเห็นพวกเราดิ้นรนเพื่อจะเอาตัวรอด แต่สุดท้ายก็หมดหนทางรอดอยู่ดี”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ซีเหมินจุ้นควรที่จะเป็นมันสมองของอันดับหนึ่งของบริษัทเทียนติ่ง
สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เจียงชื่อต้องการเห็นทั้งนั้น
ซุนหย่งเจินตบโต๊ะด้วยความโกรธ “หรือว่าเราจะถูกมันคอยเล่น คอยปั่นหัว และมันคิดอยากทำอะไรกับเราก็ได้งั้นเหรอ?”
“ปัจจุบันดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างนั้นครับ”
จากนั้นบรรยากาศในห้องก็เงียบลงไป ทั้งสองคนไม่รู้จะพูดอะไรอีก
ความรู้สึกที่ต้องการจะหลุดพ้น แต่ถึงแม้จะดิ้นรนเท่าไหร่มันก็ดินไม่หลุด ซึ่งความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่เจียงชื่ออยากให้พวกเขาได้รู้สึกมาตลอด!
สุดท้ายแล้ว ซีเหมินจุ้นได้แต่ยิ้มส่ายหัวอย่างขมขื่น
“อันที่จริงแล้ว มีคนหนึ่งที่สามารถต่อกรกับเจียงชื่อได้ และเขาก็อยู่ข้างๆ เราด้วยครับ”
“หืม? หมายถึงใคร?” ซุนหย่งเจินถามขึ้นทันที
ซีเหมินจุ้นมองไปที่ซุนหย่งเจินแล้วพูดอย่างมีนัยว่า “ประธานซุนครับ อันที่จริง คุณรู้ดีว่าผมกำลังพูดถึงใครอยู่”
สีหน้าของซุนหย่งเจินเปลี่ยนไป หากเป็นผู้ชายคนนั้นจริงๆ เขาสามารถต่อกรกับเจียงชื่อได้อย่างแน่นอน เพราะเขาคนนั้นเป็นผู้ชายที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใครมาก่อน ในสายตาของซุนหย่งเจิน ผู้ชายคนนั้นก็คือคนที่ ‘อยู่ยงคงกระพัน’
แต่……
ซุนหย่งเจินส่ายหัวแล้วพูดต่อ “ไม่มีทาง ผมไม่มีทางไปหาเขาหรอก ล้มเลิกความคิดนี้เถอะ!”
ซีเหมินจุ้นถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผมรู้ว่าคุณต้องตอบแบบนี้ครับ แต่ประธานซุนครับ จวบจนถึงตอนนี้แล้ว นอกจากเขาคนนั้น ผมคิดไม่ออกแล้วจริงๆ ว่าจะมีใครรับมือกับเจียงชื่อได้อีก”
จากนั้นบรรยากาศก็เริ่มตึงเครียดอีกครั้ง
ซุนหย่งเจินสับสนกับความคิดในหัวมากมาย และสุดท้ายพูดอย่างจนปัญญาว่า “ถึงแม้ผมจะไปหาเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมช่วยผมนะ”
ซีเหมินจุ้นยิ้มจางๆ
“ไม่แน่นอนนะครับ”
“อย่างที่พูดกันครับ เลือดมันข้นกว่าน้ำ”
“ประธานซุนครับ แม้พวกคุณเคยมีเรื่องขัดใจกับเขามาก่อน”
“แต่ถึงอย่างไรแล้ว เขาก็ยังเป็นน้องชายของคุณ น้องชายแท้ๆ ของคุณนะครับ”
“เมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ต่อให้ก่อนหน้านี้เคยเกลียดชังกันมาก่อน แต่เขาก็ต้องลืมมันไป และเขาจะต้องช่วยคุณอยู่แล้วครับ”
“นี่มันความสัมพันธ์ทางสายเลือดนะครับ”
ซุนหย่งเจินได้แต่ขมวดคิ้ว เขาตกอยู่ในห้วงความคิดจนลืมสูบบุหรี่ที่คาบอยู่บนปากแล้ว
ผู้ชายคนนั้น
จะต้องไปหาผู้ชายคนนั้นจริงๆ ใช่ไหม?
“ช่างเถอะ!”
เรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผู้ชายคนนั้น จากนั้นซุนหย่งเจินก็ลุกขึ้นอย่างหมดหนทางและเดินออกจากประตูออฟฟิศไป
ซีเหมินจุ้นได้แต่มองดูแผ่นหลังของซุนหย่งเจินที่กำลังเดินออกไปและส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ถ้าเขากลับมา”
“ฉายาที่ว่าเป็นมันสมองอันดับหนึ่งคงต้องเปลี่ยนคนแล้วล่ะ”