บทที่635
และการที่พวกเขามาถึงที่เมืองเป่ยไห่นั้น คาดว่าก็คงจะอยู่ในสายตาของเย่ฮวนแล้วเหมือนกัน
เย่อ้ายเป็นผู้หญิงที่สวย ฐานะทางบ้านก็ดี มีผู้ชายมากมายที่มาตามจีบเธอ และผู้ชายเหล่านั้นต่างก็เป็นทายาทของมหาเศรษฐีชื่อดังทั้งนั้น
แต่ไป๋ยี่เฟยกลับไม่สนใจเธอเลยสักนิด และเขาก็แต่งงานแล้ว มันจึงทำให้เย่อ้ายรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เธอคิดว่าขอแค่เป็นผู้ชายก็ต้องสนใจในตัวเธอบ้างไม่มากก็น้อย
ดังนั้น เมื่อเธอเห็นหน้าไป๋ยี่เฟย เธอก็มักจะเข้ามาหว่านเสน่ห์ใส่เขาตลอด เพื่อให้เขาเกิดความรู้สึกอยากได้เธอขึ้นมาบ้าง
แต่ไป๋ยี่เฟยก็ไม่สนใจเธอเลยสักนิด เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมถอย ไป๋ยี่เฟยจึงเลือกที่จะก้าวถอยหลังเพื่อทิ้งระยะห่างออกไป
ไป๋ยี่เฟยพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “มาหาผมมีธุระอะไรเหรอครับ?”
เย่อ้ายยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วพูดกับไป๋ยี่เฟยว่า “พี่ไป๋คะ ถ้าคุณยอมรับข้อเสนอจากฉัน ฉันก็ยอมทำทุกอย่างตามที่คุณต้องการเลยนะคะ”
คำพูดนี้ทำให้ไป๋ยี่เฟยแทบสำลัก
การที่ผู้หญิงมาพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้ชาย ผู้ชายทุกคนก็คงต้องหวั่นไหวกันบ้าง แน่นอนว่านี่มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วไป๋ยี่เฟยแค่ตอบสนองออกมาอย่างอัตโนมัติเล็กน้อย จากนั้นก็นิ่งไป
ไป๋ยี่เฟยพูดออกมาอย่างเรียบเฉย “คุณหนูเย่ครับ ถ้าคุณมีธุระอะไรก็รีบพูดมาเถอะครับ”
เขาไม่อยากจะมาเสวนากับเย่อ้ายอยู่ตรงนี้ มันน่าปวดหัว
เย่อ้ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ไปดื่มกันสักแก้วมั้ยคะ?”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไป ความจริงเขารู้อยู่แล้วว่าข้อเสนอของเย่อ้ายนั้นคืออะไร แต่เขาไม่มีทางรับข้อเสนอนั้นแน่นอน แต่ว่าตอนนี้เขาเริ่มสนใจขึ้นมาแล้วสิ ว่าเพื่อข้อเสนอนี้แล้วพวกเขาจะยอมจ่ายได้เท่าไหร่?
ว่าแล้วเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของเย่อ้ายแล้วขึ้นรถสปอร์ตไป
เย่อ้ายมองไป๋ยี่เฟยไปทีหนึ่ง ดวงตากำลังส่องแสงในแบบที่เธอไม่รู้จัก
รถถูกขับมาที่บาร์ฮุยหวง ไป๋ยี่เฟยลงจากรถ แล้วเย่อ้ายก็ตามลงมา
ตอนที่ไป๋ยี่เฟยเดินเข้าบาร์ไป เย่อ้ายก็รีบเดินเข้ามาเกี่ยวแขนเขาเอาไว้
ไป๋ยี่เฟยอึ้งไป อยากจะสลัดให้หลุด แต่ก็สลัดไม่ได้
พอมาคิดๆ ดู นี่อาจจะเป็นมารยาทของตระกูลเย่ก็ได้ ว่าแล้วไป๋ยี่เฟยก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ตอนนี้เป็นช่วงหัวค่ำ เป็นช่วงที่คนกำลังเยอะมาก
ไป๋ยี่เฟยกับเย่อ้ายหาโต๊ะว่างนั่งลง
พอนั่งลงไปไม่นาน ก็ได้มีชายอายุประมาณยี่สิบกว่าที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำและไว้ผมแสกกลางเดินเข้ามา
เขายืนอยู่ข้างโต๊ะ แล้วมองมาที่ไป๋ยี่เฟยและเย่อ้ายด้วยสายตาที่เย็นชา
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจชายใครนั้น เขาเรียกพนักงานมาแล้วสั่งเหล้าไปสองแก้ว
ชายเสื้อเชิ้ตจ้องมาที่ไป๋ยี่เฟยแล้วถามเย่อ้ายไปว่า “อ้ายอ้าย นี่คุณจะอธิบายกับผมยังไงครับ?”
ทันทีที่เห็นชายคนนี้ เย่อ้ายก็รีบเข้ามาประชิดไป๋ยี่เฟยทันที เพื่อแสดงออกถึงความสนิทสนม พอชายคนนี้ถามมาแบบนั้น เย่อ้ายก็เข้ามาคล้องแขนไป๋ยี่เฟยอีกครั้ง แล้วหันไปพูดกับชายคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “ที่แท้ก็คุณชายหม่านี่เอง บังเอิญจังเลยนะคะ”
แต่คุณชายหม่ากลับชี้มาที่ไป๋ยี่เฟย แล้วพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “เย่อ้าย สรุปแล้วมันเป็นใคร? ผมต้องการเหตุผลที่มันฟังขึ้น”
เย่อ้ายชะงักไป จากนั้นก็ทำหน้าไม่พอใจ “คุณเป็นใคร? แล้วทำไมฉันต้องอธิบายให้คุณเข้าใจด้วย? เราสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
พอคุณชายหม่าได้ยินอย่างนั้นเขาก็พูดอะไรไม่ออก แต่นิ้วก็ยังชี้มาที่ไป๋ยี่เฟย สักพักเขาก็สูดหายใจเข้า แล้วพูดว่า “อ้ายอ้าย ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบที่ผมตามจีบ แต่คุณก็ไม่ต้องถึงขั้นเอาไอ้ยาจกนี่มาบังหน้าก็ได้มั้ง?”
พอเย่อ้ายได้ยินเขาเรียกไป๋ยี่เฟยว่ายาจก เธอก็ยิ่งรู้สึกรักใคร่ขึ้นมาทันที แถมยังเอาหัวซบลงไปที่แขนของเขาอีก “ก็ฉันชอบนี่นา!”
“นี่คุณ!” คุณชายหม่าโกรธจนตาโต หายใจหนักหน่วง
จากนั้นเขาก็เดินเข้ามา จับคอเสื้อของไป๋ยี่เฟยไว้ แล้วพูดออกมาด้วยความโมโหว่า “แม่งเอ๊ย แกฟังฉันให้ดีๆ นะ อ้ายอ้ายไม่ใช่คนที่คนอย่างแกจะมาหวังได้ แกแม่งกล้ามาแกล้งเป็นแฟนของอ้ายอ้ายต่อหน้าหม่าจิ่นหลงคนนี้ หัดเจียมตัวบ้างรีบไสหัวไปซะ ไม่อย่างนั้น……”
ในขณะที่หม่าจิ่นหลงยังพูดไม่ทันจบ ไป๋ยี่เฟยก็ยื่นมือไปจับข้อมือของเขาเอาไว้ จากนั้นก็ออกแรงบีบ
“แกร็ก!”
“อ้า!”
หม่าจิ่นหลงร้องครวญคราง เพราะมันเจ็บมาก จนต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กุมข้อมือของตัวเองเอาไว้
ไป๋ยี่เฟยพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า “อย่ามาหาเรื่องผม ไสหัวไปซะ!”
เย่อ้ายอึ้งกับภาพที่เห็น
เท่าที่เธอจำได้ ไป๋ยี่เฟยเป็นแค่คนที่โชคดี และเป็นผู้ชายที่มีความฉลาดอยู่บ้าง แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาจะเก่งได้ขนาดนี้ แค่บีบเบาๆ ก็สามารถทำให้ข้อมือของคนๆ หนึ่งหักได้แล้ว
หม่าจิ่นหลงกุมมือของตัวเองแล้วยืนขึ้น เมื่อรู้ว่าตัวเองสู้ไป๋ยี่เฟยไม่ได้จึงคิดที่จะหนีไป แต่ในขณะที่วิ่งไปเขาก็ได้ตะโกนออกมาว่า “แม่งเอ๊ย! ถ้าแกแน่จริงก็รอฉันก่อน!”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเด็กนักเรียนอย่างนี้เลยแม้แต่น้อย
ในตอนนั้น พนักงานได้เอาเหล้ามาเสิร์ฟแล้ว ไป๋ยี่เฟยให้เกียรติเย่อ้าย เขาจึงดื่มไปก่อนคำหนึ่ง แล้วถามไปอย่างใจเย็นว่า “ว่ามาครับ”
เมื่อเย่อ้ายได้ยินเสียงของไป๋ยี่เฟย เธอถึงตั้งสติจากความช็อกที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ได้ แต่เธอก็ไม่ได้พูดข้อเสนอของเธอออกมา เธอแค่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น แล้วพูดขึ้นว่า “พี่ไป๋คะ พี่ได้พาบอดี้การ์ดมาด้วยรึเปล่า?”
“ไม่ครับ มีอะไรรึเปล่า?” ไป๋ยี่เฟยตอบไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
เย่อ้ายยิ้มออกมาอย่างขมขื่นอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นเราเปลี่ยนที่คุยกันเถอะค่ะ”
ไป๋ยี่เฟยไม่เข้าใจ “เพราะอะไรครับ?”
“หม่าจิ่นหลงคนนั้นเป็นคนของตระกูลหม่าแห่งเมืองเป่ยไห่ ผู้นำของตระกูลหม่าได้ทำธุรกิจร่วมกันกับพี่ชายของฉัน น้ารองของหม่าจิ่นหลงเป็นนักเลงใหญ่ของเมืองเป่ยไห่ ถ้าเราไม่ไปตอนนี้ เกรงว่าจะ……”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินอย่างนั้น เขาก็พูดออกมาอย่างใจเย็นว่า “ผมคิดว่าผมเองก็แน่อยู่เหมือนกันนะครับ”
“หือ?” เย่อ้ายไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด
ไป๋ยี่เฟยพูดออกด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “เขาบอกว่าถ้าผมแน่จริงก็ให้รออยู่ที่นี่ ผมคิดว่าตัวเองก็แน่อยู่เหมือนกันดังนั้นผมจะรอครับ”
เย่อ้ายสำลัก ชั่วขณะหนึ่งเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
ไป๋ยี่เฟยยกเหล้าขึ้นมาดื่มอีก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเหล่านี้โดดเด่นตรงไหน เขาจึงพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “ไหนลองพูดมาสิว่าคุณมีข้อเสนออะไรกันแน่?”
เย่อ้ายขมวดคิ้ว “อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะคะ ถ้าเขาพาคนกลับมาจริงๆ เขาไม่มีทางปล่อยคุณไปเพราะเห็นแก่หน้าพี่ฉันแน่นอน”
“ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ชายคุณมันดีขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ไป๋ยี่เฟยขำออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
เย่อ้ายเห็นว่าไป๋ยี่เฟยยังไม่ใส่ใจ เธอก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา “คุณ……”
เธอนึกไม่ถึงว่าจะมาเจอ หม่าจิ่นหลงที่นี่ หม่าจิ่นหลงเป็นแค่หนึ่งในคนมากมายที่ตามจีบเธอเท่านั้น เขาอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีของพ่อตัวเองกับเย่ฮวนมาตามจีบเธอตลอด
แน่นอนว่าเย่อ้ายต้องไม่ชอบลูกผู้ดีแบบนี้อยู่แล้ว เธอจึงไม่สนใจเขาเลยสักนิด
ความจริงต้องที่เจอกันเมื่อกี้ เย่อ้ายก็แค่อยากใช้ไป๋ยี่เฟยมาทำให้ หม่าจิ่นหลงตัดใจเท่านั้น แต่ไม่นึกเลยว่าไป๋ยี่เฟยจะลงไม้ลงมือแบบนั้น
หม่าจิ่นหลงเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่กับเรื่องทะเลาะวิวาทนั้นเขากลับใช้ได้เลย ที่สำคัญเขาเป็นถึงลูกผู้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางปล่อยไป๋ยี่เฟยไปแน่น
ถ้าหม่าจิ่นหลงพาคนมาจัดการไป๋ยี่เฟยแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมายังไง ดูท่าเรื่องที่จะพูดกับเขาก็คงไม่มีอะไรแล้ว
เย่อ้ายคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายเธอก็กัดฟันแล้วพูดไปว่า “คุณต้องไปกับฉัน!”
พูดจบ เย่อ้ายก็ยืนขึ้นจับมือไป๋ยี่เฟยเตรียมที่จะออกไป
แต่ไป๋ยี่เฟยกลับยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่ทันแล้วครับ”
เย่อ้ายชะงักแล้วหันไปมองที่ทางเข้า เธอถึงกับต้องหายใจเฮือกใหญ่
มีคนกลุ่มใหญ่มาถึงที่ทางเข้าแล้ว ซึ่งคนที่นำทีมมาก็คือคนที่ชื่อหม่าจิ่นหลงเมื่อกี้ เขายังกุมมือของตัวเองอยู่ ดูท่าคนที่เขาไปหาคนแรกจะไม่ใช่หมอซะแล้ว
หม่าจิ่นหลงเดินมาหยุดที่ข้างๆ ของไป๋ยี่เฟยกับเย่อ้าย แล้วชี้หน้าไป๋ยี่เฟย “ไอ้หมอนี่แหละ ไอ้หมาตัวนี้แหละ จัดการมัน!”
ทันทีที่พูดจบ กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็พากันพุ่งเข้ามา ในมือของแต่ละคนล้วนถือไม้เบสบอลหรือไม่ก็มีดสปาต้าเอาไว้
สีหน้าของเย่อ้ายเปลี่ยนไปทันที ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกมาก็ถูกไป๋ยี่เฟยถึงไปหลบอยู่ข้างหลังแล้ว จากนั้นเขาก็พูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “นับเลขเป็นใช่มั้ยครับ? ช่วยจับเวลาให้ผมหน่อย”
จับเวลาเหรอ?
เย่อ้ายงงไปชั่วขณะหนึ่ง
จากนั้นก็มีไม้เบสบอลอันหนึ่งฟาดผ่านหัวเธอไป จนเรียกสติเธอกลับมาได้อีกครั้ง
จากนั้นเธอก็มองไป แล้วก็ต้องอึ้งไปอีกครั้ง
ไป๋ยี่เฟยกำลังต่อสู้กับคนกลุ่มใหญ่อยู่ คนที่อยู่หน้าสุดถูกไป๋ยี่เฟยชกจนลงไปนอนกับพื้นในหมัดเดียว จากนั่นก็อาศัยแรงเหวี่ยงหมุนตัวไปถีบใส่คนที่วิ่งตามมา จนคนๆ นั้นกระเด็ดกลับไป
คนๆ นั้นลอยกลับไปกระแทกใส่คนที่วิ่งตามมาจนล้มลงกับพื้นไปอีกหลายคน
ฝีมือของไป๋ยี่เฟยนั้นสามารถทัดเทียมกับนักสู้วัยหนุ่มอันดับสามของเมืองหลวงเลยนะ ซึ่งการรับมือกับพวกลูกกระจ๊อกที่สู้เป็นแค่นิดๆ หน่อยๆ นั้นไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเลยสักนิด
แต่เย่อ้ายนั้นไม่รู้ถึงจุดนี้