บทที่ 400
ไป๋ยี่เฟยตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาจับกำปั้นของชายหน้าหนวดด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็กดเขาลงไป แล้วพลิกตัวนั่งลงบนท้องของชายหน้าหนวดคนนั้น พร้อมกับชกไปทีละหมัดอย่างต่อเนื่อง
เวรเอ๊ย คิดว่าฉันจะยอมให้รังแกง่ายๆงั้นเหรอ?
เมื่อคนอื่นเห็นดังนั้น ต่างก็รีบย่อตัวลงที่มุมห้อง สายตานักสู้ และพลังในการต่อสู้ของไป๋ยี่เฟยนั้น ช่างน่ากลัวจริงๆ
ชายหน้าหนวดถูกชกจนร้องโอดโอย สุดท้ายจําต้องอ้อนวอนร้องขอความเมตตา “พี่ชาย ผมผิดไปแล้ว ไว้ชีวิตผมด้วย…
พี่ใหญ่ ต่อไปนายจะเป็นพี่ใหญ่ของผม … ”
ในที่สุดไป๋ยี่เฟยก็หยุดมือลง พร้อมกับนั่งลงบนตัวชายหน้าหนวดและถอนหายใจ
ชายหน้าหนวดหายใจอย่างไม่หยุดย่อน และกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวด เพราะร่างกายของเขาถูกทุบตีจนเจ็บเกินไป
“พี่ใหญ่ พี่ลุกก่อนได้ไหม? เดี๋ยวผู้คุมก็มาหรอก…”
ยังพูดไม่ทันจบ ไป๋ยี่เฟยก็นั่งลงบนที่นั่งของเขาแล้ว และกวาดตามองกลุ่มคนที่ตัวสั่นเทา พร้อมกับก้มหน้าลงมองชายหน้าหนวดที่กําลังจะลุกขึ้น
“กฎของที่นี่คืออะไร”
ชายหน้าหนวดยืนขึ้นพยักหน้าและโค้งคำนับ “พี่ใหญ่ ตัวพี่เองคือกฎ”
ไป๋ยี่เฟยมองไปที่ชายหน้าหนวดด้วยความงุนงง
ชายหน้าหนวดอธิบายทันที ก่อนที่ไป๋ยี่เฟยจะเข้าใจว่า ใครก็ตามที่มีหมัดแข็งกว่า คนนั้นก็คือหัวหน้า และสิ่งที่หัวหน้าพูดก็คือกฎ
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “นายชื่อว่าอะไร”
“ผมชื่อหลิวโส่ว… ” หลิวโส่วตอบด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากมีหนวดเคราบนใบหน้าของเขา ดังนั้นเมื่อเขายิ้มขึ้นมา ก็จะดูดุร้ายและน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ไป๋ยี่เฟยพูดว่า “ผมอยากนอนพัก”
“นอนเลยครับ นอนเลย พวกเราไม่รบกวนพี่ใหญ่แล้ว ” หลิวโส่วเดินจากไปทันที เขาจ้องมองไปที่คนอื่น และพวกเขาก็กลับมานั่งเงียบๆในพื้นที่ของตัวเอง
ในที่สุดไป๋ยี่เฟยก็ได้พักผ่อนเสียที เขานอนลงบนเตียง และกําลังจะหลับตาลง แต่เสียงของหลิวโส่วก็ดังขึ้น “พี่ใหญ่ ทางนั้นใกล้ห้องน้ำ พี่ลองเปลี่ยนที่ดู จะได้นอนหลับสบายหน่อย ”
“ไม่จําเป็น” ไป๋ยี่เฟยหลับตาลง ไม่นานมากก็เผลอหลับไป
พี่ใหญ่คนนี้เข้าหายาก แถมยังเป็นคนเย็นชาขนาดนี้ แล้วเขาจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง?
ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หลิวโส่วคิดมากเกินไป ข้อเดียวที่ไป๋ยี่เฟยขอนั้น คืออย่ามาขวางทางเขา ส่วนในเรื่องอื่น ก็ตามแต่พวกเขา
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้มีเวลาเป็นหัวหน้าในสถานกักกันมากนัก และเขาก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขารู้สึกว่ามันดูปัญญาอ่อนมากกว่า เขาแค่ต้องการสภาพแวดล้อมที่มั่นคงเท่านั้น
เมื่อทุกอย่างสะสางเรียบร้อยแล้ว เขาก็สามารถอยู่ในศูนย์กักกันได้อย่างปลอดภัย โดยรอจนกว่าศาลจะเริ่มการพิจารณาคดี
……
ณ คฤหาสน์แห่งหนึ่งของตระกูลไป๋ในเมืองหลวง
หลี่เสว่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างทําอะไรไม่ถูก หล่อนมาที่เมืองหลวงกับจิงหลัว เมื่อมาถึงเมืองหลวงหล่อนจึงถูกพาตัวมาที่คฤหาสน์แห่งนี้ มีชายร่างวัยกลางคนคนหนึ่งเดินมา เหมือนจะเป็นพ่อบ้าน เขาบอกว่าไป๋เซี่ยวยังอยู่ข้างนอก คงต้องรอสักครู่ก่อน
“ดื่มชาครับคุณผู้หญิง” พ่อบ้านเทชาแก้วหนึ่งให้หลี่เสว่
หลี่เสว่ยื่นมือออกไป “ขอบคุณค่ะ”
พ่อบ้านไม่ได้พูดอะไรมาก เขายิ้ม และลุกขึ้นเดินจากไป หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถือผลไม้ที่หั่นบางๆไว้ข้างๆ “คุณผู้หญิงครับ ทานให้อร่อยนะครับ”
หลี่เสว่รู้สึกกังวล และไม่สบายใจเล็กน้อย คนในครอบครัวไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ดังนั้นเธอจึงรู้สึกไม่ค่อยชิน
พ่อบ้านดูเหมือนจะรู้ตัว เขาจึงเริ่มที่จะยืนห่างออกไปเล็กน้อย เพื่อไม่ให้หลี่เสว่สังเกตเขามากเกินไป
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ไป๋เซี่ยวก็มาถึง
เมื่อหลี่เสว่เห็นว่าไป๋เซี่ยวกําลังนั่งบนรถเข็น หล่อนก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
นี่คือไป๋เซี่ยวน้องชายไป๋ยี่เฟยใช่ไหม?
ทำไมเขาถึงได้นั่งบนรถเข็น?
“พี่สะใภ้ ผมขอโทษ ที่ให้รอนานครับ” เมื่อไป๋เซี่ยวมาถึงฝั่งตรงข้ามหลี่เสว่ พ่อบ้านก็ยกชาร้อนๆมาถ้วยหนึ่งทันที
หลี่เสว่ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “ไม่ ฉันรอไม่นานหรอก”
ไป๋เซี่ยวหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นแล้วมาจิบชาไปคำหนึ่ง แล้วค่อยๆพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ ผมดีใจมากที่ได้พบพี่ ตอนนั้นที่พี่ชายผมแต่งงานคนในครอบครัวไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย และเมื่อวันเกิดเหตุพวกเราก็ไปไม่ทันที่เกิดเหตุอีก ซึ่งผมเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ในภายหลัง แต่ในที่สุดก็เจอพี่สะใภ้สักที ”
หลี่เสว่ได้ยินดังนั้นก็ทำสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า ถ้าหล่อนจําไม่ผิดโจวฉวี่เอ๋อ เคยบอกกับหล่อนว่า เมื่อตอนที่หล่อนกับไป๋ยี่เฟยแต่งงานกันนั้น ไป๋ยี่เฟยยังเป็นเพียงเด็กบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น ตระกูลไป๋ก็ยังหาตัวไป๋ยี่เฟยไม่เจอ ซึ่งต่อมาก็หาเจอแล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจตัวไป๋ยี่เฟยมากมาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพี่สะใภ้อย่างหล่อนเลย?
ไป๋เซี่ยวไม่สนใจสีหน้าของหลี่เสว่เลยแม้แต่น้อย เขายิ้มและพูดต่อว่า “พี่สะใภ้ พี่เดินทางมาเมืองหลวงคงเหนื่อยมากแล้ว” อยากพักผ่อนก่อนไหมครับ? ”
“ไม่เป็นไร” หลี่เสว่ส่ายหัว “ที่ฉันมาก็เพราะ…”
ยังไม่ทันได้พูดจบ ไป๋เซี่ยวก็ถอนหายใจ “ผมรู้ว่าพี่สะใภ้ต้องการจะพูดอะไร เพื่อช่วยพี่ชายผมใช่ไหม”
หลี่เสว่พยักหน้า “ใช่แล้ว พวกคุณพอจะมีวิธีไหม”
ไป๋เซี่ยวถอนหายใจอีกครั้ง “ผมก็อยากช่วยพี่ชายผมเช่นกัน ถึงแม้ว่าผมกับพี่ชายจะไม่ค่อยคุ้นเคย แต่ยังไงเขาก็เป็นพี่ชายแท้ๆของผม ผมก็ไม่อยากให้เขาตาย แต่ผมก็ทําอะไรไม่ได้เลย เฮ้อ…”
เมื่อเห็นท่าทางของไป๋เซี่ยว หลี่เสว่ก็รู้สึกว่าเขาเป็นห่วงไป๋ยี่เฟยจริงๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า บางทีความสัมพันธ์ระหว่างไป๋เซี่ยวกับไป๋ยี่เฟยอาจไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การคิด เพราะไม่ว่ายังไงไป๋เซี่ยวก็ไม่สามารถช่วยไป๋ยี่เฟยได้อยู่ดี
หลี่เสว่รู้สึกสิ้นหวังขึ้นทันที ดวงตาของหล่อนดูเศร้าลงอย่างมาก
ในตอนนั้นเอง ไป๋เซี่ยวพูดอีกว่า “พี่สะใภ้ อย่าเพิ่งท้อเลยนะ ผมไม่มีพละกำลังพอ แต่พี่ก็รู้ว่าพ่อของผมแข็งแกร่งกว่าผมมาก”
หลี่เสว่อึ้งไปเล็กน้อย “พ่อ…คุณงั้นเหรอ? ”
“ใช่ เขาก็เป็นพ่อของพี่เหมือนกัน” ไป๋เซี่ยวพูดด้วยรอยยิ้ม “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน พี่ลองไปหาพ่อของผม บางทีเขาอาจจะวิธีช่วยก็ได้นะ”
หลี่เสว่เม้มปาก “แต่….”
ความทรงจำของหล่อนที่มีต่อ ไป๋หยุนเผิง จนถึงตอนนี้นั้นก็คือเมื่อครั้งที่หล่อนอยู่ในสวนสัตว์ แต่แค่ในพริบตาเดียว คนเหล่านั้นทั้งหมดก็ถูกเขาฆ่า คนที่น่ากลัวเช่นนั้น จะช่วยได้จริงเหรอ?
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าอยากจะช่วยไป๋ยี่เฟยจริงๆ ก็คงลงมือช่วยนานแล้ว ทําไมต้องรอให้หล่อนมาขอร้องด้วยล่ะ?
หลี่เสว่คิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ หล่อนยังคงลังเล
“พี่สะใภ้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วงไปเลย ก่อนหน้านี้พวกเราไม่รู้เลยว่าพี่ชายจะกระทําเรื่องแบบนี้ แต่ถึงแม้ว่าพวกเราคิดจะลงมือก็คงไม่ทันกาลแล้ว เพราะว่าตอนนี้เขาได้มีการสรุปผลแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดใดในตอนนี้”
ไป๋เซี่ยวจงใจเล่าเรื่องนี้ให้หลี่เสว่ฟัง หลังจากที่หลี่เสว่ได้ยินดังนั้น หล่อนก็รู้สึกระแวดระวังลงเล็กน้อย
หลี่เสว่ไม่สามารถปฏิเสธได้ และหล่อนก็ไม่ต้องการปฏิเสธอีก เพราะนี่ถือว่าเป็นโอกาสเดียวที่จะช่วยไป๋ยี่เฟยได้
……
ณ โหวจวี๋กรุ๊ปในเมืองเทียนเป่ย
หลงหลิงหลิงส่งจางหรง ไปติดต่อทนายความที่นัดหมายกับหลิวเสี่ยวอิงในวันนี้
พวกเขาได้ติดต่อทนายความเพื่อเป็นตัวช่วยสำหรับไป๋ยี่เฟยในระหว่างการพิจารณาคดี แต่น่าเสียดาย ทนายความที่หามาได้นั้น มักจะปฏิเสธอย่างไม่ลังเลใดใดเมื่อได้ยินหลักฐาน
วันนี้ยังมีนัดกับทนายความอยู่
ครั้งนี้มาเป็นชายหนุ่มที่เพิ่งเรียนจบปริญญาโท เขาสวมแว่นตาสีดํา และสวมชุดสูท เมื่อดูแล้วเหมือนเป็นคนที่มีประสบการณ์มากพอสมควร แต่ที่จริงแล้วเขากลับไม่เคยรับคดีใดใดมาก่อนเลย
หลงหลิงหลิงพาคนนั้นไปที่ห้องประชุม และส่งมอบข้อมูลให้เขา
สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นดูไม่ค่อยดีเลย “พูดตามตรงนะครับ คดีแบบนี้ ผลสรุปก็มันชัดเจนมากแล้วนะครับ และมันยากมากที่พลิกสถานการณ์ได้…”
หลงหลิงหลิงไม่พูดอะไรมาก ถามแค่ว่า “แล้วคุณจะรับไหม”
ชายคนนี้คิดนานมากพอสมควร และแน่นอนว่าคดีแรกในชีวิตของเขา เขาก็อยากจะประสบความสำเร็จ ซึ่งคดีแบบนี้ มันก็ไม่คุ้มค่าอะไรเลย ดังนั้นชายคนนี้จึงส่งข้อมูลกลับมา และปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่า “ผมขอโทษครับ ผมไม่รับ”
หลงหลิงหลิงไม่ได้โกรธอะไรเลย เขาพยักหน้า และส่งทนายความคนนั้นกลับไป
เมื่อกลับถึงสำนักงาน หลิวเสี่ยวอิงก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? เขาไม่รับอีกแล้วใช่ไหม?”
“ใช่” หลงหลิงหลิงตอบอย่างเหนื่อยล้า “ถ้าเราพยายามให้มากกว่านี้ สักวันจะต้องมีคนรับอย่างแน่นอน”
“ต้องมีแน่นอนสิ เพราะจะมีคนประเภทหนึ่งที่อยากได้เงินอยู่ตลอด ” หลิวเสี่ยวอิง ตอบ “ถ้างั้นไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เราก็จะจ่ายอย่างแน่นอน”
หลงหลิงหลิงพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเห็นด้วย จากนั้นเขาก็หยิบเอกสารจากด้านข้าง แล้วยื่นให้หลิวเสี่ยวอิง “ติดต่อต่อไป!