ทุกคนต่างก็ฟังอย่างตั้งใจ
เป็นไปตามที่คิด ติงจื่อยวี่ได้นำสิ่งที่แตกต่างออกไปมาทำให้ทุกคนสนใจจริงๆ เธอนำเสนอการสร้างเมืองอาหารจากทั่วประเทศ แบ่งประเภทอาหารออกเป็น 8 ประเภทหลักๆ แล้วนำอาหารจากทั่วทุกสารทิศของประเทศมารวมตัวกันไว้ในนี้
ด้วยวิธีนี้ ผู้คนในเขตเจียงหนาน ก็จะสามารถลิ้มรสอาหารจากทุกที่ทั่วประเทศได้
เป็นกลไกดึงดูดที่ใหญ่มาก
เชื่อได้เลยว่า มันจะสามารถดึงดูดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจได้มากพอ
ประเด็นสำคัญที่สุดคือ บรรดาเจ้าหน้าที่จากทางการที่ไม่เคยแสดงสีหน้าใดๆ ให้เห็นมาก่อนเลยเหล่านั้น ในเวลานี้กลับดูตื่นเต้นสนใจกันขึ้นมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าถูกแผนการนี้โดนใจเข้าไปอย่างจังแล้ว
ขั้นตอนสุดท้าย—-ส่งเอกสารแผนการ
ติงจื่อยวี่วางเอกสารแผนการไว้ในกระเป๋าเดินทางแบบมีที่หิ้วใบหนึ่ง แล้วค่อยยื่นส่งขึ้นไป จึงมองไม่เห็นเลยว่ามีเงินอยู่ในนั้นเท่าไหร่กันแน่
แต่จากหน้าตาที่ดูเย่อหยิ่งภูมิใจของเธอ ก็พอจะมองออกว่าต้องมีของดีในกระเป๋าใบนั้นอย่างแน่นอน เชื่อว่าสนนราคาน่าจะเกิน 10 ล้านขึ้นไปแน่ๆ
เอกสารแผนการที่โดดเด่น บวกกับซองแดงขนาดใหญ่ เชื่อว่าต้องเพียงพอที่จะสร้างความประทับใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคนในที่นี้ได้อย่างแน่นอน
ทุกคนต่างก็คิดอย่างนั้น
“คุณติงจื่อยวี่พูดได้ดีมาก เชิญนั่งลงได้”
ติงจื่อยวี่นั่งลงด้วยท่าทางเย่อหยิ่งลำพอง ยิ้มหยันพลางปรายตามองไปทางติงเฟิงเฉิง “น้องสอง ฉันว่าแกนี่ยิ่งนับวัน ก็ยิ่งเหมือนคนคนหนึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“ใคร?”
“เจียงชื่อ”
ติงเฟิงเฉิงถึงกับตกตะลึง นี่มันคำพูดบ้าบออะไรกันเนี่ย?
ติงจื่อยวี่พูดต่อไปว่า “ไม่รู้ว่าทำไม ฉันเอาแต่รู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่แกที่เป็นติงเฟิงเฉิง แต่เป็นเจียงชื่อ ทุกคำพูดทุกการกระทำของแก ดูผิดแผกไปไม่เหมือนมาตรฐานปกติของแกเอาซะเลย แต่กลับไปเหมือนมาตรฐานของเจียงชื่อมากกว่า เฟิงเฉิง ฟังคำแนะนำของพี่สาวสักประโยคเถอะนะ รีบกระโดดออกจากบ่อโคลนนี้ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า อย่าได้ถลำลึกจนเกินไป ถ้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับคนอย่างเจียงชื่อมากๆ แกมีหวังได้โดนเอาเปรียบจนขาดทุนป่นปี้เข้าสักวันแน่”
ติงเฟิงเฉิงถึงกับหัวเราะเยาะเย้ยในใจเลยทีเดียว
ไปใกล้ชิดกับเจียงชื่อแล้วจะโดนเอาเปรียบ? พูดซะอย่างกับว่าอยู่ใกล้หล่อนแล้ว ฉันจะไม่โดนเอาเปรียบงั้นแหละ?
ทำไมตระกูลติงถึงกลายมามีสภาพเป็นแบบนี้ ก็ไม่ใช่เพราะไปใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้หญิงอย่างหล่อน ติงจื่อยวี่ คนนี้หรอกเหรอ?
ติงเฟิงเฉิงหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่สนใจเธออีก
………..
ในเวลาเดียวกัน ณ.คฤหาสน์หลังเก่าหมายเลข 33
ติงเมิ่งเหยนคอยพลิกดูข่าวตามเวลาจริงในมือของเธอ อยากรู้แทบแย่ว่าการประมูลดำเนินไปอย่างไรแล้วบ้าง
เจียงชื่อกินของว่างอย่างใจเย็น ของว่างจากบ้านเกิดชนิดนี้ไม่เลวเลยจริงๆ หลังจากนี้เขาคิดว่าจะซื้อเพิ่มติดบ้านไว้ซะหน่อย จะได้เก็บไว้กินได้นานๆ
ติงเมิ่งเหยนกลอกตามองบนใส่เขา ” นี่มันเวลาอะไร คุณยังอยากจะกินอยู่อีก คุณว่าพี่สองเขาจะประมูลแข่งมาได้สำเร็จมั้ยคะ?”
“ไม่รู้สิ”
“ทำไมคุณถึงไม่รู้ล่ะ?”
เจียงชื่อพูดว่า “เรื่องแบบนี้มันก็ต้องขึ้นอยู่กับทั้งโชคด้วยส่วนหนึ่ง แล้วก็ความแข็งแกร่งของตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าติงเฟิงเฉิงยังเป็นเหมือนเดิมกับที่เคยเป็น เขาก็จะเป็นได้แค่ง้าวที่หักแล้วจมลงในทราย ไม่สามารถเอาไปรบราอะไรได้อีก เขาต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปต่อสู้ให้เหมือนกับที่ลูกผู้ชายอกสามศอกเขาทำกัน ”
“เชอะ เลิกพูดอะไรที่มันเข้าใจยากสักทีเถอะ”
ติงเมิ่งเหยนไม่สนใจเขา แล้วพลิกอ่านข่าวต่อไป
เจียงชื่อกินไปพลาง ในดวงตาก็ปรากฎความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกขึ้นมาอย่างหนึ่ง เหมือนกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาทั้งหมดแล้ว
………………
ณ.ห้องโถงที่เปิดประมูล
หลังจากการบรรยายอันยาวนาน บรรดาผู้ที่เข้าร่วมการประมูลได้พูดคุยกันจนเสร็จสิ้นแล้ว
จางถงเหวินก็พูดขึ้นว่า: “ตอนนี้ พวกเราที่เป็นผู้รับผิดชอบในการประมูล จำเป็นต้องหารือข้อสรุปร่วมกัน โปรดให้เวลาพวกเราครึ่งชั่วโมง”
พูดจบ จางถงเหวินก็พาเจ้าหน้าที่ออกไปจากที่ประมูล แล้วเข้าไปในห้องประชุม
ทุกคนในที่นั้น ต่างก็หน้าซีดใจสั่นกันหมด
ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด ต่อสู้ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในแวดวงธุรกิจกันมาก็หลายปี อันที่จริงก็ไม่ต้องถกเถียงกันให้มาก แค่ฟังคำบรรยายของทุกคนจนครบ ก็พอจะรู้แล้วว่าใครจะได้เป็นผู้ชนะ
เห็นได้ชัดว่า ผู้ชนะในครั้งนี้จะต้องเป็นติงจื่อยวี่ ตัวแทนของบริษัทติงหรงแน่นอนแล้ว
ไม่ว่าพวกเขาจะมองยังไง พวกเขาก็มั่นใจว่าจะคว้าชัยชนะมาไว้ในกำมือได้แน่
คนอื่นที่โดนผลักไปอยู่ในตำแหน่ง “เพื่อนวิ่ง” ( คือคำอุปมาของคนที่ต้องแข่งกับคนที่ยังไงก็จะชนะแน่ๆ แต่ตัวเองไม่มีโอกาสที่จะชนะได้ ) แน่นอนว่าจะต้องไม่รู้สึกยินดีกันสักเท่าไหร่
“เฮ้อ บริษัทติงหรงก็ยังแข็งแกร่งไม่ใช่เล่นๆ เลยนะเนี่ย”
“แต่บริษัทติงเหอก็เป็นแค่ขยะจริงๆ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าบริษัทติงหรงยอมปล่อยให้บริษัทในเครือที่มีลูกน้องฝีมืออ่อนด้อยไม่ต่างจากขยะแบบนี้ ยังคงอยู่ภายใต้เครือธุรกิจได้ยังไง?”
“ใช่เลย ถ้าเป็นฉัน ฉันคงปิดบริษัทลูกที่ไม่ต่างจากขยะแบบนี้ทิ้งไปซะตั้งนานแล้ว”
ต่างคนต่างพูดคุยกันเจื้อยแจ้ว ไม่มีใครมองติงเฟิงเฉิงในแง่ดีเลยสักคน ถึงขั้นมีคนคิดว่าเขาเข้ามาร่วมการประมูลเพื่อจะก่อปัญหา จึงรู้สึกรังเกียจมาก
ติงเฟิงเฉิงต้องแบกรับแรงกดดันอันมหาศาล
ถ้าเป็นเขาคนเดิมในอดีต คงพรวดพราดลุกขึ้นแล้วตีฝีปากกับคนอื่น หรือแม้กระทั่งลงไม้ลงมือกับพวกนี้ไปแล้วอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เขาไม่ใช่เด็กที่โง่เขลาไม่รู้ความคนนั้นอีกต่อไป แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีภาระอันยิ่งใหญ่ที่แบกไว้บนบ่า
ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับปัญหาในแบบของลูกผู้ชายตัวจริง
อดทน! รอคอย!
ครึ่งชั่วโมง จะว่านานก็ไม่นาน ใช้ความพยายามอดทนก็ผ่านไปในพริบตาแล้ว
ในตอนที่จางถงเหวินเดินออกมาอีกครั้ง ทุกคนก็หุบปากฉับทันที แล้วรอฟังผลการคัดเลือกผู้ชนะในขั้นสุดท้าย
จางถงเหวินส่งเสียงกระแอมครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบลิสต์รายชื่อชุดหนึ่งขึ้นมา แล้วพูดต่อหน้าทุกคนว่า: “หลังการวิจัยและอภิปรายโดยเจ้าหน้าที่ภายในของเรา ตอนนี้มีผลสรุปเบื้องต้นแล้ว”
ทันใดนั้น เขาก็หันไปมองติงจื่อยวี่ทันที
“คุณติงจื่อยวี่”
“ค่ะ!”
ใบหน้าของติงจื่อยวี่เต็มไปด้วยความสดชื่นดั่งได้รับลมฤดูใบไม้ผลิ คิดไม่ถึงว่าจางถงเหวินจะเป็นคนที่พูดจาตรงๆ แบบไม่มีอ้อมค้อมเลย ออกมาปุ๊บก็ประกาศว่าตัวเองชนะการประมูลทันที ช่างเป็นคนทำอะไรรวดเร็วฉับไวซะจริง
คนอื่นๆ ต่างพากันส่ายหน้า
แม้ว่าผลลัพธ์แบบนี้จะเป็นอะไรที่เดาได้มานานแล้ว แต่ทันทีที่ได้ยินการประกาศออกมา ก็ยังทำให้คนฟังรู้สึกทรมานใจอยู่ดี
ในขณะที่ทุกคนคิดว่า ผลที่ออกมามันแน่นอนราวตอกฝาโลงแล้วนั่นเอง เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
จางถงเหวินกลับไม่ได้ประกาศว่าติงจื่อยวี่ชนะการประมูล แต่พูดอย่างเคร่งขรึมว่า: “คุณ ติงจื่อยวี่ โปรดนำแผนการประมูลของคุณกลับไป แล้วออกจากห้องประชุมไปเดี๋ยวนี้”
“ไปซะ!!!”