หากมีภัยธรรมชาติอะไรก็ตาม จะเป็นทหารที่อยู่ในค่ายละแวกนั้นมาช่วยงาน
พอได้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในภูเขาแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพายุฝนกระหน่ำ เสี่ยวเชี่ยนก็โล่งใจไปมาก อวี๋หมิงหลางปลอดภัยชั่วคราว แถมยังคุยกับเสี่ยวเชี่ยนได้ต่อด้วย
“วันนี้คุณมาทำอะไร?”
“อาจารย์ให้ฉันมาช่วยที่แผนกจิตเวชในโรงพยาบาลประสาท จริงสิเสี่ยวเฉียง วันนี้ฉันเจอเรื่องบังเอิญมากด้วยนะ…”
เสี่ยวเชี่ยนไม่อยากรีบวางสาย ในค่ำคืนที่ฝนตกหนักแบบนี้ เธออยากคุยกับอวี๋หมิงหลางให้นานหน่อย
ครั้นแล้วเสี่ยวเชี่ยนจึงเล่าเรื่องที่เธอถูกผู้อำนวยการโรงเรียนของเวยเวยทำตัวเสียมารยาทใส่ในโรงพยาบาล เกิดการโต้เถียงอะไรกันบ้าง แล้วก็เรื่องที่เจอผู้ป่วยโรคประสาท เธอเล่าให้อวี๋หมิงหลางฟัง
“ดังนั้นตอนนี้คุณพักอยู่ข้างบ้านคนไข้โรคประสาทที่ชื่นชอบคุณ?”
อวี๋หมิงหลางเองก็รู้สึกว่าวันนี้ของเสี่ยวเชี่ยนช่างมหัศจรรย์อะไรขนาดนี้ บังเอิญเหลือเกิน
มาตั้งไกล จากเมืองหลินยังมาเจอผู้อำนวยการโรงเรียนของเวยเวยที่นี่
จากนั้นไปๆมาๆยังมาพักอยู่ข้างบ้านคนไข้โรคประสาทที่เพ้อฝันถึงเธอ
“คนไข้โรคหลงผิดเรื่องความรักที่คุณว่าจะประทุษร้ายใครไหม?” อวี๋หมิงหลางถาม
“คนไข้ที่เป็นโรคหลงผิดเรื่องความรักจะไม่ทำร้ายใคร เขาแค่คิดว่าคนในจินตนาการเป็นคนรักของตัวเอง แถมยังเชื่อฝังใจ”
“ผิดแล้ว ผู้ป่วยโรคหลงผิดบางส่วนมีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรง พวกเขาอาจสะกดรอยตามหรือลักพาตัวคนที่อยู่ในจินตนาการ บางครั้งจากรักกลายเป็นเกลียด มีความคิดที่อยากให้ตายไปพร้อมกัน”
หลังจากที่ฟู่กุ้ยคุยกับว่าที่พ่อตาเสร็จแล้วจึงเข้ามาดู และก็ได้ยินเสี่ยวเชี่ยนพูดผิดพอดี ดอกเตอร์คนนี้จึงแก้ให้ถูกต้อง เสี่ยวเชี่ยนที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่ถลึงตาใส่ฟู่กุ้ย พูดมากจริง
ทำไมประธานเชี่ยนจะไม่รู้ว่าผู้ป่วยโรคหลงผิดมีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรง เธอก็แค่กลัวอวี๋หมิงหลางเป็นห่วงถึงได้จงใจพูดแบบนั้น
ฟู่กุ้ยงง ทำไมเชี่ยนเอ๋อต้องถลึงตาใส่เขาด้วย?
“เสียวเหม่ย พรุ่งนี้รีบกลับบ้านเลยนะ” อวี๋หมิงหลางโมโหขึ้นมาทันที ไม่ปลอดภัยเลย
“อืม รู้แล้ว ถนนใช้ได้ฉันก็จะกลับเลย อีกอย่างนายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เขาถูกจับขังอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงอาการกำเริบ โรงพยาบาลไม่ปล่อยออกมาหรอก”
“กลับไปแล้วย้ายไปอยู่บ้านใหม่เลยนะ ผมซ่อมทางเสร็จก็จะกลับบ้านเลย” พออวี๋หมิงหลางได้ยินคำพูดของฟู่กุ้ยก็ไม่สบายใจ
ตอนนี้เมียของเขาพักอยู่ข้างบ้านผู้ป่วยโรคประสาทที่เอาแต่คิดถึงเธอ ไม่ปลอดภัย ถ้าไม่ติดว่าทางทหารมีกฎไม่ให้ออกไปเวลานี้ล่ะก็ เขาอยากไปอยู่ข้างๆเสี่ยวเชี่ยนจริงๆ
“อืม วางใจเถอะ ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก”
เสี่ยวเชี่ยนคุยกับอวี๋หมิงหลางอีกสักพักแล้วถึงวางสายอย่างสบายใจ
สายฝนตกเปาะแปะ เสี่ยวเชี่ยนหลับตาแต่กลับไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย หลิวเหมยที่นอนเตียงเดียวกับเธอนอนหลับละเมองึมงำไปแล้ว ในสมองของเสี่ยวเชี่ยนกลับนึกถึงคนไข้โรคประสาทคนนั้นที่เจอเมื่อตอนกลางวัน เขาตะโกนเรียกชื่อเธอ มือที่เหมือนปีศาจทำซี่ลูกกรงงอ…
วันต่อมาท้องฟ้าแจ่มใส อวี๋หมิงหลางโทรหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อบอกว่าถนนใช้ได้ช่องทางหนึ่งเพราะพวกเขาลุกขึ้นมาทำกันแต่เช้าตรู่ รถออกไปได้แต่เข้ามาไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาต้องซ่อมทางกันต่อ ให้เสี่ยวเชี่ยนรีบออกจากที่นี่
ฟู่กุ้ยขับรถพาหลิวเหมยกับเสี่ยวเชี่ยนออกจากที่นั่น ระหว่างทางไม่มีอะไรเกิดขึ้น กำลังจะไปถึงจุดที่พวกอวี๋หมิงหลางซ่อมทางกันอยู่ หลิวเหมยหันไปพูดกับเสี่ยวเชี่ยน
“พี่กับพี่หลางตื่นตูมเกินเหตุ เห็นไหมไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย?”
“เขานั่นแหละที่กังวลเกินเหตุ”
“เดี๋ยวไปจอดตรงที่พวกพี่หลางซ่อมทางด้วยนะคะ แม่ต้มไข่มาสองกล่องพร้อมน้ำดื่ม สั่งให้เอามาให้พวกทหาร”
แม่บุญธรรมของหลิวเหมยพอรู้ว่าพวกอวี๋หมิงหลางกำลังซ่อมถนนกันอยู่ด้วยจิตสาธารณะ กลัวว่าพวกทหารจะไม่ได้กินของดีๆจึงเอาของกินยัดใส่ท้ายรถมาเต็มที่ ฝากหลิวเหมยแวะให้ตอนขับผ่าน
“อืม ได้” เสี่ยวเชี่ยนเองก็อยากเจออวี๋หมิงหลาง อย่างไรเสียก็ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแล้ว
ปรากฏว่าพอขับไปถึงช่วงถนนนั้นก็ไปต่อไม่ได้แล้ว
มีรถออกันอยู่เต็ม ฟู่กุ้ยลงไปถาม ด้านหน้าถนนลื่นทำให้มีรถชนกัน ตอนนี้เลยไม่มีใครผ่านไปได้
“ต้องติดอีกนานเท่าไร?” เสี่ยวเชี่ยนถามฟู่กุ้ยที่ลงไปดูสถานการณ์มา
“ได้ยินว่ากำลังจัดการอยู่ หลักๆเลยคืออีกช่องทางหนึ่งไปไม่ได้ ดูท่าทางพวกเราคงต้องอยู่ตรงนี้กันอีกสักพัก”
“น่าหงุดหงิดจัง เดี๋ยวฉันโทรหาพี่หลางก่อน ถามว่าตอนนี้เขาอยู่ตรงไหน” หลิวเหมยกำลังจะกดโทร แต่อวี๋หมิงหลางโทรหาเสี่ยวเชี่ยนเสียก่อน
“เสียวเหม่ย ตอนนี้พวกคุณอยู่ตรงไหน?”
“ติดอยู่ ด้านหน้าเกิดอะไรเหรอ?”
“รถชนกัน คนขับสองคันนี้เหมือนเป็นโรคหัวร้อนบนท้องถนน(road rage) ตอนนี้จอดขวางถนนอยู่ เป็นตายก็ไม่ยอมขยับ คนของผมกำลังจะไปเจรจาครั้งสุดท้ายถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่คงต้องใช้กำลังบังคับ”
“ฉันอยู่ไม่ไกลจากนาย เดี๋ยวฉันไปลองดูว่าจะทำให้พวกเขาใจเย็นลงได้หรือเปล่า”
โรคหัวร้อนบนท้องถนนเป็นโรคยอดฮิตในยุคที่มีการใช้รถยนต์เป็นจำนวนมาก อัตราการเป็นโรคนี้ของคนที่ทำงานขับรถเป็นอาชีพมีมากถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมาก ขับรถโดยใช้อารมณ์จะทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ง่าย
เสี่ยวเชี่ยนอยู่ที่นี่พอดี เธออยากลงไปดูสถานการณ์หน่อย ดูเหมือนอวี๋หมิงหลางมีอะไรอยากพูดกับเธออีก แต่เสี่ยวเชี่ยนมือไวกดวางสายไปเสียก่อน
“พี่สะใภ้ เดี๋ยวฉันไปด้วย” หลิวเหมยอยากตามไปด้วย
“ไม่เป็นไร พี่ไปกับฟู่กุ้ยก็พอ เธออยู่เฝ้ารถไปนะ ถ้าข้างหน้าขยับได้ รถเราจะได้ไม่ขวางใคร”
เสี่ยวเชี่ยนเห็นฟู่กุ้ยกับเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ช่วยงานเรื่องโรคหัวร้อนบนท้องถนนได้ แต่ในรถก็ต้องมีคนเฝ้าไว้
เดินฝ่ารถยนต์ที่จอดติดอยู่ไปสักพักเสี่ยวเชี่ยนกับฟู่กุ้ยก็ไปถึงด้านหัวแถว เธอเห็นมีรถคันหนึ่งจอดขวางเส้นทางสองเลนถนนไว้ และไม่ไกลออกไปมีทหารคนหนึ่งที่เนื้อตัวมอมแมมกำลังถือโทรโข่งตะโกนอยู่
คนขับรถที่กำลังหัวเสียคนนั้นทำตัวไร้เหตุผล ถ้าใครกล้าเข้าใกล้เขาก็จะขับรถวนไปมา พวกทหารกลัวว่าจะทำให้รถคันข้างหลังชนกันแล้วจะยิ่งติดหนัก จึงทำได้แค่อดทนพยายามเจรจาต่อไป
คนขับที่เป็นโรคหัวร้อนบนท้องถนนคนนี้ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ไม่ได้สนใจว่าพวกทหารกับชาวบ้านลงทุนลงแรงไปเท่าไรเพื่อเปิดทางให้ ถึงทหารที่กำลังเจรจาอยู่นั้นไม่ใช่อวี๋หมิงหลาง แต่เสี่ยวเชี่ยนเห็นแล้วก็สงสาร
สามีเธอพาทหารมาฝึก เดิมทีไม่ต้องมาทำงานนี้ก็ได้ ต้องลุยโคลนลงน้ำเพื่อซ่อมถนน แต่คนใช้ถนนพวกนี้กลับทำได้แค่บ่น ไม่สนใจความลำบากของทหาร คล้ายกับว่าเห็นอีกฝ่ายใส่ชุดทหารแล้วก็ย่อมมีหน้าที่ต้องทำงานพวกนี้ แต่กลับไม่คิดเลยว่าพวกเขาก็เป็นคนเหมือนกัน ด้วยหน้าที่ทำให้พวกเขาต้องบริการประชาชน แต่คนบางคนกลับมองว่านี่เป็นงานของทหารอยู่แล้ว
รถคันที่คนขับหัวร้อนอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร เป็นรถบัส คนที่อยู่บนนั้นพากันชะโงกหน้าออกมาดูทางหน้าต่าง ส่วนคนขับก็ตะโกนออกมา