“เป็นผู้ป่วยโรคประสาทที่ถูกย้ายมาจากในเมืองครับ เขาเป็นพวกชอบกระทำรุนแรง”
ผู้อำนวยการโบกมือให้รีบพาไปโซนกักกัน แผนกตรวจกับผู้ป่วยในห่างกันแค่ชั้นบนชั้นล่าง ตรงบันไดทางขึ้นมีประตูเหล็กกั้นอยู่ ถูกล็อคอย่างหนาแน่น เบื้องหลังประตูบานนั้นเป็นอีกโลกหนึ่ง
เสี่ยวเชี่ยนฟังคนไข้คนนั้นตะโกน คนที่ถึงขนาดถูกจับมัดก็คือส่วนน้อยที่เธอกับฟู่กุ้ยพูดถึง เป็นผู้ป่วยที่ชอบกระทำรุนแรง แบบนี้น่าจะถูกพาไปอยู่โซนอันตรายที่ไม่มีอิสระ
“อักษรพู่กันที่อยู่บนกำแพงสวยดีนะคะ” เสี่ยวเชี่ยนเบนสายตาไปมองที่ศิลปะอักษรจีนบนกำแพง เขียนได้หนักแน่นเป็นระเบียบมาก”
“ฮ่าๆ นี่เป็นผลงานของคนไข้เรา เหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ? ที่ห้องทำงานผมมีภาพวาดพู่กันจีนด้วยนะ คนไข้อีกคนเป็นคนวาด สวยมากทีเดียว”
“ถึงได้มีคนเคยบอกไงคะว่า อัจฉริยะอยู่ซ้าย คนบ้าอยู่ขวา”
ผู้ป่วยโรคประสาทหลายคนมีพรสวรรค์ในบางเรื่องยิ่งกว่าคนปกติ ระหว่างอัจฉริยะกับคนบ้ามีแค่เส้นบางๆขวางกั้น
“ฮ่าๆ คำพูดนี้น่าสนใจดีนะ” ผู้อำนวยการหัวเราะ
“หัวเราะอะไรคะ?” เสี่ยวเชี่ยนมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ
“ผมหัวเราะที่ ท่าทางของคุณเหมือนคนๆหนึ่งเปี๊ยบเลย ตอนนั้นมีคนมาหาผมที่นี่ แล้วเขาก็พูดแบบนี้ พวกคุณสองคนพูดเหมือนกันไม่มีผิด”
“จริงเหรอคะ?”
ถ้าเสี่ยวเชี่ยนจำไม่ผิดล่ะก็ อัจฉริยะอยู่ซ้าย คนบ้าอยู่ขวาเป็นหนังสือที่ออกหลังจากนี้ไปอีกหลายปี คนวงการเดียวกันคนไหนที่มองการไกลพูดออกมาแบบนี้ได้?
“ที่บังเอิญยิ่งกว่าก็คือ ท่าทางของพวกคุณยังเหมือนกันด้วย ตอนนั้นผมเป็นคนพาเขาเดินชมเหมือนกัน พอเดินมาถึงตรงที่คุณยืนตรงนี้ เขาก็มองอักษรพู่กันบนกำแพงแล้วชมว่ามันสวย พอผมบอกว่าในห้องทำงานผมมีภาพวาดฝีมือคนไข้อีกคนด้วย เขาก็พูดว่าอัจฉริยะอยู่ซ้าย คนบ้าอยู่ขวา พวกคุณแสดงท่าทางออกมาได้เหมือนกันเปี๊ยบ”
“…คนๆนี้คือใครเหรอคะ?”
“เขาโด่งดังในระดับนานาชาติ…”
“เหม่ยเหวย คุณใช่เหม่ยเหวยหรือเปล่า”
คนไข้โรคประสาทที่ถูกจับมัดพอเดินไปถึงประตูเหล็กก็ได้ยินเสียงเสี่ยวเชี่ยนคุยกับผู้อำนวยการพอดีจึงตะโกนถามขึ้นมา
เสี่ยวเชี่ยนอึ้ง ทำไมมาที่นี่ก็ยังมีผู้ฟังที่เคยฟังรายการของเธอด้วย?
เสียงปกติเวลาที่เธอพูดไม่ค่อยเหมือนเสียงในวิทยุ เสียงที่ออกอากาศไปจะเล็กมาก ผ่านไมโครโฟนออกไปจะกลายเป็นเสียงที่น่าฟัง คนไข้รายนี้ฟังออกทันทีว่าเป็นเสียงเธอก็แสดงว่าปกติฟังรายการของเธอบ่อยแน่นอน
แต่ประโยคถัดไปของคนไข้รายนี้ทำให้เสี่ยวเชี่ยนอยากขำน้ำตาเล็ด
“ปล่อยดิวะ ฉันจะบอกให้นะ เหม่ยเหวยน่ะเมียฉันนะโว้ย ฉันจะให้เหม่ยเหวยมีลูกให้ฉัน ผู้หญิงที่จะเป็นแม่บ้านแม่เรือนไม่ควรไปทำงานที่สถานีวิทยุ เหม่ยเหวย คุณเป็นของผม คุณเป็นของผมคนเดียว คุณเป็นของ…อุ๊บ”
เขาถูกอุดปาก จากนั้นก็ตามด้วยเสียงประตูเหล็กที่ถูกเปิดออก คนไข้รายนั้นถูกพาตัวไปยังแผนกผู้ป่วยใน จะเกิดอะไรขึ้นอีกเสี่ยวเชี่ยนไม่รู้แล้ว
“ไม่ต้องกลัวนะ” ผู้อำนวยการไม่คิดว่าจะเจอแฟนคลับของเสี่ยวเชี่ยน เขาก็แค่ช่วยตามที่เพื่อนเก่าขอร้องให้เสี่ยวเชี่ยนมาช่วยงานที่นี่หนึ่งวัน ปรากฏว่าดันมาเกิดเหตุการณ์บังเอิญแบบนี้
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกค่ะ เขาเป็นผู้ป่วยโรคหลงผิด ชอบคิดไปเอง อาจจะมีอาการอิจฉาบ้าง ขี้สงสัยบ้าง แสดงความรักบ้าง ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ป่วยที่ชอบแสดงความรัก แต่มีการชอบใช้ความรุนแรงด้วย ที่โชคร้ายก็คือ…คนที่อยู่ในจินตนาการเขาคือฉัน”
เสี่ยวเชี่ยนตอบอย่างมืออาชีพ
และไม่แน่ว่า เพื่อนเก่าที่หลิวเหมยกับฟู่กุ้ยกำลังจะไปเยี่ยมที่สร้างเรื่องให้ตัวเองเป็นที่น่าสงสารก็อาจเป็นโรคหลงผิดด้วย คนไข้เมื่อครู่ที่บอกว่าเหม่ยเหวยเป็นเมียเขาก็เป็นโรคนี้เหมือนกัน
เพียงแต่โรคหลงผิดแบ่งออกเป็นอีกหลายประเภท บางคนวันๆเอาแต่คิดว่าตัวเองถูกคนทำร้าย แบบนั้นเรียกว่าโรคหลงผิดถูกคนทำร้าย คนไข้ที่เพิ่งถูกลากเข้าไปเป็นโรคหลงผิดในเรื่องความรัก ทั้งหมดนี้ล้วนชอบสร้างเรื่องของตัวเองที่มีอยู่ส่วนเดียวให้เกินจริง แล้วคิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง อย่างเช่น มีคนมาหลงรัก คนที่คิดถึงก็จะมีดาราไอดอลทั้งหลายหรือเป็นคนที่ไม่ใช่ระดับบุคคลธรรมดา แบบที่คนไข้เมื่อครู่คิดกับเสี่ยวเชี่ยน
เขาเชื่อมั่นมากว่าเหม่ยเหวยหลงรักเขาก่อน ทั้งที่จริงๆแล้วเขานอกจากจะได้ฟังเสียงเสี่ยวเชี่ยนทางวิทยุเท่านั้นก็ไม่เคยได้เจอกันที่ไหน แต่เขาเชื่อหนักแน่นว่าเหม่ยเหวยหลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนจัดรายการ ถ้าเธอพูดจาปลอบใจคนไข้คนไหน เขาก็จะคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนกำลังพูดให้เขาฟังอยู่ สาเหตุที่เขาถูกคนในครอบครัวส่งมาโรงพยาบาลประสาทก็เพราะคนในบ้านเห็นเขาเตรียมเชือกและอุปกรณ์อื่นๆเพื่อจะไปที่สถานีวิทยุแล้วจับมัด ‘ผู้หญิงของเขา’ กลับมา
โรคหลงผิดในเรื่องความรักแบบนี้น่ากลัวมาก โดยเฉพาะมักเกิดในกลุ่มคนที่คลั่งไคล้ศิลปินดารา พยายามพูดเน้นย้ำว่าดาราคนนั้นมาหลงรักตัวเอง แล้วคนแบบนี้ก็จะไปสะกดรอยตาม ลักพาตัว ลอบทำร้าย คิดฆ่า เป็นต้น เสี่ยวเชี่ยนซวยมากที่ถูกคนคิดแบบนั้น
คนไข้รายนั้นพอถูกชากเข้าไปแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้ พยายามโผล่หน้าตรงช่องหน้าต่างเล็กๆที่เป็นซี่กรงเพื่อมองเสี่ยวเชี่ยน เหม่ยเหวยสวยจริงๆ เธอรักเขา
“เลิกมองได้แล้ว รีบขึ้นไป” เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลลากตัวเขาไป มือของผู้ชายคนนั้นเอามือรั้งซี่กรงจนเป็นรอย ประหนึ่งว่าเพื่อแสดงความรักที่มีต่อเหม่ยเหวย…
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า ถูกคนที่เป็นโรคหลงผิดเอาตัวเองไปจินตนาการแบบนั้น เธอนี่โชคดีเป็นบ้า กลับไปจะไปซื้อลอตเตอรี่ เผื่อถูกรางวัลใหญ่ ขนาดจัดรายการวิทยุที่ไม่ได้เผยโฉมหน้ายังจะมีคนเอาเธอไปจินตนาการได้ เมื่อหลายวันก่อนทางสถานีได้ถามเธอมาด้วยว่าอยากไปออกรายการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ไหม โดยบอกว่าค่าตอบแทนไม่น้อย แต่เสี่ยวเชี่ยนก็ปฏิเสธไป
ต่อไปการช่วยให้ความรู้เรื่องจิตวิทยาเธอใช้วิธีทำผ่านตัวอักษรดีกว่า เสียงกับหน้าตาออกให้น้อยหน่อย ถูกคนไข้โรคประสาทเฝ้าคะนึงหาแบบนั้นไม่ใช่เรื่องดี
“ผู้อำนวยการยังพูดไม่จบเลยนะคะว่าใครเคยพูดแบบเดียวกับฉัน?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“ถ้าผมพูดไปคุณต้องรู้จักแน่นอน เขาเป็นศาสตราจารย์ระดับโลกที่ทรงอิทธิพลด้านจิตวิทยามาก เขาดังสุดๆในแวดวงสาขาประสาทระดับนานาชาติ”
“เขา?”
นั่นมันอาจารย์ที่ปรึกษาปริญญาเอกที่อาจารย์เธออยากประเคนเธอให้คนๆนี้มากไม่ใช่เหรอ?
แต่แล้วก็ถูกเสี่ยวเชี่ยนคิดหาสารพัดวิธีเพื่อหลีกเลี่ยง แล้วทำไมเธอมาอำเภอเล็กๆแบบนี้ก็ยังได้ยินเรื่องของเขาได้?
“ใช่ ศาสตราจารย์ชีมีท่าทางเหมือนคุณเปี๊ยบ”
เหตุการณ์เดียวกันแต่คนละช่วงเวลา ภาพศาสตราจารย์ชีมาเยือนที่นี่ครั้งแรกผู้อำนวยการยังจำได้ดี เพราะสถานที่เล็กๆแบบนี้ไม่ค่อยมีคนดังมาเท่าไรนัก
“เขามาที่นี่ได้ไงคะ?” เสี่ยวเชี่ยนสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที
“ถึงศาสตราจารย์ชีจะเป็นคนจีนที่ไปโตอยู่ต่างประเทศ แต่บรรพบุรุษของเขาเป็นชาวบ้านของอำเภอนี้ ดังนั้นทุกปีเขาจะกลับมาไหว้บรรพบุรุษที่นี่”
“…แล้วปกติเขามาเมื่อไรคะ?” เสี่ยวเชี่ยนสังหรณ์ใจไม่ดีหนักขึ้น
“ก็ช่วงประมาณวันสองวันนี้แหละ อาจารย์คุณบอกว่าให้คุณตั้งใจทำงานให้ดี แล้วให้ผมช่วยสนับสนุนคุณต่อหน้าศาสตราจารย์ชี ถ้าเขาเจอคุณจะต้องชอบคุณแน่”
มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ เสี่ยวเชี่ยนเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางหัวหลายเปรี้ยงอย่างต่อเนื่อง
เธอถูกอาจารย์หลอกแล้ว