ฟู่กุ้ยบีบมือหลิวเหมยเล็กน้อยเพื่อบอกว่าอย่าพูด ญาติคนไข้เวลานี้สภาพจิตใจกำลังหดหู่ ความโกรธไม่มีที่ระบายเลยอยากหาแพะมารับบาป ซึ่งเรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้แต่มาว่าน้องสาวเขาแบบนี้ก็ดูไม่เหมาะ
จากหนึ่งคนเล่าไปสิบคน จากสิบคนเล่าต่อไปเป็นร้อย กลับไปวันๆพูดจาโยนความผิดให้เสี่ยวเชี่ยน สร้างข่าวลือให้แพร่ไปทั่ว เรื่องนี้ไม่ดีแน่
“ผมเป็นนักนิติจิตวิทยาครับ ถ้าพวกคุณเชื่อใจผมก็ลองเล่าสถานการณ์ของพวกคุณให้ผมฟังได้นะครับ บางทีผมอาจช่วยวิเคราะห์อาการได้ ผมทำงานอยู่ที่ศูนย์วิจัยนิติจิตวิทยาเมืองหลินครับ”
เมืองหลินอีกแล้ว ผู้อำนวยการที่ยืนอยู่แถวนั้นรีบหันหลบ กลัวจะมีคนจำเธอได้
คู่สามีภรรยาพอได้ยินว่าเป็นหมอเมืองหลินก็รู้สึกว่าต้องแพงกว่าหมอในอำเภอเล็กๆนี่แน่ พวกเขาฐานะไม่ได้ร่ำรวย ทำได้แค่มาหาหมอราคาถูกที่นี่
“ก่อนหน้านี้ลูกชายฉันเป็นโรคหลงผิด แต่ต่อมาก็คุมอาการได้ ปรากฏว่าพอได้ฟังรายการวิทยุเฮงซวยนั่นอาการเขาก็กำเริบขึ้นมาอีก เอะอะก็พิธีกรคนนั้น ผู้หญิงเสียงเพราะเก็บไว้คุยกับคนในบ้านก็พอแล้ว ทำไมต้องออกมาทำร้ายคนอื่นด้วย”
“เดี๋ยวนะป้าพูดแบบนี้หมายความว่าไง?” หลิวเหมยได้ฟังก็โมโห ขณะที่กำลังคิดจะเถียงกลับ ฟู่กุ้ยก็ดึงเธอไว้
“เข้าใจแล้วครับ ลูกชายคุณเป็นโรคหลงผิดในเรื่องความรัก เขาคิดว่าพิธีกรคนนั้นเป็นแฟนเขาใช่ไหมครับ?”
“ใช่ วันนี้ได้ยินว่ามีหมอผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาเหมือนพิธีกรคนนั้น อาการเขาก็เลยเป็นหนักขึ้นมาทันที ผู้หญิงเกิดมาหน้าตาสวยเกินไป เสียงเพราะเกินไปมีแต่จะเป็นภัยกับคนอื่น ทำลายบ้านเมือง บ้านไหนได้นังปีศาจแบบนี้ไปเป็นลูกสะใภ้ได้ซวยทั้งตระกูลแน่”
อะไรวะ เล่นถึงตระกูลอวี๋เลย? เกิดมาหน้าตาดีก็ผิด? ก็พ่อแม่ให้มาแบบนี้จะต้องเอามีดกรีดหน้าให้ตัวเองเสียโฉมหรือไง?
หลิวเหมยยังไม่ได้พูด ฟู่กุ้ยก็พอจะเดาได้จึงรีบเอามือปิดปากเธอ
“ขออภัยที่พูดตรงๆนะครับ ครอบครัวคุณมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคประสาทหรือเปล่าครับ? อย่างเช่นผู้ใหญ่ในบ้านเคยมีอาการทางประสาทมาก่อน?”
ฟู่กุ้ยมองออกแล้ว แม่ผู้ป่วยรายนี้เป็นคนที่มีอคติมาก ซึ่งมากเสียจนใกล้ป่วย การโกรธคนแบบนี้มีแต่จะทำให้ตัวเองเป็นบ้า
“น้าของเขาเป็น แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับลูกชายฉันด้วย ผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่เป็นตัวการ”
“ก่อนอื่นโรคหลงผิดเป็นแขนงหนึ่งของโรคจิตเภท ถึงตอนนี้พวกเราไม่อาจแน่ใจได้ว่าอาการของเขาเกิดจากกรรมพันธุ์หรือไม่ แต่ผลงานวิจัยจำนวนมากระบุว่า โรคจิตเภทเห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลจากกรรมพันธุ์ อย่างเช่นลูกของผู้ป่วยที่เป็นโรคจิตเภทจะมีอัตราการเป็นสูงกว่าคนปกติหลายเท่า บางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกให้เริ่มเป็นตั้งแต่ในท้องแล้ว บางคนเป็นมาแต่กำเนิด จะโทษใครอื่นก็ไม่ได้หรอกครับ เพราะคนที่ทำให้เขาเกิดมาคือพวกคุณ”
ฟู่กุ้ยพูดไปตามความจริง คนที่พาลโทษคนอื่นล้วนมีลักษณะเด่นที่เหมือนกันคือ ไม่กล้าที่จะเผชิญความจริง
“คุณบอกว่าลูกชายฉันเป็นโรคเพราะกรรมพันธุ์? ไร้สาระ ฉันกับพ่อเขาปกติดี” แม่คนไข้เดือดจัด รู้สึกเหมือนโดนพูดแทงใจดำ
เธอกลัวคนบอกว่าลูกชายเธอเป็นเหมือนน้องชายตัวเองที่สุด ดังนั้นถึงได้พาลโทษเหม่ยเหวย
“ผมก็แค่วิเคราะห์อาการไปตามหลักความเป็นจริงเท่านั้นครับ ปัจจุบันนี้พบว่าโรคที่สามารถติดต่อทางกรรมพันธุ์มีประมาณสามพันโรค ถึงจะยังบอกไม่ได้ว่าลูกคุณติดมาจากกรรมพันธุ์หรือไม่ แต่แน่ใจได้ว่าอัตราความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นโรคนี้มีสูงมากกว่าคนทั่วไป คุณพูดจาแบบนี้ไปก็ไม่ส่งผลดีต่อลูกชายคุณหรอกครับ รอถึงตอนที่อาการเขานิ่งจนออกจากโรงพยาบาลได้ ถ้าพวกคุณยังมีความคิดที่ชอบโทษคนอื่นแบบนี้อยู่อีกเขาก็จะติดนิสัยไปด้วย แล้วอาการก็จะกำเริบ ดังนั้นคนเป็นพ่อแม่ต้องรู้จักวางตัวเป็นกลาง อย่านำความรู้สึกด้านลบไปให้คนป่วย และก็อย่าเที่ยวตำหนิคนไปทั่ว หากรู้ถึงหูคนไข้เข้าอาการเขาจะยิ่งหนักนะครับ”
หลิวเหมยเข้าใจแล้ว พี่ฟู่กุ้ยนี่โหดจริง เขาคิดจะกำจัดคนที่ให้ร้ายพี่สะใภ้จากต้นเหตุจริงๆ
เธอรู้สึกนับถือเขาขึ้นมาทันที คนความรู้สูงนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ได้ผู้ชายแบบนี้มาอยู่ข้างกายย่อมพึ่งพาได้
“เอาล่ะ เลิกคุยดีกว่า ต่อไปแม่พูดจาก็ระวังด้วย อย่าไปพูดอะไรไม่ดีต่อหน้าลูก เพราะการที่เขาเป็นแบบนี้ก็ต้องโทษตัวคุณด้วย” หมออธิบายได้กระจ่างจริงๆ พ่อคนไข้รีบขอบคุณฟู่กุ้ยแล้วลากภรรยาตัวเองออกไป
ถ้าผู้อำนวยการไม่ได้บังเอิญอยู่ตรงนั้นด้วย คำพูดของฟู่กุ้ยก็ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว แต่ทว่าทั้งหมดนี้กลับถูกผู้อำนวยการที่กำลังรอรถได้ยินหมดแล้ว
รถโดยสารเล็กมาแล้ว สองสามีภรรยาคู่นั้นกับผู้อำนวยการขึ้นรถไป
ผู้อำนวยการกลัวคนจำได้เลยไม่ขับรถส่วนตัวมา เลือกที่จะนั่งรถโดยสารเล็กแล้วไปต่อรถประจำทางที่ไปต่างเมืองเอา
เธอเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง มองออกไปด้านนอกเห็นเสี่ยวเชี่ยนรีบร้อนออกมาจากศูนย์บำบัดจิตใจ ผู้อำนวยการรีบก้มหน้าทันที ไม่อยากให้เสี่ยวเชี่ยนเห็น
ผู้อำนวยการพอได้ยินเสียงห่างออกไปไกลแล้วถึงได้กล้าเงยหน้าขึ้นจ่ายค่ารถกับพนักงาน และที่บังเอิญกว่าก็คือ พ่อแม่ของผู้ป่วยโรคหลงผิดนั่งอยู่ด้านหน้าเธอ
“พ่อดูนั่นสิ นั่นไงนังจิ้งจอกคนนั้น”
“เงียบๆเถอะน่า ไม่ได้ยินที่หมอคนนั้นพูดเหรอ ถ้าไม่อยากให้ลูกอาการแย่ก็อย่าพูดเรื่องพวกนี้ เขาไม่ได้เป็นอะไรกับลูกเรา แม่ไปคิดดูดีๆนะ ก่อนหน้านี้ที่ลูกเราอาการกำเริบก็ชอบพูดว่าดาราคนนู้นคนนี้เป็นเมียไม่ใช่เหรอ?”
พ่อคนไข้ยังนับว่ามีสติดี ฟู่กุ้ยพูดแบบนั้นก็เข้าใจ ลูกชายเขาป่วยก็ต้องรักษา แล้วจะไปโทษคนที่เขาไม่รู้เรื่องได้ยังไง?
“นี่ตกลงคุณเป็นคนในครอบครัวฉันหรือครอบครัวมัน? ทำไมถึงได้เข้าข้างคนอื่น?” ผู้หญิงเริ่มพูดเสียงดัง
คนเป็นสามีหันหน้าหนีไม่อยากสนใจ “ที่ลูกชายเป็นแบบนี้ก็กรรมพันธุ์จากทางบ้านคุณนั่นแหละ”
นิสัยหัวรั้นอย่างภรรยาเขานี่น่ารังเกียจจริงๆ แถมลูกชายยังมาเป็นแบบนี้อีก
ผู้อำนวยการจำเรื่องนี้เอาไว้ รถวิ่งออกมาไกลจนไม่เห็นเสี่ยวเชี่ยนแล้ว แต่สองสามีภรรยาคู่นั้นยังเถียงกันไม่เลิก
“ลูกใช้แซ่บ้านคุณ ถ้าจะบอกว่าเป็นกรรมพันธุ์ก็ต้องมาจากทางบ้านคุณสิ”
คนที่มีอคติย่อมไม่สำนึกในความผิดของตัวเอง ชอบโยนความผิดให้คนอื่นเพื่อความสบายใจของตัวเอง คนแบบนี้พบได้ทั่วไป
ผู้หญิงยังคงบ่นไม่เลิก ส่วนผู้ชายนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ แต่อีกฝ่ายก็ยังบ่นไม่เลิก
“ลูกชายของคุณเป็นอะไรกับผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ?”
หลังจากที่รถแล่นออกมาไกลแล้วจนไม่เห็นเงาเสี่ยวเชี่ยนแล้ว ผู้อำนวยการถึงได้กล้าถาม
“ถ้าให้ฉันพูดนะ ทางการควรมาจับนังจิ้งจอกนั่นไปขังซะ แต่งตัวโป๊แบบนั้นคิดจะออกมายั่วผู้ชายล่ะไม่ว่า ทำให้ลูกฉันอาการหนัก”
ผู้หญิงคนนี้ชอบบ่น หากติดลมแล้วก็เอาแต่พูดให้คนอื่นฟังโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะอยากฟังหรือไม่
วันนี้เสี่ยวเชี่ยนแต่งตัวสบายๆ ใส่เสื้อผ้าป่านกับกางเกงขาบานที่เหมาะกับหน้าร้อน ดูแล้วออกสไตล์จีนๆ อยู่ห่างจากคำว่าแต่งตัวโป๊เยอะ เพียงแต่ด้วยความที่เธอรูปร่างเล็ก ใส่ชุดแบบนี้เลยดูหลวม ลมพัดทีเผยให้เห็นทรวดทรงองเอวที่สวยงามบ้าง แต่กลับกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ถูกนินทา