“ก็ต้องไม่ทันระวังสิ รักษาการหัวหน้าใหญ่ของหน่วยเสินเจี้ยนเคยเป็นแชมป์ในการประลองของทหารมาหลายสมัยเลยนะ ถ้าเขาอยากทำป้าคนนั้นจริงๆ ป้าแกจะแค่เข่าเขียวเหรอ? ให้ใครดูก็ต้องบอกว่าเขาไม่ทันระวังทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นคนอย่างเขาเตะทีเดียวก็ขาหักแล้ว อีกอย่างป้าคนนั้นก็ตะโกนลั่นต่อหน้าคนเยอะแยะว่าคนบ้าฆ่าคนไม่ผิดกฎหมาย ใครก็ได้ยิน คนปกติฟังแล้วยังแทบอยากเข้าไปตบ แล้วทหารอย่างพวกเราแค่สะกิดนิดหน่อย เรื่องนี้มันจะหนักหนาขนาดไหนกันเชียว?”
ใครถูกใครผิดรู้ดีแก่ใจ เดิมทีอวี๋หมิงหลางควบคุมอารมณ์ไว้ได้ ไม่ได้คิดจะเอาเรื่อง แต่ใครใช้ให้ป้าคนนั้นพูดจาหมิ่นเกียรติทหารอย่างไม่เกรงกลัวก่อนล่ะ
แบบนี้มันต่างอะไรกับคนขับรถหัวร้อนที่จอดรถขวางถนนคนนั้น? ตัวเองทำอะไรถูกหมด ทำร้ายคนอื่นได้ไม่เป็นไร แบบนี้ความคิดบิดเบี้ยวขนาดไหนกัน?
พลาธิการรู้สึกว่าถ้าต้องมาถอดถอนรักษาการหัวหน้าใหญ่ที่เก่งที่สุดเพราะคนแบบนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่ส่งผลในแง่บวก อาจทำให้เหล่าทหารหมดกำลังใจกันไปด้วย
“ฉันไปสืบจากพวกทหารที่อยู่กับอวี๋หมิงหลางมาอย่างละเอียดแล้ว บอกกันว่าญาติคนไข้รายนี้เป็นป้าแร้งทึ้ง นิสัยแย่มาก ไม่เพียงแต่จะไม่สงสารสะใภ้ทหารเลยแม้แต่นิดเดียว ยังบอกว่าสะใภ้ทหารควรอุทิศตัว แถมยังพูดว่าที่โดนก็สมควรแล้ว แบบนี้ไม่เท่ากับจงใจเหรอ? ป้าคนนี้นั่นแหละที่ทำสังคมเสื่อม”
ไม่อัดจนพิการให้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็นับว่าอวี๋หมิงหลางมีความอดทนสูงมากแล้ว
“เขาเตะสะใจไปหนึ่งที แต่หาเรื่องให้ฉัน…ดูซิ เบื้องบนโทรมาแล้วเนี่ย”
หัวหน้ารับสาย รีบปรับอารมณ์ในเสี้ยววินาที เมื่อครู่บ่นเรื่องอวี๋หมิงหลางกับพลาธิการ แต่ในโทรศัพท์ต้องพูดดีๆไว้ก่อน
“…คือเรื่องเป็นแบบนี้นะครับ ญาติผู้ต้องหาพูดจารุนแรงเกินไป ท่านคงรู้นะครับว่าถ้าโดนพูดจาแรงๆใส่มือไม้ก็ต้องมีกระตุกกันบ้าง ใช่ครับ เขาก็แค่เหวี่ยงไปนิดเดียว ไม่ทันระวังเลยไปโดนเข้า แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมท่าเดียว เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละครับ ใช่ครับใช่ ผมจะอบรมให้มากกว่านี้ ผมให้เขาพักงานรักษาการหัวหน้าไปหนึ่งเดือน ลดตำแหน่งเป็นหัวหน้ากลางแทน อีกหนึ่งเดือนให้หลังตอนที่พาหน่วยเสินเจี้ยนไปแข่งประลองฝีมือ ถ้าผลงานดีจะคืนตำแหน่ง…ผมไม่ได้เข้าข้างนะครับ ผมจัดการเรื่องนี้แต่จะปล่อยให้เขาอู้งานไปอยู่เฉยๆได้ไงล่ะครับ ถ้าผมให้เขาพักงานจริงๆ เขาได้ไปเที่ยวเล่นสบายใจแน่ ต้องให้เขาชดใช้ด้วยการแสดงความสามารถให้เต็มที่ครับ”
เบื้องบนที่อยู่ปลายสายหัวเราะออกมา “เอาล่ะเหล่าอู๋ ฉันรู้จักนายดี นายน่ะเข้าข้างเด็กตัวเอง”
“ผมเข้าข้างตรงไหนกัน? ญาติคนไข้รายนั้นด่าทหารว่าสะใภ้ทหารต่อหน้าคนเยอะแยะ พวกเรามีพยานนะครับ อีกอย่าง รักษาการหัวหน้าใหญ่ของผมเป็นถึงแชมป์ประลองหลายสมัยถ้าเขาจะทำร้ายคนจริงๆอีกฝ่ายแข้งขาหักไปแล้ว นี่แค่ฟกช้ำนิดหน่อย ดูก็รู้ว่าแค่ไม่ทันระวัง”
เมื่อครู่พลาธิการพูดอย่างไร หัวหน้าก็พูดไปแบบนั้น
“ก่อนหน้านี้หมอเสี่ยวเฉินเคยช่วยพวกเราแก้ปัญหาคดีข้ามชาติ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นพวกเราก็ต้องคอยติดตามอาการเขาให้ดี หาหมอที่เก่งที่สุดรักษาเขาไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่าย แยกแยะเรื่องให้ดี ส่วนเรื่องฟ้องร้องของญาติคนไข้รายนั้นก็ต้องติดตามด้วย”
“ครับ แยกแยะเรื่องให้ดี…”
พลาธิการฟังอยู่ข้างๆอย่างตั้งใจ ดูสิ นี่แหละเหล่าอู๋ ปากก็ด่าอวี๋หมิงหลางนู่นนี่นั่น แต่สุดท้ายก็ปกป้องอยู่ดี
อวี๋หมิงหลางไม่ได้สนอะไรมากมาย พอออกจากหน่วยเขาก็ตรงไปที่โรงพยาบาล
เสี่ยวเชี่ยนพักอยู่ห้องที่เพิ่มการดูแลอย่างใกล้ชิด เวลาผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วหลังจากที่ถูกจับเป็นตัวประกัน เธอฟื้นนานแล้ว
ตรงช่วงคอถูกรัดแน่นมากทำให้ช่วงวันสองวันนี้ยังพูดไม่ได้ มีรอยช้ำสีม่วงที่คอ โชคดีที่พวกอวี๋หมิงหลางมีหมอทหารมาด้วย ถ้าช้ากว่านี้สมองอาจได้รับการกระทบกระเทือนคงไม่ได้เป็นบอสสาวในอนาคตแล้ว
หลิวเหมยกับฟู่กุ้ยคอยเฝ้าอยู่ข้างเตียง หลิวเหมยเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด เธอคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเธอ
“ถ้าฉันตามไปด้วยพี่สะใภ้คงไม่ต้องรับเคราะห์แบบนี้ ดูสิคอพี่สะใภ้เป็นแบบนี้เลย ต้องเจ็บมากแน่ๆ…”
“หลิวเหมยไม่ต้องร้องนะ เรื่องนี้ต้องโทษที่พี่ใช้กำลังไม่เป็นเลยช่วยเชี่ยนเอ๋อไม่ได้” ฟู่กุ้ยก็โทษตัวเอง เรื่องนี้คอขาดบาดตายมาก ตอนที่พามาโรงพยาบาลแล้วหมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้สมองอาจได้รับการกระทบกระเทือน ทุกคนถึงกับช็อค ตอนนั้นอวี๋หมิงหลางหน้าซีดไปเลยทีเดียว
อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนปลอดภัยแล้ว ขาดอากาศหายใจขอแค่เป็นเวลาเพียงไม่นานก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ส่วนเรื่องที่ยังพูดไม่ได้ รักษาตัวสองวันก็หายแล้ว แต่พอเธอต้องนอนอยู่บนเตียงแบบนั้น คนรอบตัวเห็นแล้วก็ต่างตำหนิตัวเอง
หลิวเหมยร้องไห้ ฟู่กุ้ยโทษตัวเอง สองคนนี้ทำเหมือนกำลังถูกสังคมรุมประณาม เสี่ยวเชี่ยนเห็นแล้วก็อยากปลอบ แต่พออ้าปากเธอก็ไม่มีเสียงจะพูด ทั้งเจ็บคอทั้งคอแห้ง
เลิกร้องเถอะ เธอปลอดภัยแล้วไม่เห็นเหรอ?
ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังกลุ้มว่าจะไปหากระดาษกับปากกาจากไหนอวี๋หมิงหลางก็เข้ามา พอเสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาก็กวักมือเรียกแล้วชี้ไปที่หลิวเหมยกับฟู่กุ้ยเพื่อบอกให้อวี๋หมิงหลางปลอบสองคนนี้หน่อย อย่าให้สองคนนี้โทษตัวเอง
เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เดินๆอยู่แล้วเจอคนบ้าจะทำไงได้?
อีกอย่างฟู่กุ้ยก็ช่วยได้ตั้งเยอะ เขาใช้วิธีอย่างมืออาชีพทำให้คนบ้าปล่อยมือได้ ไม่อย่างนั้นอวี๋หมิงหลางจะมีโอกาสยิงปืนเพื่อช่วยเสี่ยวเชี่ยนเหรอ?
หากช้ากว่านี้ไม่แน่สมองของบอสสาวคงขาดอากาศจนกลายเป็นคนเอ๋อไปแล้ว
ยังไม่ทันได้ขอบคุณด้วยซ้ำแล้วจะมานั่งโทษตัวเองทำไม
“พวกเธอสองคนกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ดูแลเสี่ยวเชี่ยนเอง”
“พี่ ขอโทษนะที่ฉันไม่ได้ดูแลพี่สะใภ้ให้ดี” หลิวเหมยสะอึกสะอื้น
“ผมผิดเองที่ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ” ฟู่กุ้ยแทบอยากจะคว้านท้องเพื่อชดชเยความผิด
แต่สองคนนี้ก็ยังสู้อวี๋หมิงหลางไม่ได้
“เลิกแย่งกันรับผิดได้แล้ว เรื่องนี้ต้องโทษพี่ที่ยิงช้าไป ทำให้พี่สะใภ้เธอต้องเจ็บหนักแบบนี้”
เสี่ยวเชี่ยนมองบน สามคนนี้เป็นบ้าอะไร?
หรือพวกเขาอยากกอดคอกันร้องไห้แล้วแข่งกันว่าใครผิดมากกว่า? ใครผิดคนนั้นต้องโดนลงโทษ?
อยากตะโกนออกไปจริงๆ เดินๆอยู่แล้วเจอคนบ้าจะไปโทษใครได้ ซวยเองแท้ๆ แล้วคนพวกนี้คิดอะไรกันอยู่
ดูออกว่าอวี๋หมิงหลางอยากอยู่กับเสี่ยวเชี่ยนตามลำพัง ฟู่กุ้ยจึงพาหลิวเหมยออกจากที่นั่น เพื่อให้สามีภรรยาคู่นี้ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าอวี๋หมิงหลางเข้าไปภาษารูปปาก เธอจึงขยับปากพูดว่า ฉันไม่เป็นไร
อวี๋หมิงหลางแค่เอามือลูบหัวเธอพลางมองอย่างเป็นห่วง
เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาตาแดงๆจึงแกล้งแซวว่า คงไม่ได้อยากร้องไห้ใช่มะ?
อวี๋หมิงหลางอยากร้องไห้จริงๆ
เมียของเขาแต่ไหนแต่ไรเป็นคนเก่งกาจดุจนางพญา อยู่ๆก็ต้องมานอนน่าสงสารบนเตียงแบบนี้ แถมคอยังมี ‘สร้อยสีม่วง’ ที่เห็นแล้วน่ากลัวอีก เกือบทำให้เธอต้องนอนเป็นผัก ในที่สุดอวี๋หมิงหลางก็ทนความหวาดกลัวในจิตใจไม่ไหวประคองเธอขึ้นมากอด
เสี่ยวเชี่ยนอยากเห็นสีหน้าเขาในตอนนี้มาก แต่อวี๋หมิงหลางไม่ให้เธอเห็น เขาเอาหน้าซุกกับผมเธอ ไม่ให้มอง เสี่ยวเชี่ยนเดาได้เลยว่าเขาต้องรู้สึกผิดมากอย่างแน่นอน