ในขณะนี้ รถลีมูซีนคันหนึ่งขับมาจอดที่หน้าเรือนจำในเมือง
คนที่นั่งบนเบาะหลังเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายคือถังแหวนโม่และผู้หญิงคือติงจื่อยวี่ซึ่งเป็นภรรยาของเขาเอง
“ผมเคลียร์ให้แล้ว คุณมีเวลาครึ่งชั่วโมง” ถังแหวนโม่กล่าว
“อืม ขอบใจมากนะที่รัก”
ติงจื่อยวี่ลงจากรถและเดินเข้าไปในเรือนจำ เธอมาถึงที่ห้องเยี่ยมภายใต้การนำของเจ้าหน้าที่ เธอมองเห็นพี่ชายที่ติดคุกมาหลายปีผ่านกระจก เขาคือติงหงเหย้าซึ่งเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ของตระกูลติง
ในตอนนี้ ดวงตาของติงหงเหย้าไม่มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาโกนหัวแล้วและยังคงสวมเครื่องแบบในเรือนจำ ไม่มีความเกรียงไกรและความสง่างามดั่งในอดีตอีกต่อไป เขาไม่มีท่าทีที่หน้าด้านและเป็นวีรบุรุษ ดูแล้วเหมือนคนที่ขาดการติดต่อกับสังคมปัจจุบันไม่มีผิด
เมื่อเห็นพี่ชายตัวเองเป็นแบบนี้ หัวใจของติงจื่อยวี่ก็พึมพำว่า: การมาหาเขาจะมีประโยชน์จริงหรือ?
ติงจื่อยวี่ไอหนึ่งครั้ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมา “พี่ค่ะ ฉันมาเยี่ยมพี่แล้ว”
ติงหงเหย้าก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วย ” คนในตระกูลติงยังจำผมได้ด้วยหรือ? ”
“พี่ค่ะ อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันไม่เคยลืมพี่เลย แต่คุณปู่จับตาดูอยู่ตลอด ฉันเลยไม่ค่อยมีโอกาสได้มาที่นี่”
ติงหงเหย้ายังคงหน้าเฉย
“เธอไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อม มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ มาหาผมมีธุระอะไรกันแน่”
ติงจื่อยวี่รู้สึกใจสั่นเล็กน้อย พี่ชายของเธอก็แค่ดูเหมือนจะเสื่อมโทรมเท่านั้น แต่สมองของเขายังคงเฉลียวฉลาดเหมือนเดิม
“พี่ค่ะ ฉันแค่อยากจะมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัวเมื่อไม่นานนี้ให้พี่ฟังแค่นั้นเอง”
ต่อมา ติงจื่อยวี่ก็เล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวเมื่อเร็วๆ นี้ให้เขาฟังคร่าวๆ
หลังจากฟังจบ ติงหงเหย้าไม่ได้รู้สึกสะท้อนใจแต่อย่างใด
ติงจื่อยวี่แปลกใจเล็กน้อย เธอคิดว่าพี่ชายคงจะดีใจที่ได้ยินข่าวเรื่องความผิดหวังซ้ำๆ ของติงจ้ง แต่ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเลย
ติงหงเหย้ากล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ฟังจากที่เธอพูดมาแล้ว ชายที่ชื่อเจียงชื่อเป็นคนฉลาดและมีความสามารถจริงๆ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเธอสู้เขาไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความเมตตาของเขา เกรงว่าพวกเธอคง ‘จบ’ไปนานแล้ว”
แม้ว่ามันจะเผ็ดร้อน แต่ก็เป็นความจริง
ติงจื่อยวี่กล่าวว่า “นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันต้องมาขอความช่วยเหลือจากพี่ไงล่ะ”
ติงหงเหย้าพูดอย่างเย็นชา “เธอคิดว่าผมจะไปช่วยไอ้แก่นั่นหรือ”
บรรยากาศอึดอัดเล็กน้อย
หลังจากเงียบไปนาน รอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของติงจื่อยวี่ “พี่ค่ะ ฉันไม่ได้ขอให้พี่ช่วยไอ้แก่ติงจ้งสักหน่อย แต่ฉันอยากให้พี่ช่วยเหลือตัวพี่เองต่างหาก! ”
คำพูดเหล่านี้กระตุ้นความสนใจของติงหงเหย้าทันที
ติงจื่อยวี่กล่าวต่อว่า “ติงจ้งแก่แล้ว อายุป่านนี้แล้วยังคงควบคุมอำนาจของครอบครัวอย่างแน่นหนาแบบนี้ ช่างต่ำช้าจริงๆ เขาควรสละราชสมบัติตั้งนานแล้ว! ”
“ที่สำคัญคือ ตอนนี้เขาตั้งความหวังทั้งหมดไว้กับไอ้งี่เง่าติงเฟิงเฉิงนั่นเพียงคนเดียว!”
“ถ้าติงเฟิงเฉิงเข้ารับตำแหน่ง เหอะๆ ตระกูลติงจะต้องจบสิ้นภายในหนึ่งปีอย่างแน่นอน”
“ดังนั้น…”ติงจื่อยวี่มองไปที่ติงหงเหย้า “พี่ค่ะ นี่เป็นโอกาสที่ดี ฉันหวังว่าพี่จะมาสืบทอดตำแหน่งของคุณปู่ต่อ เราจะให้คนนอกอย่างเจียงชื่อ หรือไอ้งี่เง่าอย่างติงเฟิงเฉิงได้ดิบได้ดีไม่ได้เด็ดขาด
“คุณเป็นพี่ชายของฉัน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของฉัน พี่เป็นผู้สืบทอดและเป็นผู้ครอบครองอำนาจย่อมดีกว่าไอ้งี่เง่าอย่างติงเฟิงเฉิงแน่นอน และดีกว่าไอ้แก่ที่ไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบันอย่างติงจ้งด้วย!”
คำพูดเหล่านี้ล้วนมาจากใจเธอจริงๆ
อย่างไรก็ตามทั้งสองยังคงเป็นพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจึงลึกซึ้งอย่างมาก
พี่ชายเป็นผู้ครองอำนาจ ส่วนติงจื่อยวี่ก็จะได้ทั้งอำนาจและเงินทอง ซึ่งต้องมากกว่าอำนาจของติงจ้งอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่น เธอก็จะช่วยเหลือติงหงเหย้าแน่นอน
ถ้อยแถลงดังกล่าวสามารถกระเทือนจิตใจของติงหงเหย้าได้จริงๆ
นัยน์ตาที่เลือนลางไปเนิ่นนาน กลับมาแผดเผาราคะตัณหาอีกครั้ง
” น้องรัก เธอเป็นน้องสาวที่แสนดีของพี่จริงๆ”