ซินยุ่นก้มหัวลง พร้อมกับหันหลังเดินจากไป
เจียงชื่อนั้นจับที่ข้อมือของเธอเอาไว้
“จะไปแล้วเหรอ?”
“อืม”
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ดูไปอีกหน่อย”
ซินยุ่นรู้สึกโกรธเล็กน้อย “ยังจะดูอะไรอีก?ดูว่าพวกเขาแสดงกันอย่างไรน่ะเหรอ?หรือจะให้ดูว่าคนเหล่านี้จะทำให้ตระกูลซินของเราอับอายแค่ไหนกันน่ะเหรอ?”
“ไม่ใช่ทั้งนั้น”
เจียงชื่อเหลือบมองนาฬิกาของเขาและพูดอย่างแผ่วเบา “อย่างมากก็ใช้เวลาสาม30วินาที การแสดงละครที่ดีก็จะเริ่มฉากขึ้น”
ซินยุ่นขมวดคิ้ว เธอสงสัยจริงๆ ว่าเจียงชื่อกำลังทำอะไรอยู่
ที่นั่น ทุกคนต่างยกย่องสือเหวินปิ่ง อวยเกินเหตุอย่างไม่หยุดหย่อน อีกนิดก็คงตะโกนเรียกสือเหวินปิ่งว่า’พ่อ’แล้วล่ะ
สำหรับตระกูลซินนั้น กลายเป็นเหมือนบันไดให้ย่างก้าวไปสู่ความก้าวหน้า
บ่มเพาะและเหยียบย่ำไปในตัว
เมื่อเห็นว่าตระกูลซินนั้นหมดสิ้น เกรงว่าคงไม่มีที่ให้ยืนอีกต่อไปแล้ว
ในขณะนี้เองไม่รู้ว่าเพราะอะไร เด็กที่หายดีกลับกรีดร้องขึ้นมาพร้อมกับล้มลงกับพื้นอย่างแรง!ไม่ขยับเขยื้อนและไร้สติ
“ลูกชาย?!”
การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันนี้ทำให้หญิงคนนั้นตกใจเป็นอย่างมาก หล่อนรีบเข้าไปตรวจอาการของลูกชาย
คราวนี้ไม่ใช่การแสดง แต่กังวลจริงๆ ดูจากสายตาและการเคลื่อนไหวของหล่อน มันบอกได้ว่าแตกต่างจากเมื่อครู่นี้
“ลูกชาย ลูกเป็นอะไร?อย่าทำให้แม่ตกใจแบบนี้ รีบตื่นเถอะ”
การตะโกนไปมาซ้ำๆ ไม่สามารถปลุกเด็กให้ตื่นขึ้นมาได้
ทุกคนต่างมองหน้ากัน โรคที่เพิ่งรักษาหายกลับกำเริบขึ้นมาอีกงั้นเหรอ?
“คุณชายสือ รีบเข้าไปดูเถอะครับ” มีคนพูดเร่งเร้า
สือเหวินปิ่งนั้นดูสับสน เดิมทีสถานการณ์ก็ไม่ชัดเจนอยู่แล้ว ในบทไม่มีฉากนี้นี่ พวกเขาเพิ่มบทละครเข้ามามั่วๆ แบบนี้เหรอ?
เขาเดินไปหาเด็กอย่างไม่เต็มใจ เขาอุ้มเด็กมาวางไว้บนเตียงผู้ป่วยชั่วคราว
ในระหว่างการอุ้ม สือเหวินปิ่งนั้นพูดเสียงเบาๆ “มาถึงตรงนี้ก็พอ ไม่ต้องแสดงต่อแล้ว รีบพาเด็กออกไปซะ เงินที่จะให้ไม่น้อยแน่นอน”
หญิงคนนั้นกระวนกระวายใจ
“ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้บอกให้เขาแสดงต่อเขาสลบไปจริงๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
สือเหวินปิ่งปวดหัว
ไม่ได้ป่วยแต่แกล้งป่วยและกลายเป็นป่วยไปจริงๆ งั้นเหรอ?
คราวนี้ เขาจับชีพจรของเด็กจริงๆ จากนั้นทำการวินิจฉัยและพบว่าอาการของเด็กในตอนนี้นั้นยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก อีกทั้งมือและเท้าก็เย็นเฉียบ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
สือเหวินปิ่งนั้นไม่ได้เก่งเรื่องอายุรกรรมตั้งแต่แรก เมื่อพบอาการที่แปลกประหลาดเช่นนี้ เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เขาเป็นกังวลจนหน้าผากของเขามีเหงื่อไหลออกมา
“นี่คุณจัดการได้ไหมเนี่ย?”
หญิงคนนั้นวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เมื่อสักครู่ไม่ได้รีบร้อนเพราะว่าเป็นการแสร้งทำเป็นป่วย ซึ่งมันสามารถชะลอให้ช้าลงได้ แต่ตอนนี้ป่วยจริง ทุกวินาทีเกี่ยวข้องกับชีวิตของเด็ก ห้ามล่าช้าโดยเด็ดขาด
สือเหวินปิ่งเกาหน้าผากของเขาอย่างเชื่องช้า พร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่ำต้อย “ขอโทษด้วย ผมดูไม่ออกครับ”
ฝูงชนทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหล
เด็กคนนี้ดูเหมือนจะถูกสาปจริงๆ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่สือเหวินปิ่งจะช่วยให้รอดชีวิตขึ้นมาได้ ตอนนี้ก็ดันมาเป็นลมไปอีก ดูเหมือนว่าอาการป่วยของเขาจะรักษาไม่หายจริงๆ
สือควนขมวดคิ้วและเดินไป
“ออกไป ฉันจัดการเอง”
เดิมทีละครที่มีฉากของสือเหวินปิ่งกำลังจะเสร็จสมบูรณ์แล้วเชียว ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดหายนะขึ้นกันล่ะ?
สือควนทั้งโกรธและเป็นกังวล แต่เขายังคงระงับความโกรธและนั่งลงดูอาการป่วยของเด็ก
ทันทีที่วางมือก็รู้สึกว่าภาวะชีพจรของเด็กนั้นไม่ปกติ เดิมทีก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน แม้เขาจะกังวลเป็นอย่างมากแต่เขาก็จนมุม
ท่ามกลางฝูงชน ใบหน้าของเจียงชื่อนั้นปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
ซินยุ่นถามอย่างสงสัย “เด็กคนนี้ไม่ได้แกล้งป่วยและรวมหัวกันแสดงละครหรอกเหรอ ทำไมมาป่วยจริงได้ซะงั้นล่ะ?”
เจียงชื่อแสร้งทำเป็นไม่รู้และกล่าวว่า “ใช่น่ะสิ ของที่คิดว่าเป็นของปลอม สุดท้ายกลับกลายเป็นของจริงได้ซะงั้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?”